ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 15 บทที่ 443 เสนอข้อแลกเปลี่ยน
จั่วชิวเฉินไม่เพียงอึ้งงัน รอยยิ้มของเขายังแข็งค้างอีกด้วย
หลินเมิ้งหยามองท่าทางเหมือนคนถูกจับได้ของเขา ดวงตาพลันเปล่งประกายแวววาว
ญาติผู้พี่คนนี้หาใช่คนธรรมดา ตรึกตรองดูสักเล็กน้อย ศึกชิงตำแหน่งในหอป๋ายเฉาเป็นเพียงเรื่องของชนชั้นสูงเท่านั้น เช่นนั้นเหตุใดสาวใช้ตัวเล็กๆ จึงรู้เรื่องนี้ได้เล่า?
มิวายได้รับคำสั่งจากจั่วชิวเฉินเป็นแน่ เขาคงต้องการให้นางได้รับรู้ความตั้งใจของเขา
ยิ่งไปกว่านั้นจั่วชิวอวี้รู้ดีว่านางเป็นคนเช่นไร การที่สองพี่น้องทำกับนางเช่นนี้ เกรงว่านางคงเปลี่ยนลูกท้อให้เป็นลูกแพร์ไม่ได้เสียแล้ว
“ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล แต่ถึงกระนั้นอาอวี้ก็ยังดึงดันที่จะทำ ดูเหมือนข้าจะคิดถูกแล้ว ดูท่าเมื่อสายเลือดของสกุลหลินและสกุลจั่วหลอมรวมเข้าด้วยกันเกิดเป็นผลลัพธ์อันแสนโดดเด่นขึ้นมาเสียแล้ว”
จั่วชิวเฉินปรับท่าทีให้ผ่อนคลายยิ่งขึ้น ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่หลินเมิ้งหยาสัมผัสได้ว่าในที่สุดจั่วชิวเฉินก็มองนางเหมือนผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันแล้ว
นางมิใช่เพียงน้องสาวคนหนึ่งอีกต่อไป
“จั่วชิวอวี้รู้จักหม่อมฉันดีฉะนั้นจึงทำเช่นนี้ เปี่ยวเกออยากให้ข้าทำสิ่งใดหรือ? อยากให้ข้าช่วยตามหาตำราชิงเจิงผู่หรือว่า…อยากให้ข้ารับช่วงต่อตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุด?”
ท่ามกลางแสงจันทร์ สีหน้าของหลินเมิ้งหยาอ่อนโยนอบอุ่น โทสะแม้สักนิดก็ไม่มี
หากมองจากระยะไกล สองพี่น้องคู่นี้มิต่างจากคนกำลังคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ
ไม่มีใครรู้ว่าภายใต้ใบหน้าสมานฉันท์กันนั้นกำลังสนทนาความลับอันเกี่ยวกันกับยุทธจักรอยู่
“หากให้เจ้ารับตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดในเวลานี้ เกรงว่าจะมิต่างอันใดจากโยนเจ้าลงกองไฟ หากเป็นไปได้แล้วล่ะก็ ข้าหวังว่าเจ้าจะนำตำราชิงเจิงผู่มาให้ข้ายืมสักครั้ง”
แม้จะเป็นบทสนทนาเสมือนกำลังปรึกษา แต่หลินเมิ้งหยากลับได้กลิ่นความเจ้าเล่ห์อยู่หลายส่วน
หยักยิ้มน้อยๆ มือซ้ายยกขึ้นเคาะศีรษะของตนเอง
“ชิงเจิงผู่ถูกทำลายไปแล้วจริงๆ เพคะ…”
จั่วชิวเฉินหยักยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเงยหน้ามองดวงจันทร์เฉกเช่นเดียวกับหลินเมิ้งหยา
“หากเจ้าสามารถช่วยเปี่ยวเกอได้ เช่นนั้นเปี่ยวเกอจะมอบสิทธิขาดทั้งหมดในการทำการค้าของเมืองหลินเทียนให้เจ้าเป็นผู้ตัดสินใจดีหรือไม่?”
เอ่ยเสียงราบเรียบแฝงแววยั่วเย้า
หลินเมิ้งหยาตื่นตะลึง หรือเรื่องที่นางเป็นเจ้าสำนักกลุ่มสามสหายจะถูกเปิดเผยแล้ว? ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง…ไม่น่าใช่
แม้แต่หลงเทียนอวี้เองก็ยังไม่รู้ เช่นนั้นเฉินเปี่ยวเกอจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?
“ไม่มีประโยชน์หรอกเพคะ ข้ามิได้อาศัยอยู่ที่นี่ ต่อให้ท่านมอบอำนาจให้ข้า ข้าก็มิอาจใช้มันได้”
ส่งสายตาเง้างอนไร้ซึ่งพิรุธใดๆ
หลินเมิ้งหยาหันหน้ากลับไปหัวเราะคิกคักให้กับจั่วชิวเฉินด้วยท่าทางเสมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์เพื่อลองหยั่งเชิงว่ามีอีกฝ่ายจะมีไพ่ตายเช่นไรอีก
“อำนาจเชียวนะ เจ้าคงไม่สนใจ เช่นนั้นคงมีเพียงทรัพย์สมบัติที่เปี่ยวเกอจะสามารถมอบให้เจ้าได้ แม้ท่านอ๋องของเจ้าจะมีอำนาจล้นฟ้า แต่เขาก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง เจ้าเองก็ควรมีสินเดิมมากหน่อยมิใช่หรือ?”
เอ่ยโน้มน้าวโดยไร้ซึ่งพิษภัย ทั้งหมดที่กล่าวออกมาล้วนทำเพื่อหลินเมิ้งหยาทั้งสิ้น
หลุบตาต่ำ หลินเมิ้งหยาตอบเสียงกลั้วหัวเราะ
“เปี่ยวเกอใจกว้างยิ่งนัก ได้ เช่นนั้นข้าจะช่วยท่านตามหาตำราชิงเจิงผู่ แต่ข้ามีเงื่อนไขหนึ่งข้อ ข้าต้องการดูแลหอป๋ายเฉา แต่ข้าจะไม่มีทางโรยเกลือลงแร่เหล็กเป็นอันขาด”
แลกเปลี่ยนเงื่อนไขเสมือนกำลังหยั่งเชิงอีกฝ่ายก็มิปาน ทั้งรุกทั้งรับเพื่อรอฟังความเห็นของอีกฝ่าย
“ได้ แต่เกรงว่าตำราชิงเจิงผู่จะมิอาจหาเจอได้ง่ายๆ เช่นนั้นกำหนดเวลาสักสามเดือนเป็นอย่างไร?”
สามเดือน? เปี่ยวเกอร้อนใจเกินไปหรือไม่
หลินเมิ้งหยาเอียงศีรษะราวกับกำลังไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยื่นนิ้วชี้ขึ้นตั้งตรง
“หนึ่งปีเถิดเพคะ หากไหล่ขวาของข้ายังไม่หายดี เช่นนั้นคงมิอาจหาตำราชิงเจิงผู่เจอ”
จั่วชิวเฉินเข้าใจความคิดของหลินเมิ้งหยาในทันที เขากระตุกยิ้มพลางส่ายหน้า
“น้องเมิ้งหยารอบคอบยิ่งนัก เช่นนั้นหนึ่งปีก็แล้วกัน ข้าต้องขอขอบใจเปี่ยวเม่ยมาก”
ถวายคำนับหนึ่งครั้ง ทั้งสองส่งยิ้มให้แก่กัน
เรื่องบางเรื่องมิอาจเอ่ยออกมาได้
“ข้ายังมีเรื่องให้ต้องทำ คงไม่อยู่เป็นเพื่อนคุยกับเจ้าแล้ว อีกสองวันพวกเราจะออกเดินทางไปยังเมืองหลวงเก่าเพื่อขอให้คนของหอป๋ายเฉารักษาอาการบาดเจ็บให้เจ้า”
หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง ก่อนจะเรียกสาวใช้มาประคองตนเองกลับไปที่ห้อง
ภายใต้มุมมืด ดวงตาของจั่วชิวเฉินเปล่งประกาย รอยยิ้มมิทราบที่มาผุดขึ้นบนใบหน้า ก่อนที่เท้าจะก้าวออกจากจวนเซิ่นจวิ้นอ๋อง
เหตุเพราะร่างกายยังคงอ่อนแอ เพียงเดินจากลานกลับมายังเตียงก็ทำให้นางเหนื่อยหอบเสียแล้ว
บางทีอาจเพราะตอนกลางวันนางออกแรงมากเกินไปกระมัง
ป๋ายซ่าวปูเตียงอย่างที่นางชอบรอไว้ก่อนแล้ว ประคองหลินเมิ้งหยาเปลี่ยนเป็นชุดนอน ป๋ายซ่าวยกผ้านวมเข้ามาพร้อมทั้งดึงดันว่าจะนอนข้างล่างเตียงหลินเมิ้งหยาให้ได้
“เจ้าจะลำบากเช่นนี้ไปทำไมเล่า? ใช่ว่าจวนจวิ้นอ๋องไร้ห้องหับเสียเมื่อไร เจ้านอนเช่นนี้ไม่ดีต่อร่างกายเลยแม้แต่น้อย”
ภายในห้องเหลือเพียงแสงจากเปลวเทียนเท่านั้น
หลินเมิ้งหยาตะแคงหน้ามองดูป๋ายซ่าวที่นอนอยู่บนพื้น
“ไม่เจ้าค่ะ ตอนนี้ร่างกายของนายหญิงไม่แข็งแรง หากนายหญิงกระหายน้ำแต่ไม่มีใครรินให้จะทำเช่นไร ข้าจะอยู่รับใช้นายหญิงอยู่ที่นี่ไม่จากไปไหนแล้วเจ้าค่ะ”
ป๋ายซ่าวไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เหตุเพราะที่นี่มีผ้าบุนวมผืนใหญ่
ยิ่งไปกว่านั้นพื้นไม้ของจวนแห่งนี้ยังทำจากต้นฝ้าย แม้จะใช้เท้าเหยียบก็ยังสัมผัสถึงความสบายได้
บนบ่าของนางแบกความหวังของเหล่าพี่น้องอยู่ เมื่อนายหญิงได้รับบาดเจ็บ นางจึงทุกข์ใจยิ่งนัก
หากยังไม่ดูแลนายหญิงให้ดีอีก นางคงไม่มีวันให้อภัยตัวเอง
หลินเมิ้งหยาเอ่ยโน้มน้าวอีกสองสามคำ ทว่านางกลับยังยืนยันคำเดิม
ในเมื่อไม่มีทางเลือก หลินเมิ้งหยาจึงทำได้เพียงสั่งให้นางนำพรมขนแกะมาปูพื้น
“ป๋ายซ่าว เจ้าคิดว่าเมืองหลินเทียนเป็นอย่างไร?”
หลินเมิ้งหยานอนอยู่บนเตียง ดวงตาทั้งสองข้างเปิดกว้าง เสียงนุ่มนวลเสมือนกำลังคุยเรื่องสัพเพเหระ
“ก็ไม่เลวเจ้าค่ะ เมื่อเทียบกับต้าจิ้นของพวกเราแล้ว พวกแม่นางที่นี่ฉลาดเฉลียวมีไหวพริบยิ่งนัก จริงสิเจ้าคะนายหญิง ระหว่างทางมาที่นี่ข้าได้ยินมาว่าที่นี่มีของดีๆ ที่ต้าจิ้นไม่มีมากมาย แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีที่ไหนสุขใจเท่าที่บ้านแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
ยิ่งเดินทางจากบ้านมาไกลเท่าไร นางยิ่งรู้สึกว่าบ้านเป็นสถานที่ที่อบอุ่นและล้ำค่าที่สุดแล้ว
ตอนนี้นางอยากจะบินกลับต้าจิ้นเลยเสียด้วยซ้ำ นางอยากกลับไปหาพวกพี่น้องของตนเองเพื่อใช้ชีวิตสนุกสนานดั่งเดิม
“อืม เช่นนั้นก็ดีแล้ว แต่ที่นี่ก็เปรียบเสมือนบ้านหลังหนึ่งของข้าเช่นเดียวกัน ป๋ายซ่าว หากข้าต้องอยู่ที่นี่ เช่นนั้นเจ้าจะอยู่กับข้าหรือไม่?”
ป๋ายซ่าวไม่เข้าใจเท่าไรนักว่าเหตุใดนายหญิงจึงเอ่ยเช่นนี้
ความคิดแรกที่เกิดขึ้นคือนายหญิงเป็นพระชายาของต้าจิ้น แน่นอนว่านางไม่อาจอาศัยอยู่ในเมืองหลินเทียนได้
แต่นางก็นึกขึ้นมาได้อีกว่านายหญิงมีอีกฐานะคือองค์หญิงแห่งเมืองหลินเทียน
ยิ่งไปกว่านั้นเซิ่นจวิ้นอ๋องและฮ่องเต้แห่งเมืองหลินเทียนดีต่อนายหญิงมาก อีกทั้งที่นี่ยังเป็นบ้านอีกหลังของนายหญิง เช่นนั้นหากนายหญิงต้องการอยู่ที่นี่ นางเองก็จะอยู่รับใช้นายหญิงเช่นเดียวกัน
“แน่นอนเจ้าค่ะ นายหญิงอยู่ที่ไหน ข้าก็จะอยู่ที่นั่น แต่ข้าหวังว่าพวกพี่น้องของเราจะมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน”
คำพูดของป๋ายซ่าวทำให้ดวงตาของหลินเมิ้งหยาเบิกกว้าง
แม้นางกับหลงเทียนอวี้จะเริ่มผูกสัมพันธ์ทางใจกันแล้ว แต่ก้นบึ้งในหัวใจของนางกลับยังคงขุ่นมัว
บางเรื่องของต้าจิ้นทำให้นางเข้าใจอะไรหลายอย่าง แม้ไท่จื่อจะถือกำเนิดจากท้องของฮองเฮา ทว่าจิตใจของเขากลับคับแคบ ไร้ซึ่งความสามารถ ขนาดจะเป็นบุรุษที่ดียังทำได้ยาก เช่นนั้นเขาจะกลายเป็นประมุขของแคว้นได้อย่างไร?
ส่วนหลงเทียนอวี้ แม้เขาจะไม่คิดแย่งชิงบัลลังก์ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็มิอาจหลีกหนีการต่อสู้ได้
หากมองจากความสามารถของเขา แม้เขาจะไม่ได้ขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร แต่สุดท้ายเขาก็จะกลายเป็นขุนนางชั้นสูงในราชสำนัก
เมื่อวันนั้นมาถึงนางยังจะสามารถอยู่เคียงข้างเขาและคอยจัดการปัญหาแทนเขาได้หรือไม่?
หลินเมิ้งหยาไม่มีความมั่นใจในคำตอบเลยแม้แต่น้อย
สิ่งที่รบกวนจิตใจของนางมากที่สุดคือหลงเทียนอวี้ไม่เคยเอ่ยคำว่ารัก แม้กระทั่งคำว่าชอบก็มิเคยเปิดเผยให้ได้ยิน
พูดไปพูดมาก็ยิ่งน่าขัน ตอนที่นางสลบไสลมิได้สติ หลงเทียนอวี้อยู่ดูแลข้างกายนางไม่ห่าง เมื่อนางฟื้นคืนสติ เขาก็ปฏิบัติต่อนางด้วยความอ่อนโยน
แต่สตรีล้วนมิต่างอันใดจากสัตว์ตัวน้อย เมื่อหลงรักใครแล้ว ย่อมต้องการความมั่นใจและคำสัญญา
ต่อให้คำมั่นสัญญาจะไร้ประโยชน์ แต่เชื่อว่าสตรีทั้งหลายล้วนเลือกที่จะเชื่อมั่นในคำพูดเหล่านั้น
แม้นางจะเป็นคนมีความสามารถมากมายสักเพียงไหน แต่นางยังเป็นมือใหม่เรื่องความรัก
“เฮ้อ…”
บางทีความคาดหวังในใจของนางอาจมีมากจนเกินไป
“นายหญิง ท่านกำลังกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บอยู่หรือเจ้าคะ? วันนี้หมอชิว ไม่สิ เซิ่นจวิ้นอ๋องบอกแล้วว่าอีกสองวันจะพาท่านไปหาท่านอาจารย์ของเขาเพื่อรักษา วางใจเถิดเจ้าค่ะ เซิ่นจวิ้นอ๋องมีความสามารถทางด้านการแพทย์ขั้นสูง เช่นนั้นท่านอาจารย์ของเขาจะต้องเก่งมากแน่นอน”
ป๋ายซ่าวปลอบโยนหลินเมิ้งหยา ทว่าสิ่งที่หลินเมิ้งหยากำลังกังวลหาใช่เรื่องนี้ไม่
ตอนนี้นางมีตำราชิงเจิงผู่อยู่ในมือ เช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วไหล่ขวาของนางจะต้องได้รับการรักษาจนหายดีอย่างแน่นอน ทว่าสูตรยาในตำราชิงเจิงผู่ โดยเฉพาะสูตรยารักษาอาการเฉพาะทาง นางมั่นใจว่าตำราแพทย์ทั่วไปมีการบันทึกไว้เพียงไม่กี่คำเท่านั้น
นับตั้งแต่ต้นจิ่งซินเหลียนจนกระทั่งหญ้าหลงสิง จวบจนสูตรยารักษาอาการบาดเจ็บของนาง หากนางใช้วิธีการรักษาตามตำรา เช่นนั้นสักวันหนึ่งเรื่องที่นางมีตำราชิงเจิงผู่อยู่ในมือจะต้องถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลานั้นปัญหาก็จะตามมาด้วยเช่นเดียวกัน
อันที่จริงพวกคนชุดดำที่ถนนเซียนยังไม่มั่นใจว่านางมีตำราชิงเจิงผู่อยู่ในมือ มิเช่นนั้นพวกเขาคงจับคนของนางแล้วบีบให้นางส่งมอบตำราออกมา
เรื่องนี้เตือนสติของนางว่าจากนี้ไปคนรอบตัวนางจะตกอยู่ในอันตรายเฉกเช่นเดียวกับนาง