ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 15 บทที่ 440 หอป๋ายเฉา
“เช่นนั้นก็ดี หากเจ็บก็บอกข้าได้ ไม่จำเป็นต้องอดกลั้น”
หลงเทียนอวี้ขยับเข้าใกล้ด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติพร้อมทั้งห่มผ้าให้นาง เส้นผมของเขาทิ้วตัวระใบหน้าของหลินเมิ้งหยาโดยไม่ตั้งใจ แม้จะรู้สึกคันหน้าอยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้นมือซ้ายก็เอื้อมไปม้วนผมเขาเล่นอย่างอารมณ์ดี มุมปากฉีกยิ้มกว้างขณะสบตากับเขา
“อย่าซุกซนนัก”
หลงเทียนอวี้เหลือบมองหนึ่งหน ทว่าสายตาอ่อนโยนทำให้ใบหน้าของหลินเมิ้งหยาแดงก่ำ
นับตั้งแต่วันที่ได้รับบาดเจ็บ ราวกับว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองผูกพันใกล้ชิดกันมากขึ้น
แม้จะยังไม่คุ้นชิน ทว่าหลินเมิ้งหยามิอาจหลีกเลี่ยง เหตุเพราะนางเป็นคนป่วย ดังนั้นย่อมต้องมีคนดูแลมิใช่หรือ?
เมื่อมีข้ออ้างเช่นนี้ หลินเมิ้งหยาจึงพักผ่อนอย่างสบายใจ มือยังคงลูบไล้เส้นผมของเขาเล่น
ไม่แน่ใจว่านางตั้งใจหรือไม่ ทว่าหลงเทียนอวี้กลับไม่โกรธ เขาปล่อยให้นางเล่นเส้นผมของตนเองอย่างอิสระ
เขานั่งลงข้างเตียงโดยไม่เอ่ยอันใด ทั้งที่สีหน้าท่าทางเคร่งขรึม แต่เพียงได้เห็นดวงตาเปล่งประกายราวหยดน้ำคู่นั้นกลิ้งกลอกไปมา หัวใจของเขากลับรู้สึกสงบ
“จริงสิ หญ้าหลงสิงถูกส่งไปยังต้าจิ้นหรือยังเพคะ?”
แม้จะไม่มีเรื่องให้สนทนาแล้ว แต่หลินเมิ้งหยากลับหาหัวข้อสนทนาใหม่ๆ มาพูดคุยกับเขา จะว่าไปก็แปลกยิ่งนัก ทั้งสองพูดคุยทะเลาะกันจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ดังนั้นย่อมไม่ชินกับความเงียบสงบเช่นนี้
“อืม ฮ่องเต้หลินเทียนสั่งให้คนส่งไปแล้ว เมื่อวานข้าได้ข่าวมาว่าตอนนี้ส่งไปถึงวังหลวงเรียบร้อยแล้ว”
หลินเมิ้งหยาพยักหน้า ทว่าอยู่ๆ ดวงตาของนางพลันเบิกกว้างอีกหน
“ป๋ายซ่าวเล่า? อาซิ่วเล่า? หม่อมฉันลืมพวกนางไปเสียสนิท! หลงเทียนอวี้ พระองค์รีบส่งคนไปรับพวกนางมาเถิดเพคะ”
เหตุเพราะความร้อนใจ หลินเมิ้งหยาจึงออกแรงดึงเส้นผมของหลงเทียนอวี้ คิ้วของเขาขมวดมุ่น สุดท้ายทำเพียงกุมมือของนางเอาไว้
“ไม่ต้องร้อนใจไป จั่วชิวอวี้ส่งคนไปนานแล้ว ถนนเซียนค่อนข้างอันตราย กว่าพวกเขาจะข้ามมาได้คงไม่ง่ายนัก คาดว่าอีกสองวันคงจะมาถึง”
เมื่อได้ยินดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงวางใจ
คลายมือของตนเองออกด้วยความรู้สึกผิด เมื่อครู่นางลืมไปเสียสนิทว่ากำลังจับเส้นผมของเขาอยู่
มองทางหลงเทียนอวี้ด้วยสายตาเชิงขอโทษ มือซ้ายแตะศีรษะของเขาเบาๆ ก่อนจะลูบไล้ด้วยความอ่อนโยน
“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ”
หลงเทียนอวี้กลับยิ้มให้กับนางพร้อมส่งสายตาว่าไม่เป็นไร ก่อนจะจับมือเล็กกลับเข้าไปซุกใต้ผ้าห่มดังเดิม
ยามมิได้สตินางกลายเป็นคนว่านอนสอนง่าย แต่พอตื่นขึ้นมาเขาต้องคอยจับตามองนางเอาไว้ตลอดเวลา
“เปี่ยวเม่ย! เปี่ยวเม่ย! เจ้าดีขึ้นแล้วหรือไม่!”
เสียงโหวกเหวกโวยวายพลันดังขึ้นจากทางด้านนอกจนบรรยากาศหวานซึ้งของทั้งคู่ถูกทำลายลงในเวลาเพียงชั่วพริบตา
หลินเมิ้งหยาหันขวับไปถลึงตาอย่างอดไม่ได้ นับตั้งแต่ตอนที่นางฟื้นขึ้นมา จั่วชิวอวี้เกาะติดเตียงนางเหมือนตังเม
ไม่เพียงเสียงเรียกเปี่ยวเม่ยอย่างนู้นอย่างนี้ ตลอดหลายวันที่ผ่านมาเขาและจั่วชิวเฉินมักแข่งกันเอาอกเอาใจนาง
แม้พวกเขาจะมิได้แสดงท่าทางหื่นกระหายเหมือนพวกโรคจิต แต่ประตูห้องของนางถูกเปิดปิดจนเลื่อมเป็นทองแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นนางยังไม่อาจลุกออกจากเตียงได้ ดังนั้นจึงมีโทสะไม่น้อย
“มีอะไรอีกเล่า?”
หลินเมิ้งหยาตวัดเสียงถามอย่างหมดความอดทน หลงเทียนอวี้ลอบยิ้มกระหยิ่มในใจ
ไม่ว่าสองพี่น้องจะพยายามเอาอกเอาใจนางมากสักเท่าไร แต่หลินเมิ้งหยามักทำเพียงแย้มยิ้มน้อยๆ ตอบแทน
คนที่ใกล้ชิดกับหลินเมิ้งหยาที่สุดก็คือเขา
เพราะเหตุนี้หลงเทียนอวี้จึงกลายเป็นคนน่าอิจฉาในสายตาของสองพี่น้องสกุลจั่ว
“ไอหยา แค่ได้เห็นว่าอาการของเจ้าดีขึ้นมาแล้ว เท่านี้เปี่ยวเกอก็วางใจ จริงสิ พวกเป้ยเล่อเป้ยจื่อ [1] ส่งของเล่นมาให้เจ้ามากมาย ข้าเลือกกำไลหยกน้ำผึ้งมาให้เจ้าหนึ่งวง ของสิ่งนี้ล้ำค่าที่สุดในบรรดาของทั้งหมด บางทีอาจส่งผลดีต่อร่างกายของเจ้า”
พูดพลางหยิบกำไลหยกสีดอกบัวออกจากกล่อง หลงเทียนอวี้ปรายตามองด้วยสายตาเยียบเย็น
ได้ยินมาว่านี่เป็นของขึ้นชื่อแห่งเมืองหลินเทียน อย่าว่าแต่นำมาทำเป็นกำไลเลย หากพวกชาวบ้านธรรมดาได้หยกน้ำผึ้งมาแม้เพียงขนาดใหญ่กว่านิ้วมือ พวกเขาคงนำของสิ่งนั้นไปเป็นสมบัติประจำตระกูล
ดูท่าพวกเป้ยเล่อเหล่านั้นจะเป็นคนใจกว้างไม่น้อย
ทว่ามันจะมีค่าอันใดกันเล่า รอกลับถึงต้าจิ้นเมื่อไร เขาจะมอบสิ่งของล้ำค่าที่สุดทั้งหมดให้แก่หลินเมิ้งหยา
จั่วชิ้วอวี้ค่อยๆ ยกมือขวาของหลินเมิ้งหยาขึ้นแล้วสวมกำไลให้
ก้มลงมองมือข้างนั้นที่ไร้ซึ่งปฏิกิริยาใดๆ หลงเทียนอวี้และชิวอวี้มีสีหน้าเสียดาย
เกรงว่ามือข้างนั้นของหลินเมิ้งหยาคงใช้การไม่ได้อีกแล้ว
“งดงามยิ่งนัก เหมาะกับเจ้ามาก พวกญาติพี่น้องช่างมีน้ำใจเหลือเกิน ข้าจะต้องชื่นชมพวกเขาให้ฮวงซงฟังสักหน่อยแล้ว”
จั่วชิวอวี้หยักยิ้มพึงพอใจ
เขาเป็นหมอ ดังนั้นย่อมรู้ดีว่าหากมือขวาใช้การไม่ได้ เช่นนั้นสิ่งที่พยายามทำมาตลอดหลายปีย่อมเสียเปล่า
ยิ่งไปกว่านั้น หลินเมิ้งหยาเป็นสตรีรูปโฉมงดงาม ฉลาดเฉลียวมีไหวพริบ แม้นางจะมีความสุขุมมากเกินไปก็ตาม
ทว่าหากนางกลายเป็นคนพิการ เช่นนั้นจะไม่น่าเสียดายหรือ?
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใด เขาก็จะทำให้แขนขวาของหลินเมิ้งหยากลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม
“อืม ข้าเองก็คิดว่างดงามเหลือเกิน ฝากขอบคุณพวกเขาแทนข้าด้วย”
อันที่จริงหลินเมิ้งหยารู้ดีที่สุด แม้ว่าพวกเขาจะไม่พูดออกมาก็ตาม แม้ธนูดอกนั้นจะแทงไม่โดนกระดูก แต่ตอนที่ดึงออกมาแขนขวาของนางได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก
ตอนนี้นางไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับมือ
แต่นี่หาใช่สิ่งเลวร้ายที่สุด ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ?
“จริงสิ เหตุที่ข้ามาในวันนี้ก็เพราะมีเรื่องต้องการปรึกษาพวกเจ้า”
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จั่วชิวอวี้เหลือบมองแขนของหลินเมิ้งหยาอีกหน ก่อนจะกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
“เชิญพูดตามสบาย”
เพียงมองปราดเดียวหลงเทียนอวี้ก็รู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับไหล่ขวาของหลินเมิ้งหยาอย่างแน่นอน
พูดตามตรง วิชาการแพทย์ของชิวอวี้นับว่าสูงมาก แต่ขนาดเขายังหมดหนทางรักษาหลินเมิ้งหยาให้กลับมาเป็นปกติ ดูท่าเรื่องนี้จะยิ่งยุ่งยากมากขึ้นเสียแล้ว
หากมีวิธีที่สามารถทำให้แขนของนางกลับมาใช้งานได้เหมือนก่อนแล้วล่ะก็ เขาพร้อมที่จะลอง
“ข้าขอสารภาพตามตรงว่าเหตุที่เมืองหลินเทียนของพวกเรายังสามารถปกป้องอิสรภาพของแคว้นเอาไว้ได้นั่นก็เพราะพวกเรามีสถานที่หนึ่งชื่อว่าหอป๋ายเฉา ที่นั่นเป็นสำนักที่รวมเหล่าหมอหลวงชั้นสูง ข้าคิดว่าพวกเขาอาจมีวิธีช่วยเปี่ยวเม่ยให้กับมาแข็งแรงดั่งเดิม”
หากเอ่ยว่าไม่เสียใจ นั่นคงเป็นเพียงคำโป้ปด จะมีใครบ้างอยากให้ตัวเองกลายเป็นคนพิการ ทว่าหลินเมิ้งหยากับหลงเทียนอวี้กลับลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
เกรงว่าหอป๋ายเฉาจะไม่ธรรมดา
มิเช่นนั้นเหตุใดจั่วชิวอวี้จึงไม่เอ่ยชื่อนี้มาแต่แรก?
“หากมีอะไรก็พูดออกมาเถิด อย่าลังเลเลย”
หลินเมิ้งหยาส่งเสียงอ่อนโยน ทุกคนล้วนมีความลำบากใจของตัวเองกันทั้งนั้น หากเป็นไปได้นางก็ไม่อยากรบกวนจั่วชิวอวี้ ทว่าตอนนี้นางอยากรู้เรื่องหอป๋ายเฉาก่อน
“เรื่องนั้นยังต้องไตร่ตรองอีกสักหน่อย เหตุเพราะ….”
จั่วชิวอวี้รวบรวมความกล้า เหตุเพราะสิ่งที่กำลังจะพูดต่อไปสร้างความลำบากใจอย่างยิ่งยวด
ทว่าเสียงน่าหวั่นคร้ามเสียงหนึ่งกลับชิงพูดขึ้นมา
“เหตุเพราะหากต้องการให้คนของหอป๋ายเฉาช่วยเหลือ เช่นนั้นจะต้องเป็นคนที่มีสายเลือดของฮ่องเต้หรือไม่ก็ลูกศิษย์ของหอป๋ายเฉาเท่านั้น นอกจากนั้นแล้วพวกเขาไม่มีทางยื่นมือเข้าช่วยเด็ดขาด”
ดูเหมือนว่าจั่วชิวเฉินเพิ่งเสร็จจากการว่าราชการในราชสำนักแล้วรีบตรงมาที่นี่ เมื่อเทียบกับการแต่งตัวแบบคุณชายธรรมดาในทุกวันแล้ว มงกุฎผิงเทียนบนศีรษะ กอปรกับชุดเหลืองอร่ามลวดลายมังกรห้ากรงเล็บทำให้เขาดูงามสง่าน่าเกรงขาม
แม้ใบหน้าจะสงบนิ่งไม่แสดงออกว่าชอบหรือเกลียด แต่ถึงกระนั้นดวงตากลับมองทุกอย่างออกอย่างชัดเจน
ความหยิ่งทะนงของจักรพรรดิ สายตาดูหมิ่นทั้งใต้หล้าคล้ายคลึงกับหลงเทียนอวี้อยู่หลายส่วน
พวกเขาทั้งคู่เป็นคนมีความสามารถ แม้อุปนิสัยใจคอจะแตกต่างกัน แต่เมื่อยืนด้วยกันแล้ว พวกเขานับเป็นคนประเภทเดียวกัน
แม้จะอยู่ในอาณาเขตของผู้อื่น แต่หลงเทียนอวี้มิเคยแสดงท่าทีอ่อนข้อ ยิ่งไปกว่านั้นจั่วชิวเฉินยังชื่นชมเขามากเป็นพิเศษ ดังนั้นฮ่องเต้ผู้นี้จึงอนุญาตให้หลงเทียนอวี้ไม่ต้องทำความเคารพเขา
เกรงว่าหลงเทียนอวี้จะเป็นเพียงคนเดียวในเมืองหลินเทียนที่มีอภิสิทธิ์พิเศษเช่นนี้
“เปี่ยวเม่ยมีสายเลือดของฮ่องเต้ ยิ่งไปกว่านั้นท่านป้ายังเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของผู้อาวุโสคนแรก ถึงอย่างไรพวกเขาก็คงช่วยรักษาเปี่ยวเม่ยอย่างแน่นอน”
จั่วชิวอวี้มุ่งมั่นที่จะพาหลินเมิ้งหยาไปรักษาที่หอป๋ายเฉา
ทว่าจั่วชิวเฉินกลับไม่เห็นด้วย เหตุเพราะเขารู้เบื้องลึกเบื้องหลังดีกว่าใคร
“พวกเจ้าออกไปก่อน”
“เพคะ”
พวกสาวใช้ต่างพากันเดินออกจากห้อง บรรยากาศในห้องอึดอัดขึ้นมาหลายส่วน แม้หลินเมิ้งหยาจะอยากส่งเสียง แต่กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
ดูเหมือนนางจะเดาเรื่องนี้ออก
“ไร้สาระ! เรื่องที่ท่านป้าเป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสคนแรกเป็นความลับของพวกเราคนในราชวงศ์มานานหลายสิบปี หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เจ้ารู้หรือไม่ว่าเปี่ยวเม่ยจะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงเพียงใด!”
ใบหน้าจั่วชิวเฉินแข็งทื่อเยียบเย็น เขาตะคอกใส่น้องชายตนเอง
จั่วชิวอวี้ที่เพิ่งรับรู้ถึงความผิดของตนเองชะงักอยู่กับที่ แม้จะเข้าใจทุกอย่างดี แต่ถึงกระนั้นเขาก็ส่งสายตาประท้วงอยู่น้อยๆ
ผิดกับคนฉลาดอย่างหลินเมิ้งหยา นางสามารถเดาทุกอย่างออกจากคำพูดเพียงไม่กี่คำของพวกเขา
หากท่านแม่ผู้มียศเป็นถึงองค์หญิงแห่งเมืองหลินเทียนและเป็นลูกศิษย์ลับๆ เพียงคนเดียวของท่านผู้อาวุโสแห่งหอป๋ายเฉาแล้วล่ะก็
เช่นนั้นเหตุผลที่ต้องปกปิดเป็นความลับก็คงถูกเปิดเผยในไม่ช้า
———————–
หมายเหตุ
เป้ยเล่อเป้ยจื่อ [1] หมายถึง เชื้อพระวงศ์ชาย