ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 15 บทที่ 444 ข่าวฉาวในจวนเซิ่นจวิ้นอ๋อง
ฉะนั้นนางจึงตอบตกลงเงื่อนไขของจั่วชิวเฉิน
เหตุผลหาใช่เรื่องอื่นใด เมื่อนางตอบตกลงทำตามเงื่อนไขของเขาแล้ว เช่นนั้นพวกคนที่กำลังจับจ้องตำราชิงเจิงผู่จะหันเหความสนใจไปที่จั่วชิวเฉินแต่เพียงผู้เดียว
คนหนึ่งคือพระชายา ส่วนอีกคนคือฮ่องเต้ เพียงเท่านี้ก็รู้ได้แล้วว่าช่วงชิงจากใครง่ายดายที่สุด ทว่าก่อนหน้านั้นอันตรายคงพุ่งมาหานาง
หากเป็นเช่นนั้น สู้นางอยู่ที่เมืองหลินเทียนต่อไปอีกหน่อยไม่ดีกว่าหรือ เหตุเพราะหากนางยังอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็มีจั่วชิวเฉินคอยปกป้องดูแล
อย่าว่าแต่ได้กินอิ่มนอนอุ่นเลย พวกเขามักหยอกล้อนางให้อารมณ์ดีอยู่เสมอ
ใช่ว่าใครจะได้รับการทะนุถนอมหยอกเย้าจากประมุขของแคว้นได้ง่ายๆ เสียเมื่อไร
อย่างน้อยเมื่อกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนแล้ว นางก็มีเรื่องคุยโม้โอ้อวดกับใครต่อใครได้
อย่างไรก็ตาม นางคงเป็นเพียงคนเดียวในโลกที่สามารถทำให้ฮ่องเต้กลายเป็นม้าน้อยเอาไว้ขี่เล่น
ความรู้สึกเช่นนี้คงมีคำจำกัดความเพียงคำเดียวนั่นก็คือ “สุดยอด”
นางสนทนากับป๋ายซ่าวอีกสองสามคำ ในที่สุดหลินเมิ้งหยาก็หลับไปเพราะความอ่อนล้า
ความฝันในค่ำคืนนี้มีความฝันของสาวน้อยที่หาได้ยากยิ่งเจืออยู่หลายส่วน
ด้านอกห้อง สายลมเย็นพัดผ่าน กลีบดอกไม้สีขาวอมชมพูร่วงโรยลงบนพื้น….
“พวกเจ้าเอาวางไว้ที่นี่เถิด พระชายายังไม่ตื่น เบาๆ หน่อยล่ะ อย่าทำให้พระชายาตกใจตื่น”
อรุณรุ่งวันถัดมา ป๋ายซ่าวลุกจากที่นอนอย่างเงียบงัน หยุดยืนหน้าประตูห้องตระเตรียมชุดและเครื่องประดับสำหรับสวมใส่ของหลินเมิ้งหยาในวันนี้
ครั้นอาศัยอยู่ในจวนอวี้ พระชายาไม่เคยเลือกกินเลือกใส่ แต่ถึงกระนั้นไม่ว่าเสื้อผ้าชุดไหนก็ล้วนแล้วแต่โดดเด่นแตกต่างจากพวกคุณหนูสูงศักดิ์ในเมืองหลวงทั้งสิ้น
เครื่องประดับในวันนี้ประกอบด้วยปิ่นทองระย้าลายดอกโบตั๋น วัสดุล้วนทำจากทอง มุขแต่ละเม็ดล้วนถูกขัดจนเรียบเนียนกลมกลึง นอกจากนี้ยังมีตุ้มหูสีชาดลายดอกเหมยและดอกหรงฮวา
เครื่องประดับทุกชิ้นล้วนหรูหรางดงาม ขณะเดียวกันยังมีชีวิตชีวา
ชุดกระโปรงทำจากผ้าต่วนชั้นดีของเมืองหลินเทียน ด้านในคือชุดเกาะอกชาววังสีเขียวเมล็ดถั่ว รองเท้าปักสีอ่อนประดับไข่มุกขนาดเท่าเล็บมือสองเม็ด
ชุดเหล่านี้ถูกส่งมาจากฝ่ายเย็บปักของวังหลวง
แม้จะเกิดเรื่องขึ้นอย่างกะทันหัน ทว่าฝีมือในการปักเย็บกลับไร้ที่ติ
ลวดลายดอกเหมยถูกปักลงบนชุดอย่างพิถีพิถัน หากคนอื่นสวมใส่คงมิต่างอันใดจากพวกแม่สื่อ แต่เมื่ออยู่บนร่างของหลินเมิ้งหยา ผิวขาวนวลเนียนดุจหิมะขับให้นางเปล่งรัศมีสง่างามน่าเกรงขาม
กอปรกับร่างกายที่ยังคงอ่อนแอบอบบางของหลินเมิ้งหยา ดังนั้นนางจึงมิต่างอันใดจากเทพเซียนลงมาจุติยังโลกมนุษย์
เพียงได้เห็นก็รู้สึกถึงความงดงามดั่งภาพจิตรกรรมรังสรรค์
ป๋ายซ่าวตรวจสอบอย่างละเอียด หลังจากมั่นใจแล้วว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ นางจึงสั่งให้คนนำไปวางไว้บนโต๊ะ
หากหลินเมิ้งหยาตื่นนอนก็พร้อมที่จะสวมใส่ทันที
“เจ้าได้ยินข่าวหรือไม่?”
“ได้ยินแล้ว ช่างเจ้าชู้หลายใจยิ่งนัก พวกผอจื่อซักล้างเล่าว่าแม่นางคนนั้นวิ่งออกจากห้องมาทั้งที่เสื้อผ้ายังใส่ไม่เรียบร้อย”
“จริงหรือ? ผู้หญิงต้าจิ้นใจกล้ายิ่งนัก”
บริเวณระเบียงทางเดิน สาวใช้ด้านนอกสองคนกำลังสุมหัวกันซุบซิบนินทา
หลินเมิ้งหยายังไม่ตื่น หัวคิ้วป๋ายซ่าวขมวดมุ่น นางสาวเท้าออกไป แต่เมื่อนางเดินเข้าไปใกล้ พวกสาวใช้เหล่านั้นพลันปิดปากสนิท
ป๋ายซ่าวรู้ดีว่าใบหน้าของตนดุดันเกินไป ดังนั้นนางจึงทำให้ตัวเองผ่อนคลายมากยิ่งขึ้นแล้วเข้าไปทักทายสาวใช้เหล่านั้น
“ทุกคนอยู่ที่นี่เองหรือ บังเอิญยิ่งนัก นายหญิงของข้ายังหลับอยู่ หากพวกเจ้าไม่รังเกียจ เช่นนั้นข้าขอเชิญพวกเจ้ามาดื่มชาด้วยกันหน่อยได้หรือไม่? ตลอดหลายวันมานี้ลำบากพวกเจ้าแล้ว”
ป๋ายซ่าวได้วิชาการปะเหลาะคนจากหลินเมิ้งหยามาไม่น้อย
ความอ่อนน้อมถ่อมตนยังคงเป็นอาวุธอันทรงพลังอยู่เสมอ
เพียงได้ยินว่าสาวใช้คนสนิทของจวิ้นจู่ต้องการเชิญพวกนางดื่มน้ำชา มุมปากแย้มยิ้มกว้างในทันใด
“แม่นางเกรงใจเกินไปแล้ว พวกเราเป็นเพียงสาวใช้หยาบกระด้าง เช่นนั้นจะดื่มชาร่วมกับแม่นางได้อย่างไร”
พวกนางมักเอื้อนเอ่ยอย่างเกรงใจอยู่บ่อยครั้ง ทว่าป๋ายซ่าวกลับส่งยิ้มอ่อนโยนและเอ่ยประเล้าประโลมต่อ
“ข้าเองก็เป็นเพียงสาวใช้ แต่เพราะนายหญิงใช้งานจนเคยชินแล้วก็เท่านั้น ข้าต่างหากที่รู้สึกว่าพวกเจ้าช่างฉลาดเฉลียวมีไหวพริบยิ่งนัก คาดว่าวันข้างหน้าจะต้องมีตำแหน่งใหญ่โตอย่างแน่นอน พวกเราล้วนเปรียบเสมือนพี่น้องกัน อย่าได้เกรงใจกันอีกเลย ไปเถิด วันนี้เหมาะแก่การดื่มชายิ่งนัก”
แม่นางเหล่านั้นยิ้มกว้างแล้วเดินตามป๋ายซ่าวไปยังห้องในลานฝั่งตะวันตก
อันที่จริงที่นี่เป็นห้องซึ่งจัดเตรียมไว้ให้ป๋ายซ่าว แต่นางยืนกรานเสียงแข็งว่าจะอยู่รับใช้ที่ห้องของหลินเมิ้งหยา ฉะนั้นที่นี่จึงกลายเป็นห้องเตรียมชาชั่วคราว
ป๋ายซ่าวใช้เงินซื้อผลไม้และขนมมาเล็กน้อย
ทุกคนลุกจากที่นอนกันแต่เช้า ยิ่งไปกว่านั้นอาหารเช้ายังได้กินเพียงน้อยนิด ดังนั้นเพียงคุยกันสองสามคำ พวกสาวใช้ก็ถูกป๋ายซ่าวซื้อใจได้สำเร็จ
ยกถ้วยน้ำชา ป๋ายซ่าวชวนสนทนา
เหล่าสาวใช้เริ่มผ่อนคลายขึ้นมาบ้างแล้ว ในที่สุดก็พูดคุยเรื่องข่าวซุบซิบในจวนเซิ่นจวิ้นอ๋อง
“เฮ้อ เพียงได้เห็นแม่นางป๋ายซ่าวก็รู้ได้ทันทีว่าจวิ้นจู่ของพวกเราไม่ธรรมดา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอ๋องอวี้แห่งต้าจิ้นจะไม่รู้จักหวงแหน”
สาวใช้ใบหน้ากลมกลึงพูดจบก็รู้สึกหงุดหงิดใจอยู่หลายส่วน
ทว่าป๋ายซ่าวกลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ นั่งจิบชาพลางกินขนม บางครั้งก็ส่งสายตาฉงนสงสัยใคร่รู้
แม่นางคนนั้นจึงได้ใจมากขึ้น จะมีสาวใช้คนใดไม่ชอบนินทาเรื่องเจ้านายบ้างเล่า
“เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่าแม่นางซู่เหมยคนนั้นหาใช่หญิงสาวสูงศักดิ์แต่อย่างใด แม่นางป๋ายซ่าว เจ้าเดินทางมาพร้อมพวกนาง เช่นนั้นเจ้ารู้ภูมิหลังของพวกนางหรือไม่?”
ซู่เหมย? ที่แท้เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับซู่เหมย!
ระหว่างการเดินทาง อาซิ่วมักเล่าให้นางฟังถึงพิษสงร้ายกาจของซู่เหมย
แต่เพราะมิได้รับคำสั่งจากนายหญิง ดังนั้นนางจึงให้หงอวี้และซู่เหมยตามมาได้
ต่อมานางและอาซิ่วไม่มีเวลาสนใจพวกนางสองพี่น้องเพราะกำลังกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บของนายหญิง
คิดไม่ถึงเลยว่านางจะชักศึกเข้าบ้านเสียแล้ว
“ไม่หรอก นายหญิงของข้าจิตใจกว้างขวาง ดังนั้นจึงช่วยพวกนางสองพี่น้องเอาไว้”
ป๋ายซ่าวเบี่ยงเบนความสนใจ นางไม่อยากเปิดเผยเรื่องที่ซู่เหมยและหงอวี้เคยอยู่ในหอนางโลม หากมีใครรู้เข้าคงมิเป็นการดี
สู้เก็บเรื่องนี้เอาไว้ก่อน หากสืบทราบความจริงแน่ชัดแล้วค่อยตัดสินใจ
“ไอหยา ดูเหมือนจะกลายเป็นว่าทำคุณบูชาโทษเสียแล้ว”
การนินทาเริ่มต้นขึ้นแล้ว แม้ใจจะนึกอยากสืบสาวหาข้อมูล แต่ถึงกระนั้นก็อดที่จะเกิดโทสะขึ้นมาไม่ได้…
หลินเมิ้งหยามองคนตรงหน้าด้วยความสงสัย ป๋ายซ่าวดูเหม่อลอยกว่าปกติ หลินเมิ้งหยาโบกมือซ้ายไปมาด้านหน้านาง ทว่าอีกฝ่ายกลับมิตอบสนอง
แปลกจริงเชียว ป๋ายจื่อต่างหากที่มักเหม่อลอย นี่หรือว่านางเลียนแบบป๋ายจื่อกัน?
“เป็นอะไรไป? คิดถึงบ้านหรือ?”
หลินเมิ้งหยาเขย่าแขนป๋ายซ่าวเพราะคิดว่าคำพูดของนางเมื่อคืนทำให้หญิงสาวคนนี้คิดมาก
ราวกับคนที่เพิ่งตื่นจากความฝัน นางชะงักก่อนจะมองหน้านายหญิงของตน
ใบหน้างดงามหมดจด ท่วงท่าสง่างาม ชาติกำเนิดสูงส่งไม่ธรรมดา
เหตุใดท่านอ๋องจึงไม่รู้จักหวงแหนสตรีที่เพียบพร้อมเช่นนี้กันเล่า?
ยิ่งคิดยิ่งโมโห ฟันขบริมฝีปากแน่น แต่นางไม่รู้ว่าจะรายงานพระชายาเช่นไร
“ดูท่าทางห่อเหี่ยวของเจ้านั่นเถิด มีคนรังแกเจ้าหรือ? เล่าให้ข้าฟังสิ ข้าจะแก้แค้นแทนเจ้าเอง”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยหยอกล้อ บนโลกใบนี้เห็นจะมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถรังแกป๋ายซ่าวได้
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าทันทีที่ป๋ายซ่าวได้ยิน หยดน้ำตาสีใสพลันรินไหลออกจากเบ้าตา หลินเมิ้งหยาจึงรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาแล้ว
“นายหญิง ฮือ ฮือ ข้าผิดเองเจ้าค่ะ ข้าทำร้ายท่านแล้ว”
หลินเมิ้งหยามิต่างอันใดจากพระสงฆ์องค์เจ้าที่คลำหาผมของตนเองไม่เจอ
เหตุใดนางจึงพูดจาไร้ต้นสายปลายเหตุเช่นนี้เล่า?
มือซ้ายอังที่หน้าผากของป๋ายซ่าว แปลกจริง ไม่ได้มีไข้นี่นา
หรือจิตใจจะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง?
“เจ้าเป็นอะไรไป? อย่าร้อง อย่าร้อง มีเรื่องอะไรก็บอกข้าเถิด”
หลินเมิ้งหยารู้สึกทำอะไรไม่ถูก ปกติคนที่มักร้องไห้คือป๋ายจื่อ
ทุกครั้งป๋ายจีและป๋ายซ่าวมักจะหาเรื่องขำขันชวนนางหัวเราะ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหญิงสาวที่ใจร้อนอย่างป๋ายซ่าวจะร้องไห้ราวกับดอกสาลี่ต้องฝนเช่นนี้
ขณะเดียวกันสมองของหลินเมิ้งหยาพลันปรากฏความเป็นไปได้นับไม่ถ้วน แต่ทุกเรื่องล้วนถูกนางตัดออก
ร้องไห้อยู่พักหนึ่ง เมื่อผ้าเช็ดหน้าสองผืนเปียกจนชุ่มแล้ว ป๋ายซ่าวจึงหยุดส่งเสียงสะอื้น
ส่วนหลินเมิ้งหยาเองก็เข้าใจสาเหตุที่ทำให้นางร้องไห้ในที่สุด
“ข้าเป็นใครกันเล่า ท่านอ๋องเป็นชาย ดังนั้นเขาย่อมต้องมีสตรีคอยเอาอกเอาใจ ดูเจ้าเถิด ร้องไห้จนกลายเป็นอะไรไปแล้ว”
หลินเมิ้งหยานึกความเป็นไปได้บางอย่างขึ้นมา
ป๋ายซ่าวคิดไม่ถึงเลยว่าพระชายาจะมีท่าทีสงบนิ่งเช่นนี้
ดวงตาเปล่งประกายราวหยดน้ำกระพริบขึ้นลงถี่ๆ นางมองพระชายาของตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หรือเพราะตกจากหลังม้า สมองของพระชายาจึงได้รับการกระทบกระเทือน?
สวรรค์โปรด แย่แล้ว!
“พรูด” หลินเมิ้งหยาระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
ตอนนี้สาวใช้ของนางหยุดร่ำไห้แล้ว หลินเมิ้งหยาจึงยื่นมือไปกุมมือป๋ายซ่าวก่อนจะเอ่ย
“เจ้าลองตรองดูให้ดี หลงเทียนอวี้จะชอบนางอย่างนั้นหรือ? ครั้นยังอยู่ในเมืองหลวงก็มีสตรีมากมายพร้อมมอบกายถวายตัวให้ท่านอ๋อง หากเขามักมากเช่นนั้นจริง จวนของพวกเราคงไม่สงบสุขถึงเพียงนี้”
หลินเมิ้งหยาไม่รู้สึกว่าหลงเทียนอวี้เป็นพวกกินไม่เลือก
แม้บนโลกใบนี้มักจะมีพวกชอบดื่มด่ำกับสิ่งแปลกใหม่และพวกปกปิดความหื่นกระหายแต่ไร้ซึ่งความรับผิดชอบ ทว่าหลงเทียนอวี้เป็นใครกันเล่า? เขาเป็นหนึ่งในบุรุษซึ่งเป็นที่หมายปองของสตรีทั่วราชอาณาจักรต้าจิ้น หากเขานึกชอบหญิงสาวชาวบ้าน เช่นนั้นหญิงสาวคนนั้นจะต้องเป็นคนมีไหวพริบ เฉลียวฉลาดกว่าคนทั่วไป
ส่วนคนประเภทซู่เหมยนั้น เพียงมองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นคนไร้ยางอาย เช่นนั้นหลงเทียนอวี้จะยอมให้เตียงนอนของเขาสกปรกได้อย่างไร
“แต่ว่า…แต่ทุกคนเห็นซู่เหมยวิ่งออกมาจากห้องของท่านอ๋อง อีกทั้งเสื้อผ้ายังหลุดลุ่ยนะเจ้าคะ”
แม้เรื่องเล่าจะเป็นเช่นนี้จริง แต่ป๋ายซ่าวก็ยังเชื่อว่าเรื่องระหว่างซู่เหมยและท่านอ๋องจะต้องมีเงื่อนงำบางอย่างอย่างแน่นอน