ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 15 บทที่ 442 อิ่มจนจุก
หลงเทียนอวี้กำชับอีกสองสามคำก่อนจะก้าวเท้ายาวๆ ออกจากประตูใหญ่ของจวนเซิ่นจวิ้นอ๋อง
มองตามหลังหลงเทียนอวี้ หลินเมิ้งหยาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
ดูเหมือนหลงเทียนอวี้และพวกจั่วชิวอวี้จะสนิทสนมกันมากจนผิดปกติ
ไม่เพียงส่งสายตาเชิงให้สัญญาณต่อหน้านาง แต่พวกเขามักจะรวมตัวกันหลังจากนางนอนหลับหรือกินยาเสร็จแล้ว
ทว่านางไม่รู้เลยว่าพวกเขาคุยกันเรื่องอะไร
เอาเถิด นางเองก็ขี้เกียจที่จะถาม คงทำได้เพียงปิดตาลงหนึ่งข้างเพื่อทำให้พวกเขาคิดว่านางสติเลอะเลือน
เหตุเพราะนางเองก็รู้สึกผิดกับหลงเทียนอวี้เช่นเดียวกัน
นางโกหกเขาเรื่องตำราชิงเจิงผู่!
นางไม่ได้อยากปิดบังเขา ทว่าหลายวันมานี้นางเจอเรื่องอันตรายมากมาย ในที่สุดนางก็แอบสืบทราบถึงเบาะแสเกี่ยวกับตำราชิงเจิงผู่
ทว่ายิ่งรู้ความลับมากขึ้นนางก็ยิ่งรู้สึกว่าควรปิดบังพวกเขาเอาไว้ดีกว่าเอ่ยความจริงออกมา
อันที่จริงตำแหน่งของจั่วชิวเฉินอันตรายกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้มาก
เหตุเพราะหอป๋ายเฉาส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเมืองหลินเทียน หากต้องการได้รับการยอมรับจากเชื้อพระวงศ์และราษฎร เช่นนั้นพวกเขาจำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากผู้อาวุโสสูงสุดแห่งหอป๋ายเฉาก่อน
แต่ปัญหาในตอนนี้ก็คือผู้อาวุโสสูงสุดแห่งหอป๋ายเฉาหายตัวไปอย่างลึกลับตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน
คนที่สามารถรับช่วงต่อตำแหน่งของผู้อาวุโสสูงสุดได้ย่อมต้องเป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสสูงสุดหรือไม่ก็ผู้ที่ผู้อาวุโสสูงสุดเลือก
ถูกต้องแล้ว คนผู้นั้นต้องมีตำราชิงเจิงผู่ หากใครก็ตามถือครองตำราชิงเจิงผู่อยู่ คนผู้นั้นย่อมมีสิทธิขึ้นรับตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดแห่งหอป๋ายเฉา
ขอเพียงได้รับตำแหน่ง เท่านี้ก็สามารถได้รับความเคารพจากฮ่องเต้แล้ว
ทว่าจะยอมให้ผู้อื่นหลับนอนข้างเตียงตนอย่างสุขสบายได้เช่นไร ไม่มีทางที่พวกเขาจะยินยอมให้อำนาจตกอยู่ในมือของผู้อื่นอย่างแน่นอน
ฉะนั้นกว่าจะได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสแห่งหอป๋ายเฉาได้จะต้องผ่านการทดสอบหลากหลายรูปแบบ
ขอเพียงได้รับการยอมรับจากทุกคนรวมถึงฮ่องเต้ เท่านี้ก็ได้รับการสนับสนุนจากฮ่องเต้แล้ว
ทว่าผู้อาวุโสสูงสุดคนก่อนกลับแตกต่างออกไป
เขาเป็นพวกคลั่งไคล้การปรุงยา สิ่งเดียวที่เขาสนใจเห็นจะเป็นการศึกษาตำราชิงเจิงผู่
ได้ยินมาว่ามีคนเคยอยากใช้ประโยชน์จากผู้อาวุโสในการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างหอป๋ายเฉาและฮ่องเต้ แต่ฮ่องเต้ในตอนนั้นส่งมอบตำราชิงเจิงผู่ให้แก่ผู้อาวุโสสูงสุดเพื่อบันทึกยาสมุนไพรลับ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผู้อาวุโสจึงจงรักภักดีต่อฮ่องเต้พระองค์ก่อนมาก
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าผู้อาวุโสสูงสุดท่านนี้ทำให้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนไว้เนื้อเชื่อใจ
เหตุเพราะความหลงใหลในการแพทย์ทำให้ผู้อาวุโสท่านนั้นมีความซื่อสัตย์เสมอมา
ด้วยเหตุนี้ท่านแม่จึงกลายเป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสท่านนั้น
แต่เพราะท่านแม่หนีออกจากเมืองหลินเทียน แม้นางจะไม่รู้เหตุผล แต่การหายตัวไปของท่านแม่รวมถึงการหายตัวไปอย่างลึกลับของผู้อาวุโสสูงสุดทำให้หอป๋ายเฉาเกิดความโกลาหล
ทว่าเหตุการณ์นี้ก็สามารถทำให้จั่วชิวเฉินได้ขึ้นครองราชบัลลังก์สำเร็จและกลายเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของราษฎร
อีกไม่นานเรื่องนี้ก็จะจบลง เหตุเพราะทุกสงครามย่อมมีบทสรุปในตอนสุดท้ายเสมอ
นางได้ฟังจากปากของสาวใช้และสืบทราบมาว่าผู้อาวุโสเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งเอาไว้สามคน
พวกเขาล้วนเป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีอำนาจทั้งสิ้น แต่พวกเขากลับไม่อาจพิสูจน์ตนได้ได้ เหตุเพราะตามกฎของหอป๋ายเฉา มีเพียงคนที่ถือครองตำราชิงเจิงผู่เท่านั้นจึงจะสามารถสืบทอดตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดได้
หลินเมิ้งหยาลอบถอนหายใจ มือเล็กยกขึ้นนวดคลึงขมับของตนเอง
ต้องพบกับแผนร้ายและการแย่งชิงอำนาจอีกครั้งแล้ว นางต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เพราะท่านแม่
เฮ้อ แค่คิดก็อดทอดถอนหายใจไม่ได้
“นายหญิง! นายหญิง! ท่าน…ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
เสียงร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นดึงสติของนางกลับมา
หลินเมิ้งหยาหันกลับไปมอง ก่อนจะได้เห็นร่างบางของอาซิ่วและป๋ายซ่าวที่กำลังวิ่งโร่เข้ามาจากด้านนอก
ไม่ได้เจอกันเพียงชั่วขณะเดียว แต่พวกนางกลับผอมลงมาก
โดยเฉพาะหญิงสาวดวงตาเปล่งประกายราวหยดน้ำที่มีขอบตาบวมเป่งดั่งลูกท้อคู่นั้น
เกิดอะไรร้ายแรงขึ้นอย่างนั้นหรือ? รอยยิ้มที่มุมปากหุบลงในทันใด ความรู้สึกร้อนรุ่มใจเข้ามาแทนที่
การที่มีใครสักคนทำดีกับตัวเองด้วยความจริงใจช่างเป็นโชคดีที่หาได้ยากยิ่ง
“ข้าไม่เป็นไร แขนขวาหลุดแต่เพียงเท่านั้น หลายวันมานี้จึงออกแรงมากไม่ได้เหมือนก่อน ดูเจ้าเถิด ข้าไม่เป็นไรเสียหน่อย เหตุใดเจ้าต้องร้องห่มร้องไห้ถึงเพียงนี้เล่า!”
บาดแผลภายนอกไม่สาหัส ยิ่งมียาครอบจักรวาลช่วยบำรุง ร่างกายจึงกลับมาเป็นปกติเหมือนก่อนอย่างรวดเร็ว ส่วนเรื่องที่ว่าแขนขวาจะยังสามารถใช้งานได้หรือไม่นั้น นางยังมิอาจแน่ใจ
“ข้าเป็นห่วงท่านนี่เจ้าคะ แต่ก่อนท่านขี่ม้าเป็นเสียที่ไหน เหตุใดอยู่ที่นี่จึงได้เอาแต่ใจนักเล่า? ข้าขอดูหน่อยเถิดว่ายังบุบสลายตรงไหนหรือไม่?”
แขนขวาของหลินเมิ้งหยาไร้ซึ่งความรู้สึกอย่างสิ้นเชิง แต่เมื่อป๋ายซ่าวไปโดน นางจึงแสร้งโอดครวญด้วยความเจ็บปวดออกมา
“โอ๊ย…”
ป๋ายซ่าวรีบชักมือกลับ ชำเลืองมองนายหญิงอย่างรู้สึกผิด นางไม่กล้าแตะต้องแขนขวาของนายหญิงอีก
“เด็กคนนี้นี่ ทั้งที่ไม่ได้เจอกันเพียงไม่กี่วัน เหตุใดจึงทำท่าทางเหมือนไม่รู้จักข้าแล้วเล่า หรือใบหน้าของข้ามีสิ่งใดผิดปกติ ใยเจ้าจึงจ้องตาแข็งเช่นนั้น?”
หลินเมิ้งหยาอดที่ไม่ได้ที่จะเรียกร้องความสนใจจากอาซิ่ว ทว่าเด็กคนนี้กลับกะพริบตาปริบๆ มองตนเอง
แววตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใส
“พี่เมิ้งหยา ที่แท้ท่านก็คือชายาอวี้ผู้เลื่องชื่อลือนามผู้นั้น! สมคำร่ำลือจริงๆ คนที่ข้าเลื่อมใสมาตลอดก็คือท่าน!”
หลินเมิ้งหยามิได้รู้สึกแปลกใจที่อาซิ่วล่วงรู้ตัวตนของนาง
เด็กคนนี้เป็นคนตรงไปตรงมา คาดว่านางคงเป็นผู้ปกป้องป๋ายซ่าวระหว่างที่เดินทางมายังที่นี่อย่างแน่นอน
ฉะนั้นป๋ายซ่าวจึงเผลอเผยตัวตนของนางไปโดยมิได้ตั้งใจ
เหตุเพราะความกระวนกระวาย ดังนั้นเหตุการณ์คงวุ่นวายไม่น้อย หลินเมิ้งหยาเชื่อว่าป่านนี้ข่าวเรื่องตัวตนของนางคงแพร่กระจายไปทั่วทั้งขบวนการค้าแล้ว
ป๋ายซ่าวจะต้องร้องห่มร้องไห้เพราะความกังวลอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นนางคงไม่ใช่ป๋ายซ่าว
“เจ้าเลื่อมใสข้าเรื่องอันใดเล่า? เฮ้อ เหตุที่ข้าต้องการปกปิดตัวตนก็เพราะชื่อเสียงฉาวโฉ่ของตัวเอง เหตุใดชื่อเสียงของข้าจึงเลื่องลือไปถึงเมืองเลี่ยหยุนได้?”
หลินเมิ้งหยาจงใจถอนหายใจเพื่อหยอกเย้าอาซิ่ว
อาซิ่วฉีกยิ้มจนตาหยีก่อนจะนั่งลงข้างหลินเมิ้งหยา ท่าทางเหมือนน้องสาวผู้คลั่งใคล้ไม่มีผิด นางจ้องหลินเมิ้งหยามิวางตาก่อนจะเอ่ย
“แน่นอนว่ามิใช่ชื่อเสียงฉาวโฉ่แต่อย่างใด! ข้าได้ยินมาว่าตอนที่ท่านและท่านอ๋องอวี้แต่งงานกัน ท่านอ๋องอวี้มีตาแต่หามีแววไม่ เขาคิดจะทิ้งท่านไว้นอกประตูจวน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าการปรากฏตัวของท่านจะทำให้ท่านอ๋องตกตะลึงจนพูดไม่ออก เขารีบต้อนรับท่านเข้าสู่จวนทันที ยังมีอีกนะเจ้าคะ ตอนนั้นมีพวกอันธพาลอำนาจคับฟ้าชอบกลั่นแกล้งรังแกคนในเมืองหลวง แต่ท่านกลับไม่กลัวแล้วจัดการคนเหล่านั้นจนกลิ้งกระเด็นกระดอนเหมือนลูกบอล สุดท้ายท่านช่วยราษฎรยากแค้นเอาไว้เป็นจำนวนมาก ทุกคนล้วนเคารพเลื่อมใสท่าน ยังมีอีก ยังมีอีก…”
หลินเมิ้งหยารีบร้องห้ามอาซิ่ว สวรรค์โปรด นี่ใครปล่อยข่าวลือเรื่องพวกนี้กันเล่า?
“หยุด หยุด หยุด หากยังพูดต่อเกรงว่าข้าจะกลายเป็นวีรสตรีกู้โลกไปเสียแล้ว ใครเป็นคนเล่าเรื่องพวกนี้ให้เจ้าฟังกัน ข้าจะไปเก็บค่าลิขสิทธิ์กับเขาสักหน่อย”
อาซิ่วรีบแลบลิ้นล้อเลียน แต่กลับไม่ยอมบอกว่าใครเป็นผู้เล่า
หลินเมิ้งหยาไม่เค้นถามนาง เหตุเพราะเรื่องในคราวนั้นหาใช่ความลับ หากทุกคนรู้ก็ปล่อยให้รู้ไปเถิด
หาใช่เรื่องอัปยศอดสูแต่อย่างใด แต่บางทีก็กล่าวชมเกินไปจริงๆ
หลังจากทักทายกันอยู่ครู่หนึ่ง คนทั้งจวนก็ได้รู้ว่าแขกทั้งสองเป็นคนสำคัญ
ในเมื่อป๋ายซ่าวมาแล้ว เช่นนั้นคนที่เปลี่ยนผ้าพันแผลและใส่ยาย่อมเป็นหน้าที่ของนาง
เหตุเพราะพวกนางทั้งสองมีรูปโฉมงดงาม ฝีปากอ่อนหวานชวนหลงใหล ซ้ำยังทำงานคล่องแคล่วว่องไว ดังนั้นเวลาเพียงครึ่งวันก็สนิทสนมคุ้นเคยกับพวกสาวใช้แล้ว
จวนอ๋องที่เคยเยือกเย็นมีชีวิตชีวากว่าก่อนมาก
หลินเมิ้งหยาที่ได้เจอกับพี่น้องทั้งสองอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก ตอนเย็นจึงกินข้าวมากกว่าหนึ่งชาม หลงเทียนอวี้จึงเบาใจลงมาก
แต่เพราะกินมากจนเกินไป หลินเมิ้งหยาจึงรู้สึก…จุก!
เหตุเพราะความตื่นเต้นดีใจ ดังนั้นร่างกายของนางจึงรับไม่ไหว
ความทรมานจากอาการจุกทำให้นางมิอาจข่มตาหลับ
สุดท้ายต้องขอให้คนประคองตนเองไปด้านนอกเพื่อมองดูพระจันทร์ สายลมเย็นพัดผ่านกระทบร่าง
หยิบยาช่วยย่อยเข้าปาก รสชาติหวานอมเปรี้ยวทำให้ดวงตาของหลินเมิ้งหยาหรี่เล็กลง
“กินอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ เหตุใดจึงไม่แบ่งเปี่ยวเกอบ้างเล่า?”
ท่ามกลางแสงจันทร์ ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้น
รูปร่างสูงโปร่งปลดเปลื้องชุดหรูหราลวดลายมังกรออกแล้ว ท่วงท่างามสง่าทั้งยังน่าเกรงขาม
หลินเมิ้งหยาหัวเราะ ก่อนจะพยิบยาเม็ดเล็กสีแดงเข้มใส่ฝ่ามือแล้วยื่นให้จั่วชิวเฉิน
“โอ้ ที่แท้ก็ลูกอมนี่เอง เปี่ยวเม่ยนิสัยเหมือนเด็กยิ่งนัก แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่มีเวลาผ่อนคลายเช่นนั้นอีกแล้ว”
แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่จั่วชิวเฉินกลับหยิบเข้าปาก
รสชาติหวานอมเปรี้ยวปลดเปลื้องความขมขื่นในหัวใจ
กลืนรสชาติหวานอมเปรี้ยวลงคอ ราวกับความทุกข์ใจทุเลาลงหลายส่วน
“ท่านมีเรื่องทุกข์ใจก็เลยนอนไม่หลับหรือ?”
แม้จะรู้อยู่แก่ใจแต่ก็ยังมิวายเอ่ยถาม หลังจากทำความรู้จักกันอยู่หลายวัน หลินเมิ้งหยารู้สึกได้ว่าญาติผู้นี้คนนี้มิใช่คนยอมตื่นเช้าหากไม่มีกำไร
เอาอกเอาใจนางอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังปฏิบัติต่อมิตรสหายของนางเป็นอย่างดี หากกล่าวว่าเขาไม่มีจุดประสงค์อื่น คงมีแต่ภูตผีเท่านั้นที่จะเชื่อ
“เกรงว่าเหตุผลของพวกเราจะเหมือนกัน”
จั่วชิวเฉินเกริ่นนำ แต่หลินเมิ้งหยากลับยิ้มจนตาหยีพร้อมทั้งเอ่ย
“คืนนี้ข้าเพียงแต่กินอิ่มเกินไปจนจุก เปี่ยวเกอเองก็เช่นเดียวกันหรือเพคะ?”