ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 15 บทที่ 445 เรื่องเล่าลือยามค่ำคืน
หลินเมิ้งหยายิ้มกว้างอย่างไม่ใส่ใจ หากจนกระทั่งตอนนี้นางยังมองซู่เหมยไม่ออกแล้วล่ะก็ เช่นนั้นสมองของนางคง งกลวงเต็มที
“ครั้นอยู่ในจวนอวี้ เจียงหรูฉินเองก็เคยใช้วิธีการนี้มาก่อนมิใช่หรือ? ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้มีญาติผู้พี่ของข ข้าทั้งสองคนอยู่ เช่นนั้นยังจะมีใครกล้าก่อความวุ่นวายอีกเล่า?”
หรี่ตาลงมองแสงภายนอก เมืองหลินเทียนอยู่ติดทะเลทั้งสามด้าน ฉะนั้นสภาพอากาศจึงค่อนข้างชื้นกว่าต้าจิ้น
ทั้งสองเมืองมีความพิเศษต่างกัน บางทีนางควรอาศัยช่วงเวลานี้สำรวจเมืองหลินเทียน
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร แต่ถ้าหากจั่วชิวเฉินมอบอำนาจในการตัดสินใจเรื่องการค้าของเมืองหลินเทียนให้แก่นาง เช่นนั้น นหากนางสร้างที่นี่ให้เป็นธนาคารของกลุ่มสามสหายก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว
แม้เหล่าคนรับใช้ในจวนจะได้ยินข่าวลือระหว่างหลงเทียนอวี้และซู่เหมยแล้ว แต่เหตุเพราะฐานะของหลินเมิ้งหยาค่อน นข้างพิเศษ กอปรกับจั่วชิวอวี้ยับยั้งเรื่องนี้เอาไว้ได้ทัน ดังนั้นเสียงซุบซิบนินทาจึงหายไปหลังจากช่วงเวลาอาหาร รกลางวัน
หลงเทียนอวี้นั่งอยู่ภายในห้องของหลินเมิ้งหยา เขาปอกเปลือกแอปเปิลให้นาง แต่ที่มากกว่านั้นเห็นจะเป็นสายตา ที่แอบชำเลืองมองสีหน้าพระชายาของตนอยู่เป็นนิจ
ทว่าหลินเมิ้งหยามีสีหน้าท่าทางคล้ายคนไม่ทุกข์ร้อน มือเล็กหยิบแอปเปิลเข้าปาก ซ้ำยังวางหนังสือลงเพื่อรับรสเ เปรี้ยวหวานของผลไม้อย่างเต็มที่
ในใจลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อเช้าซู่เหมยคิดอยากมอบกายถวายตัวให้เขาจริงๆ
แม้เขาจะโยนนางออกจากห้องอย่างไม่ใยดี แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีข่าวฉาวโฉ่ออกไปเช่นนี้
ตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งเข้าใจว่าซู่เหมยต้องการให้คนในจวนเห็นละครฉากนั้น นางจึงเข้ามาในห้องของเขาแล้วก่อเร รื่อง
แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือไม่คิดว่าฝั่งหลินเมิ้งหยาจะสงบนิ่งเช่นนี้
เขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย แม้ลึกๆ ในใจจะรู้สึกขุ่นมัวอยู่หลายส่วน แต่ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเพราะเหตุใดเขาเองก็ไม ม่เข้าใจ
บางทีอาจเพราะ…หลินเมิ้งหยาไม่ควรมีท่าทางมิแยแสถึงเพียงนี้กระมัง
ทว่านับตั้งแต่ช่วงเวลาอาหารกลางวันจนกระทั่งยามนี้หลินเมิ้งหยายังไม่ปริปากสนทนากับเขาเลยแม้เพียงครึ่งคำ
ทำได้เพียงยับยั้งความสับสนกระวนกระวายทั้งหลายแล้วจดจ่อกับการปอกแอปเปิล ในที่สุดแอปเปิลก็เหลือเพียงแกน
หลินเมิ้งหยาเลิกคิ้วขึ้นสูง สายตาจับจ้องบุรุษตรงหน้า
นี่…เขาแน่ใจหรือว่ากำลังปอกให้นางกิน?
“ให้ป๋ายซ่าวมาทำเถิดเพคะ”
สายตาของหลินเมิ้งหยาเหล่มองไปทางแกนแอปเปิล
เฮ้อ เสียดายแอปเปิลลูกโตสีแดงสดนั่นเสียเหลือเกิน
“โอ้ ได้”
หลงเทียนอวี้วางมีดและแอปเปิลลงด้วยท่าทางอึดอัดเล็กน้อย ก่อนจะหยิบผ้ามาเช็ดมือ
“พระองค์มีสิ่งใดต้องการพูดกับหม่อมฉันหรือไม่เพคะ?”
เห็นท่าทางเหมือนคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวของหลงเทียนอวี้แล้ว หลินเมิ้งหยาอดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้
“ข้า…ไม่มีอะไร เพียงแค่ได้ยินมาว่าอีกสองวันจั่วชิวอวี้จะพาเจ้าไปขอร้องหมอที่หอป๋ายเฉาด้วยตนเอง ข้าไม่วาง งใจจึงคิดอยากติดตามเจ้าไปด้วย”
หลงเทียนอวี้พูดความจริง หลินเมิ้งหยาหยุดกินแอปเปิลโดยพลัน
เอียงศีรษะ ดวงตาที่เปล่งประกายราวหยดน้ำเปี่ยมไปด้วยความฉงน
“พระองค์จะไปกับหม่อมฉัน? แล้วทางฝั่งต้าจิ้นเล่าเพคะ?”
หลินเมิ้งหยาประหลาดใจยิ่งนัก หลงเทียนอวี้ที่นางรู้จักเป็นคนที่คำนึงถึงบ้านเมืองก่อนเสมอ แม้เขาจะเดินทางมาข ขอยาสมุนไพรด้วยกันกับนาง แต่นั่นก็เพราะได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้
ทว่าเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเกี่ยวข้องกับนางเพียงผู้เดียว ซ้ำยังอาจมีเรื่องวุ่นวายของการแย่งชิงอำนาจในเมือง งหลินเทียนอีกด้วย
ฐานะของนางค่อนข้างพิเศษ หากก้าวขาเข้าไปแล้วล่ะก็ เช่นนั้นไม่รู้ว่านางจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใดบ้าง
หากหลงเทียนอวี้ซึ่งก็มีฐานะค่อนข้างพิเศษไม่แพ้กันเข้าไปยุ่งด้วยแล้วล่ะก็ เกรงว่าเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็ บคงมิอาจสำเร็จ
“ไม่รีบร้อน”
ดวงตาหลงเทียนอวี้เปล่งประกาย เขาพยายามอย่างยิ่งยวดในการยับยั้งความรู้สึกผิดในหัวใจ
อันที่จริงเสด็จพ่อมีพระราชโองการ นอกจากเดินทางไปขอยากับหลินเมิ้งหยาแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหาข่าวของตำร ราชิงเจิงผู่
ตอนแรกพวกเขาเพียงแค่สงสัยเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้รับการยืนยันจากคำพูดของหลินเมิ้งหยา
หากเขากลับไปในตอนนี้ เกรงว่าเสด็จพ่อจะต้องส่งคนอื่นมาอย่างแน่นอน
แม้ฉากหน้าจะหยิบยกข้ออ้างอันทรงเกียรติมากล่าวอ้าง แต่ลึกๆ ในใจเขาไม่อยากให้หลินเมิ้งหยาหายไปจากสายตาของตน
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงใช้พระราชโองการของเสด็จพ่อมาปิดปากคนพวกนั้น
“ก็ได้ หากพระองค์ยังคงยืนยันเช่นนั้น หม่อมฉันจะพาพระองค์ไปด้วยกัน แต่ก่อนจะไปพวกเราคงต้องจัดการปัญหาบางอย่างก ก่อน”
หลินเมิ้งหยาหาได้มองว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม เหตุเพราะการมาของเขามิต่างจากการที่เขากำลังร่วมทุกข์ร่วมสุขกับ บนาง
หากขาพ้นประตูมาแล้วข้างหนึ่งแต่กลับไล่ตะเพิดเขาไปในทันทีคงมิเหมาะมิควรเท่าไรนัก
หลินเมิ้งหยาวางหนังสือลงบนโต๊ะ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นบิดขี้เกียจ
นางมิใช่พวกที่ชอบนำทรายมาขยี้ตา เหตุที่ก่อนหน้านั้นไม่ยื่นมือเข้าไปสอดก็เพราะยังไม่จำเป็น
แต่ในเมื่อญาติผู้พี่ทั้งสองรักใคร่ทะนุถนอมนางมากจนไม่รู้ฟ้ารู้ดินถึงเพียงนี้ เช่นนั้นนางก็ควรหยิ่งผยองเอา าแต่ใจสักหน่อยมิใช่หรือ หาไม่ญาติผู้พี่ทั้งสองคงเสียแรงเปล่า
มุมปากกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ มือเล็กโบกไหวๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
“มาเถอะ จงไปดูละครสนุกๆ กับข้า”
เวลา : บ่ายสองโมง
สถานที่ : สวนดอกไม้ในลานด้านหลังจวนเซิ่นจวิ้นอ๋อง
แสงแดดอบอุ่นในยามบ่ายทำให้ผู้คนต่างรู้สึกง่วงเหงาหาวนอน นอกจากคนรับใช้ที่คอยอยู่ดูแลรับใช้เจ้านายแล้ว คนอื่ นๆ ล้วนหาสถานที่พักผ่อนทั้งสิ้น
ขณะเดียวกันคนทั้งสามเดินมาจากลานส่วนกลาง มีหลินเมิ้งหยาเดินนำ สาวใช้ผู้ซื่อสัตย์อย่างป๋ายซ่าวเดินตาม ส่วนอ อีกคนหนึ่งน่ะหรือ? แน่นอนว่าต้องเป็นหลงเทียนอวี้ผู้ตามติดพระชายาของตนด้วยท่าทีสงบปากสงบคำแต่ถึงกระนั้นก็ ไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด
ทั้งสามกลายเป็นจุดสนใจทันทีที่เดินมาถึงระเบียง
แม้ปกติแล้วอันเล่อจวิ้นจู่อย่างหลินเมิ้งหยาจะไม่ออกมาเสวนากับคนรับใช้ในจวน แต่ไม่ว่าใครก็ได้เห็นกับตาว่า เหล่าเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายล้วนขนสิ่งของล้ำค่ามากมายดั่งธาราไหลเชี่ยวเข้ามาที่จวนเพื่อมอบให้แก่อันเล่อจวิ้นจ จู่
เชื้อพระวงศ์ในเมืองหลินเทียนที่เป็นสตรีมีเพียงหยิบมือ สำหรับคนรุ่นนี้นอกจากอันเล่อจวิ้นจู่แล้วก็หาได้มีเช ชื้อพระวงศ์ที่เป็นสตรีอีก ฉะนั้นจวิ้นจู่จึงได้รับความรักและเอ็นดูเป็นอย่างยิ่ง อาจเรียกได้ว่านางเป็นสตรีที่ น่าอิจฉาที่สุดในเมืองหลินเทียนเลยก็ว่าได้
ทว่า…มีใครบางคนมิเกรงกลัวความตาย
เพียงได้เห็นทิศทางที่พวกหลินเมิ้งหยามุ่งหน้าไป ทุกคนต่างมองด้วยแววตาสงสัย
สวรรค์โปรด ชั่วชีวิตนี้เพิ่งจะเคยเห็นจวิ้นจู่น้อยแห่งเมืองหลินเทียนหึงหวงพระสวามีมากมายถึงเพียงนี้
นี่นับเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่ง!
วิญญาณผีจอมนินทาประทับร่าง บัดนี้ชนวนของทุกคนถูกจุดแล้ว
เพียงชั่วเวลาก้าวเดินสั้นๆ จากลานกลางจวนมาถึงลานท้ายจวน เหล่าข้ารับใช้ต่างหาข้ออ้างมากมายเพื่อรุดหน้าเข้าม มารวมตัวกันยังลานท้ายจวน
แม้จั่วชิวอวี้จะเป็นเพียงจวิ้นอ๋อง แต่เพราะเขาเป็นถึงน้องชายโดยสายเลือดของฮ่องเต้ ดังนั้นจึงมีบริวารในจวนจ จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
เดินผ่านไปแล้วถึงสามประตู นอกจากลานส่วนกลางของจวนซึ่งเป็นสถานที่พำนักของบรรดาเจ้านายแล้ว ส่วนท้ายจวนคือห้อง งรับรองสำหรับแขกและอนุภรรยา
ทว่าจั่วชิวอวี้นับเป็นคนประหลาดจำพวกหนึ่ง ทั้งที่อายุอานามปาเข้าไปยี่สิบกว่าปีแล้ว แต่เขากลับหมกมุ่นอยู่ กับการปรุงยา แม้แต่ภรรยาสักคนก็ไม่มี ดังนั้นหลงเทียนอวี้ ซู่เหมยและหงอวี้จึงถูกจัดห้องให้อยู่ที่ลานท้าย จวนชั่วคราว
ส่วนหลินเมิ้งหยาอาศัยอยู่ในห้องใหญ่ของจั่วชิวอวี้ตามคำสั่งของจั่วชิวเฉิน
แม้เขาจะไม่ยินยอมแต่ก็มิอาจขัดพระราชโองการของฮ่องเต้ ดังนั้นเซิ่นจวิ้นอ๋องผู้น่าสงสารจึงต้องระหกระเหินไปนอนท ที่ห้องรับแขกด้านข้างห้องใหญ่
หลินเมิ้งหยามิได้เผยอารมณ์ใดๆ ให้เห็นตลอดทางที่ผ่าน ก้าวเท้าเอื่อยเฉื่อยราวกับกำลังเดินเล่นก็มิปาน จนในท ที่สุดพวกนางก็มาถึงหน้าห้องรับแขกของซู่เหมย
บัดนี้ที่นี่เต็มไปด้วยเหล่าบริวารที่เตรียมพร้อมมาดูละครสนุกๆ แล้ว
ทว่าทุกคนมิกล้าแสดงออกมากนัก พวกเขาหาเหตุผลเพื่อโผล่หน้าออกมาดูเท่านั้น ดังนั้นเวลาช่วงสั้นๆ งานกวาดถูบ้า านเรือนจึงหวานหมูไปในทันใด
เรื่องซุบซิบนินทามิเคยแบ่งแยกเผ่าพันธุ์หรือแว่นแคว้นอยู่แล้ว
หลินเมิ้งหยาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เหตุเพราะนางอยากให้เกิดความคึกคักครื้นเครงเช่นนี้อยู่แล้ว
ทันทีที่เดินไปถึงลานท้ายจวน คนที่ออกมาต้อนรับคือหงอวี้ หาใช่ซู่เหมยไม่
อันที่จริงหงอวี้คัดค้านน้องสาวของตนมาตลอดว่ามิให้ทำตัวมักใหญ่ใฝ่สูง แต่ตลอดหลายวันมานี้ซู่เหมยมีท่าทีราวกับ บต้องมนต์
นางมักพูดเสมอว่านางจะต้องสวมมงกุฎบนศีรษะให้ได้
เหตุเพราะเมื่อเช้าซู่เหมยรุกเข้าหาหลงเทียนอวี้เพื่อมอบกายถวายตัวให้แก่เขา ดังนั้นสองพี่น้องจึงทะเลาะกันอย ย่างรุนแรง
บัดนี้หลินเมิ้งหยามาถึงหน้าประตูแล้ว เช่นนั้นพวกนางสองพี่น้องก็ควรมีคำอธิบายให้แก่นาง
ทว่าเพียงได้เห็นใบหน้าของผู้มีพระคุณ หงอวี้พูดไม่ออกแม้เพียงครึ่งคำ สีหน้าเผยความอึดอัดลำบากใจ แต่ถึงกระนั นก็ยังฝืนยิ้มแข็งเกร็งให้หลินเมิ้งหยา
“ท่านมาแล้วหรือ?”
หลินเมิ้งหยาเลิกคิ้วขึ้นสูง เหลือบมองนางครั้งหนึ่งก่อนจะพยักหน้าลง
เมื่อเทียบกับแต่ก่อนแล้ว หลินเมิ้งหยาในชุดของสตรีดูสง่างามกว่ามาก
หงอวี้ยิ่งรู้สึกผิด ก่อนหน้านี้นางคิดว่าสตรีตรงหน้าเป็นเพียงลูกสาวเศรษฐีธรรมดาๆ เท่านั้น แต่ใครจะคาดคิดเล่ าว่านางเป็นถึงอันเล่อจวิ้นจู่แห่งเมืองหลินเทียน ซ้ำยังมีอีกฐานะคือบุตรสาวผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเจิ้นห หนานโหวแห่งต้าจิ้น
ชั่วชีวิตของนางมิเคยพบเจอสตรีสูงศักดิ์เช่นนี้มาก่อน
แต่เพราะสตรีเช่นนี้ หากนางกับซู่เหมยถูกลากออกไปโบยจนตาย พวกนางก็คงทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับชะตากรรมเท่านั้น น
“หงอวี้ เจ้าอย่าได้รู้สึกผิดต่อข้าเลย หนี้บุญคุณของพวกเราจบลงตั้งแต่ออกจากตำบลซื่อฟางแล้ว วันนี้เจ้าคือเจ จ้า ข้าคือข้า ในเมื่อน้องสาวของเจ้าทำผิดกฎ เช่นนั้นจงเรียกนางออกมารับผิดเถิด”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยเสียงนุ่มนวล ไร้ซึ่งโทสะ แม้แต่ความขุ่นเคืองสักนิดก็ไม่มี
นางไม่เหมือนฮูหยินเอกตามราวีอนุภรรยาเลยสักเสี้ยวเดียว!