ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 15 บทที่ 439 ศึกแย่งชิงความโปรดปราน
ขนตางอนยาวกระเพื่อมหนึ่งครั้ง สองครั้ง ในที่สุดดวงตาที่เคยปิดสนิทก็ลืมขึ้น
หลงเทียนอวี้ดีใจแทบคลุ้มคลั่ง ร้องเรียกชื่อนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าหลินเมิ้งหยายังคงไม่ตอบกลับ
ดวงตากลมโตเปล่งประกายคู่นั้นว่างเปล่า ไม่มีใครรู้เลยว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับหลินเมิ้งหยา
หลินเมิ้งหยารู้สึกอยากก่นด่าไปถึงบรรพบุรุษ อันที่จริงสติของนางไม่ได้เลือนรางเลยแม้แต่น้อย
จะว่าไปก็แปลก คนทั่วไปหากกินยาสลบในปริมาณเท่านางส่วนใหญ่มักจะหมดสติ แต่หลังจากยาออกฤทธิ์ ระบบเซินหนงของนางกลับพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น!
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้าย บางทีหากนางเผลอเหยียบขี้หมาคงดีกว่านี้
ทุกครั้งที่สมองอาจได้รับการกระทบกระเทือน ระบบเซินหนงมักจะอัปเดตระบบอัตโนมัติ ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถเปิดการใช้งานเครื่องมืออื่นๆ ในระบบได้มากขึ้นอีกด้วย
หลินเมิ้งหยารู้สึกเลื่อมใสคำพูดของอาจารย์ที่เคยกล่าวเอาไว้ว่า “ไม่มีเครื่องจักรกลใดในโลกซับซ้อนไปกว่าสมองของมนุษย์ที่มีความสามารถไร้ขีดจำกัด”
สมองของมนุษย์เป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดของร่างกาย หากสมองมีปัญหาหรือเกิดอาการเจ็บป่วยแทรกซ้อน เช่นนั้นอวัยวะของร่างกายส่วนอื่นๆ ก็จะเสียหายตามไปด้วย
ระบบเซินหนงที่ถูกพัฒนาเข้าสู่ระยะที่สองมีโหมดปกป้องสมองไม่ให้ได้รับความเสียหาย
หรืออาจพูดได้ว่านางจะไม่มีวันเป็นโรคสติเลอะเลือนไปชั่วชีวิต ฉะนั้นขณะที่ยาสลบออกฤทธิ์ ประสาทการรับรู้ของนางจึงไม่ถูกแช่แข็ง
แต่โชคดีที่ยาสลบเข้าไประงับเส้นประสาทที่ส่งต่อความเจ็บปวดเอาไว้ แม้นางจะรับรู้การเคลื่อนไหวทุกอย่างของโลกภายนอก แต่นางมิต่างอันใดจากผู้ป่วยสภาพผักที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้
ทว่าตอนนี้ฤทธิ์ของยาสลบอ่อนลงแล้ว อีกทั้งพวกหมอหลวงยังเสริมยาบำรุงร่างกายให้นางมากมาย ระบบเซินหนงจึงวิเคราะห์ร่างกายของนางอีกครั้งและอนุญาตให้นางฟื้นขึ้นมา
ดังนั้นสติสัมปชัญญะของนางทั้งหมดจึงกลับมา แต่ขณะเดียวกันนางยังไม่พร้อมที่จะรับสภาพร่างกายของตนเองในเวลานี้ ฉะนั้นนางจึงสงบนิ่งอยู่หลายนาที
แต่ดูเหมือนบุรุษทั้งสามจะเข้าใจผิดเสียแล้ว
“แย่แล้ว! เปี่ยวเม่ยจะต้องกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือนไปแล้วอย่างแน่นอน! ฮวงซง [1] เมิ้งหยาต้องสติเลอะเลือนไปแล้วแน่ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
จั่วชิวอวี้โบกมือไปมาด้านหน้าหลินเมิ้งหยา ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาใดๆ
ดังนั้นเขาจึงส่งเสียงเหมือนคนกำลังสะอื้นไห้ออกมา
“พวกหมอไร้ประโยชน์! พวกเจ้ารักษาเปี่ยวเม่ยของเจิ้นอย่างไร? เหตุใดนางจึงสติฟั่นเฟือนไปแล้วเล่า! น้องเขยวางใจเถิด เจิ้นจะหาคนรับผิดชอบเรื่องนี้ให้เจ้า”
จั่วชิวเฉินบันดาลโทสะ เขาส่งเสียงตะคอกดังลั่น
“ไม่เป็นไร ต่อให้นางสติเลอะเลือน ข้าก็จะดูแลนางต่อไป รอบาดแผลของนางหายดีเมื่อไหร่ ข้าจึงจะพานางกลับต้าจิ้น”
หลงเทียนอวี้เอ่ยเสียงเศร้า แม้ก่อนแต่งงานกับนาง หลินเมิ้งหยาถูกกล่าวขานว่าเป็นเด็กสาวสติฟั่นเฟือน แต่ตอนนี้นางกลับมาเป็นปกติแล้ว ดังนั้นแม้จะเจ็บปวดแต่เขาก็ไม่นึกรังเกียจนาง
“น้องเขย เจ้าทำให้ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก ได้ ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะกลับไปต้าจิ้นกับเจ้า”
ชิวอวี้ที่แสร้งร้องห่มร้องไห้คุกเข่าอยู่ข้างเตียงหลินเมิ้งหยารีบผุดลุกขึ้นจับมือหลงเทียนอวี้ ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง
ทว่าจั่วชิวเฉินกลับใช้มือหนาดึงร่างของน้องชายมาประจันหน้ากับตนเอง
“เจ้ายังมีหน้ามาพูดเช่นนี้อีกหรือ! หากมิใช่เพราะเจ้า เช่นนั้นเปี่ยวเม่ยจะกลายเป็นคนสติเลอะเลือนได้อย่างไร! จากนี้ต่อไปเจ้าจงอยู่สำนึกผิดในจวนอ๋องไปตลอดชีวิต ข้าขอสั่งห้ามมิให้เจ้าก้าวเท้าออกนอกประตูจวนอีก!”
ขณะเดียวกัน สองพี่น้องส่งเสียงโต้เถียงกันไปมา ราวกับห้องแห่งนี้มีสุนัขวิ่งต้อนไก่อย่างไรอย่างนั้น หลินเมิ้งหยายิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก หลังจากสติสัมปชัญญะกลับมาทำงานครบถ้วนแล้ว นางที่มิได้เปิดปากพูดอยู่หลายวันจึงส่งเสียงลอดไรฟันออกมา
“เสียงดัง!”
สรรพสำเนียงพลันเงียบกริบ ความวุ่นวายดั่งโจ๊กในหม้อเมื่อครู่หยุดชะงัก ดวงตาทุกคนเบิกกว้าง สายตาจับจ้องมองทางหญิงสาวบนเตียง
ได้เห็นดวงตากลมโตเปล่งประกายราวกับหยดน้ำของนางแสดงความ…รังเกียจ!
ครู่ต่อมาชายหนุ่มทั้งสามก็รีบเข้ามาห้อมล้อมเตียงของนางเอาไว้
“เมิ้งหยา ข้าคือญาติผู้พี่ของเจ้า”
ชายสวมใส่ชุดสีเหลืองอร่าม ใบหน้าคุ้นตาอยู่หลายส่วน แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่เคยรู้จักเขามาก่อน ท่าทางสุขุมทำให้ผู้อื่นรู้สึกคร้ามเกรง คาดว่าเขาคงเป็นฮ่องเต้แห่งเมืองหลินเทียนที่นางได้ยินชื่อตอนนางยังไม่ฟื้นคืนสติอย่างแน่นอน
“เมิ้งหยา ข้าคือญาติผู้พี่คนที่สองของเจ้า”
แม้จะดูเหี่ยวเฉาลงอยู่หลายส่วน แต่ใบหน้ายังคงสง่างามโดดเด่น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาคือจั่วชิวอวี้ผู้ซึ่งนางเคยนับว่าเป็นเพื่อนคนนั้น
“เมิ้งหยา ข้า…”
ใบหน้าเหี่ยวเฉาเหลือประมาณพลันปรากฏขึ้นในสายตา
เส้นเลือดแดงก่ำแตกระแหงภายในตาขาว ขอบตาดำคล้ำ ไม่รู้ว่าใบหน้าของเขาซูบตอบจนเหลือแต่กระดูกเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร
กลีบปากทั้งสองแห้งแตกเป็นขุย หนวดเคราขึ้นรกรุงรัง นางมิเคยเห็นหลงเทียนอวี้เป็นแบบนี้มาก่อน
“อัปลักษณ์”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยเสียงแหบพร่า สายตากวาดมองตั้งแต่หน้าผากจรดริมฝีปาก แม้ใบหน้านวลจะยังคงแข็งทื่อ ทว่าสีหน้ากลับแสดงความรังเกียจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งที่จริงๆ แล้วจะรู้สึกเจ็บปวดใจมากก็ตาม
นับตั้งแต่วันที่มาถึงเมืองหลินเทียน นี่เป็นครั้งแรกที่หลงเทียนอวี้ยิ้มออกมาด้วยใจจริง
“อืม อีกหน่อยก็ไม่อัปลักษณ์แล้ว เจ้ากระหายน้ำหรือไม่?”
กุมมือหลินเมิ้งหยา แม้แต่ตอนที่นำชัยชนะกลับมาหลังจากออกไปรบเป็นครั้งแรกยังไม่ตื่นเต้นดีใจเท่านี้มาก่อน
นางอาการดีขึ้นแล้ว แม้ร่างกายจะยังคงอ่อนแอและเพิ่งฟื้น แต่ตอนนี้นางกลับมาแล้วจริงๆ
พี่น้องอีกสองคนก้มหน้านิ่ง เคยได้ยินมาว่าสตรีที่แต่งงานแล้วก็เปรียบเสมือนสายธารรินไหล พวกเขาคาดหวังอย่างยิ่งที่จะได้เจอญาติผู้น้องที่มิเคยพบเจอกันมานาน แต่ไฉนเลยแม้แต่หางตานางยังไม่คิดจะเหลียวแล
ฮึ แต่ก่อนมิได้เติบโตมาด้วยกัน ฉะนั้นตอนนี้จึงไม่มีแม้แต่เยื่อใยแล้ว
แม้จะคิดเช่นนี้ แต่อันที่จริงพวกเขารู้สึกดีใจยิ่งนักที่หลินเมิ้งหยาฟื้นขึ้นมา
หลังจากสบตากัน พวกเขารีบออกไปจัดการธุระหลังจากญาติผู้น้องฟื้น
ป้อนน้ำอุ่นให้หลินเมิ้งหยาจิบ ในที่สุดคอของนางก็กลับมาชุ่มชื่นอีกครั้ง
“พระองค์เองก็ดื่มเถิด ปากของท่านแตกเลือดไหลแล้ว”
แม้จะฟื้นแล้วทว่าเรี่ยวแรงกลับยังไม่ฟื้นคืน หากแต่หลงเทียนอวี้กลับมีท่าทางเหมือนคนโง่ ริมฝีปากฉีกยิ้มไม่หุบ ไม่ว่านางจะพูดอะไรเขาก็พร้อมทำตามทุกอย่าง
“หม่อมฉันหิวแล้ว อยากกินข้าวเพคะ”
นางรู้สึกไม่คุ้นชินกับท่าทางเช่นนี้ของเขา แม้หลินเมิ้งหยาจะรู้สึกหวานล้ำในอก แต่เหมือนบุรุษผู้นี้จะทำเกินงามไปจริงๆ เหตุเพราะเขาเอาแต่ยิ้ม ท่าทางฉลาดเฉลียวสักนิดก็ไม่มี
“ได้ ข้าจะไปเตรียมเดี๋ยวนี้”
หลงเทียนอวี้วิ่งออกไปด้วยความดีใจ แต่แม้หลินเมิ้งหยาจะรออยู่นาน ทว่าสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาคือจั่วชิ้วอวี้และจั่วชิวเฉินที่ถือถ้วยโจ๊กเข้ามา
“เสี่ยวเปี่ยวเม่ย เจ้าฟื้นได้เสียที จริงสิ หลงเทียนอวี้ยังไม่บอกเจ้าใช่ไหมว่าอันที่จริงข้าคือญาติผู้พี่คนรองของเจ้า ส่วนนี่คือพี่ชายของข้าซึ่งก็คือญาติผู้พี่ของเจ้านามว่าจั่วชิวเฉิน จากนี้ไปเจ้าคืออันเล่อจวิ้นจู่แห่งเมืองหลินเทียน”
จั่วชิวอวี้เอื้อนเอ่ยอธิบาย แม้หลินเมิ้งหยาจะรู้สึกมึนงงเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังพยักหน้าลงและปล่อยให้สาวใช้ประคองร่างนางขึ้นกินโจ๊ก
“เขาหายไปไหนแล้ว? เกิดอะไรขึ้น?”
หลังจากกินเสร็จ หลินเมิ้งหยายังคงไม่เห็นแม้แต่เงาของหลงเทียนอวี้
เอ่ยถามจั่วชิวอวี้ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ทว่าอีกฝ่ายกลับหน้างอง้ำไม่พอใจ
“นี่ เสี่ยวเปี่ยวเม่ย เจ้าช่างลำเอียงเสียจริง! แม้ข้าจะบาดเจ็บแต่ก็อุตส่าห์มาดูแลรับใช้เจ้า เจ้าไม่…”
ขาข้างหนึ่งยกขึ้นเตะจั่วชิวอวี้ไปอีกทาง
จั่วชิวเฉินที่ยืนส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้นางอย่างเงียบๆ รีบเข้ามานั่งตรงหัวเตียง
“ไม่มีอะไรหรอก น้องเขยเพียงแค่เหนื่อยเกินไปเท่านั้น เมื่อครู่ตอนที่ออกไปสั่งคนให้เตรียมอาหารให้เจ้าในห้องครัว เขายืนหลับอยู่ที่นั่นไปแล้ว ดังนั้นข้าจึงสั่งให้คนหามเขาไปส่งที่ห้องแล้ว เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย เจ้าเองก็เพิ่งจะฟื้น อย่าคิดมาก”
ท่าทางอ่อนโยนเสมือนสายลมแผ่วเบาทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกดีกับญาติผู้พี่คนนี้มากขึ้น
เมื่อเทียบกับจั่วชิวอวี้แล้ว บางทีอาจเพราะเขาเป็นถึงฮ่องเต้ ดังนั้นญาติผู้พี่คนนี้จึงมีความน่าเชื่อถือและสุขุมกว่ามาก
แม้พวกเขาจะเป็นเพียงญาติกัน แต่ทว่าโครงหน้ากลับละม้ายคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วน
หลินเมิ้งหยาเชื่อโดยไม่นึกสงสัยเลยว่าชายตรงหน้ามีสายเลือดเดียวกันกับนางหรือไม่
“เพคะ ขอบพระทัยเปี่ยวเกอ [2]”
อาจเพราะรอคอยฟังเสียงนางเรียกตนเองว่าเปี่ยวเกอมานานหลายปี ฉะนั้นจั่วชิวเฉินจึงมีความหวังค่อนข้างมาก
ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายแล่นพล่านไปทั้งร่าง มุมปากฉีกยิ้มกว้าง ท่าทางดีใจราวกับว่าเขาสามารถโอบอุ้มผืนแผ่นดินด้วยมือเปล่าทั้งสองข้างขึ้นมาได้
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับมิได้รู้สึกอะไรมากมายนัก แต่นางกลับคิดว่าสองพี่น้องคู่นี้เอ็นดูตนเองมากมายอย่างน่าประหลาด
ชิวอวี้เคยพูดเอาไว้ว่าคนในเชื้อพระวงศ์ให้กำเนิดบุตรสาวได้ยากยิ่ง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นชาย ดังนั้นนางจึงเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดนางที่มีตำแหน่งอันเล่อจวิ้นจู่จึงกลายเป็นสมบัติล้ำค่าแห่งเมืองหลินเทียน
หลงเทียนอวี้ที่เหนื่อยจนเกินขีดจำกัดนอนหลับไปนานสามวันสามคืน
จั่วชิวอวี้ฟ้องนางว่าทันทีที่ตื่นขึ้นมา เขากินข้าวไปมากกว่าครึ่งหม้อ
ดังนั้นแม้หลงเทียนอวี้จะยังคงซูบตอบอยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้นสติก็กลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง ในที่สุดนางก็วางใจ
“วันนี้รู้สึกอย่างไร? ยังเจ็บไหล่อยู่หรือไม่?”
หลงเทียนอวี้นั่งลงข้างเตียงของหลินเมิ้งหยาทั้งยังเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน
ชุดสีฟ้าครามขับความหล่อเหลาของเขาให้เด่นชัด เส้นผมที่เคยพันกันยุ่งเหยิงบัดนี้กลับมาเป็นระเบียบเหมือนก่อน อีกทั้งยังมีมงกุฎหยกขาวลายกิเลนโอบรัดเส้นผมเอาไว้
หนวดเคราถูกตัดจนสะอาดสะอ้าน ริมฝีปากกลับมาชุ่มชื่นอีกครั้ง
ดวงตาสุขุมเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนจนคนมองตกอยู่ในภวังค์
“ดีขึ้นแล้วเพคะ เฉินเปี่ยวเกอพระราชทานยาล้ำค่าหลายอย่างมาให้ ฉะนั้นจึงไม่เจ็บมากแล้ว”
นิ้วเรียวยาวยื่นเข้าไปยกผมขึ้นทัดหูของนางด้วยความเคยชิน
เพียงนิ้วมือสัมผัสกับผิวหน้า ความอบอุ่นจนเรียกว่าร้อนรุ่มพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งใบหน้า
หลินเมิ้งหยาอดไม่ได้ที่จะเบือนสายตาหนี
—————–
หมายเหตุ
ฮวงซง [1] คือคำเรียกแทนตัวฮ่องเต้ โดยญาติที่มีอายุน้อยกว่าเป็นผู้เรียก
เปี่ยวเกอ [2] คือคำเรียกที่ญาติผู้น้องใช้เรียกญาติผู้พี่