ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 15 บทที่ 446 ข้าแล้วแต่นาง
หงอวี้กัดฟันแน่น ไม่ว่าซู่เหมยทำอะไรลงไปแต่ถึงกระนั้นนางก็ได้ชื่อว่าเป็นพี่สาวของซู่เหมยอยู่ดี
หากเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไปและหลงเทียนอวี้รับซู่เหมยไปอยู่ด้วย เช่นนั้นต่อไปในอนาคตซู่เหมยจะเป็นเช่นไร
ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เช่นนั้นคงต้องตัดสินใจทำผิดต่อหลินเมิ้งหยา
ทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แม้หงอวี้จะเลิกใช้ชีวิตต่ำต้อยแล้ว แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลินเมิ้งหยา หัวใจของน นางสับสนกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง
บางทีอาจเพราะพวกนางมิใช่ศัตรูกันมาก่อน
“พระชายารับสั่งถูกแล้วเพคะ เรื่องนี้น้องสาวของข้าทำไม่ถูกต้อง แต่เรื่องนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะคนทั้งสองมีใจให ห้แก่กัน ข้าในฐานะพี่สาวหวังว่าพระชายาจะเห็นแก่น้องสาวของข้า”
อันที่จริงหลินเมิ้งหยามิได้รู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของหงอวี้
เมื่อต้องเลือกระหว่างความสัมพันธ์ฉันพี่น้องกับผู้มีพระคุณ หากเป็นนาง บางทีนางเองก็อาจจะเลือกช่วยญาติพี่น้อ องของตนเช่นกัน
แต่เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ไม่มีสิ่งใดมาขัดขวางการตัดสินใจของนาง ในเมื่ออีกฝ่ายเลือกที่จะตัดขาด ดกันอย่างไม่ไยดี เช่นนั้นนางก็ไม่คิดจะหลงเหลือเยื่อใยอีกแม้แต่นิ้วเดียว
“ที่แท้ทั้งสองก็มีใจให้กันนี่เอง นี่มันตรรกะอะไรกันนี่? แม้ท่านอ๋องของพวกเราจะเจ้าชู้ แต่ก็มิได้หมายความว่า าใครจะเข้าห้องของพระองค์ได้ตามใจอยาก พวกเจ้าไม่รู้กฎระเบียบเลยหรือ? หากคิดจะเป็นอนุภรรยา เช่นนั้นจำเป็นต้อง ได้รับการอนุญาตจากพระชายาก่อน ในเมื่อนายหญิงของพวกเรามาถึงที่นี่แล้ว เหตุใดน้องสาวของเจ้าจึงหลบซ่อนตัวอยู่แ แต่ในห้องเล่า?”
ป๋ายซ่าวมีนิสัยดุเด็ดเผ็ดร้อนอยู่เป็นทุนเดิม ดังนั้นจึงเอ่ยกับฝ่ายตรงข้ามโดยมีโทสะคุกรุ่น
หลินเมิ้งหยาอดปรายตามองหลงเทียนอวี้ไม่ได้ แต่นางกลับพบว่าเขามีสีหน้าอึดอัดใจอย่างเห็นได้ชัด
เจ้าชู้? ฮ่า ฮ่า เกรงว่าชั่วชีวิตนี้หลงเทียนอวี้คงมิเคยถูกว่ากล่าวเช่นนี้มาก่อน
“แม่นางพูดถูกแล้ว แต่น้องสาวของข้า…เป็นคนขี้อาย ดังนั้นเรื่องนี้ข้าจะเป็นผู้ปรึกษากับพระชายาเอง”
คำพูดนี้ทำให้คนอื่นๆ เบะปากอย่างพร้อมเพรียงกัน
ขี้อาย? สตรีที่ยังมิออกเรือนบุกเข้าห้องบุรุษที่มีภรรยาแล้วอย่างหน้าไม่อายนี่น่ะหรือ?
ตอนนี้ต่อให้ดึงตู้โตวออกจากร่างและบอกว่าตนเองเป็นสาวพรหมจรรย์ก็รังแต่จะทำให้คนอื่นขบขันเสียเปล่าๆ
“ปรึกษากับเจ้า? เช่นนั้นก็ดี ตามกฎของจวนอวี้ หากคิดจะเข้ามาเป็นอนุภรรยา เช่นนั้นต้องเป็นหญิงสาวพรหมจรรย์ แต ต่เมื่อเข้าจวนมาแล้ว เช่นนั้นต้องลงนามในสัญญาสิ้นชีพ จากนี้ไปความตายของนางจะมิเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเจ้าอีกแล ล้ว”
หลินเมิ้งหยาสั่งให้นางพูดเช่นนี้ระหว่างทางที่เดินมา
สายตาของป๋ายซ่าวเจือไว้ซึ่งความดูแคลน มุมปากกระตุกยิ้มเยียบเย็น
คนผู้นี้รู้หน้าไม่รู้ใจ ทั้งที่ร้องขอความเมตตาอยู่บนถนนแท้ๆ แม้แต่นายหญิงเองก็อนุญาตให้เข้าร่วมการเดินทา างด้วย แต่ใครจะคิดเล่าว่าพวกนางจะเลี้ยงสุนัขจิ้งจอกไว้ใกล้ตัว
“คือ…”
หงอวี้ลังเลไปชั่วขณะ ใช่ว่านางจะไม่รู้เรื่องนี้ อันที่จริงอนุภรรยามิต่างอันใดจากสาวใช้
หากโชคดีอาจได้รับความเอ็นดูจากสามีและมีคนคอยรับใช้ รวมถึงมีเงินทองให้จับจ่ายใช้สอยอยู่บ้าง
แต่หากบ้านหลังนั้นมีฮูหยินใหญ่ที่เลวร้ายแล้วล่ะก็ ความประมาทเพียงน้อยนิดก็อาจทำให้ถูกทุบตีจนตายได้
เบื้องหน้านางตอนนี้อย่าว่าแต่หลินเมิ้งหยาเลย แม้แต่แม่นางตรงหน้าเองก็หาใช่คนที่สามารถรับมือด้วยได้ง่ายๆ
แม้หงอวี้จะเอ็นดูน้องสาวมาก แต่นางรู้เงื่อนไขของน้องสาวดี
หากนางรับปาก เช่นนั้นวันหนึ่งน้องสาวของนางทำให้หลินเมิ้งหยาเจ็บปวดคับแค้นขึ้นมา เช่นนั้นแม้นางจะถูกลอบสังหาร รก็คงไม่มีผู้ใดสนใจ
เพียงนึกภาพน่าเวทนาเช่นนั้นขึ้นมา หัวใจของหงอวี้อดที่จะสั่นไหวมิได้
ไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็มิอาจปล่อยให้น้องสาวของตัวเองต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบากเช่นนั้น
ตัดสินใจแน่วแน่ ฝืนหยักยิ้มเย้ายวนเล็กน้อย ก่อนจะเบนสายตามองทางหลงเทียนอวี้
“แม่นางพูดถูกแล้ว แต่แม้จวนอ๋องจะมีพระชายาคอยดูแล แต่สุดท้ายแล้วอำนาจสิทธิขาดในจวนก็ยังเป็นของท่านอ๋องอ อยู่มิใช่หรือ? ท่านว่าใช่หรือไม่?”
เพลิงโทสะพวยพุ่งไปทั้งหัวใจของป๋ายซ่าว แม่นางหงอวี้ตัวดี!
ส่งน้องสาวของตนมาเป็นเครื่องบรรณาการก่อน จากนั้นจึงใช้เสน่ห์ยั่วยวนท่านอ๋องให้ติดกับ
ครอบครัวนี้ไม่มียางอายกันเลยหรือ? ขณะที่คิดจะตอบโต้ นางพลันเหลือบไปเห็นสายตาของหลินเมิ้งหยาเสียก่อน
ระงับโทสะในใจลง ก่อนจะมองดูการเดินหมากตัวต่อไปของนายหญิง
“อืม มีเหตุผล”
ผงกศีรษะลง ไม่มีใครคาดคิดว่าหลินเมิ้งหยาจะสงบนิ่งถึงเพียงนี้ นางเหมือนคนนอกที่มาดูละครสนุกๆ มากกว่า
หลินเมิ้งหยาผินหน้าไปมองหลงเทียนอวี้ มุมปากหยักยิ้มน้อยๆ
“ท่านอ๋องคิดเห็นเช่นไรเพคะ?”
บรรยากาศเริ่มกระอักกระอ่วนมากขึ้นทุกที
หงอวี้และซู่เหมยล้วนเป็นพวกไม่สำนึกบุญคุณคน หากเป็นเหตุการณ์ปกติ แม้หลินเมิ้งหยาที่เป็นฮูหยินจะไม่ต่อว่าห หรือแสดงท่าทีเกรี้ยวกราด แต่อย่างน้อยสายตาที่จ้องมองก็ควรเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นจึงจะถูก
แต่ตอนนี้เล่า? หลินเมิ้งหยาไม่ทุกข์ไม่ร้อน อีกทั้งยังหันไปถามความเห็นของหลงเทียนอวี้อีกด้วย
เหล่าบุรุษชมชอบเสพสุขกันทั้งสิ้น บัดนี้นางมอบอำนาจให้กับตนแล้ว เช่นนั้นเขาจะโยนโอกาสนี้ทิ้งไปกระนั้นหรือ ?
ไม่เพียงพวกคนรับใช้ที่มองดูเหตุการณ์ แม้แต่หัวใจของหงอวี้เองก็เริ่มปรากฏแสงสว่าง นางส่งสายตาฉงนสงสัยไปทางห หลงเทียนอวี้
“อ้อ ข้าแล้วแต่เจ้า”
หลงเทียนอวี้กล่าวตอบโดยไม่คิด สายตาไม่แม้แต่จะชำเลืองมองหงอวี้หรือหญิงสาวในห้องทางด้านหลังเลยแม้แต่น้อย
เขายืนเงียบๆ อยู่ด้านหลังหลินเมิ้งหยา สายตาจับจ้องเพียงแค่นางคนเดียวเท่านั้น
ความคิดมีเพียงอย่างเดียวคือจะรักษาอาการบาดเจ็บที่ไหล่ขวาของหลินเมิ้งหยาเช่นไร
ส่วนคำพูดของหงอวี้และป๋ายซ่าวพัดผ่านมาพร้อมสายลมแต่เพียงเท่านั้น
“เห็นแล้วหรือไม่ ต่อให้เจ้าออกหน้าเองก็ไร้ประโยชน์ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพระชายาเพียงผู้เดียว”
ป๋ายซ่าวรู้สึกสะใจยิ่งนัก ดูท่าทางตกตะลึงประหนึ่งหนูของแม่นางหงอวี้นั่นเถิด
ในจวนอวี้จะมีใครไม่รู้บ้างว่าเหนือท่านอ๋องยังมีพระชายา
โชคดีที่ท่านอ๋องมิแยแสนางแพศยาคนนั้นเลยแม้แต่กระผีกเดียว เพียงประโยคนี้ชัยชนะก็ตกเป็นของพระชายาแล้ว
หงอวี้คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะกลับตาลปัตรเช่นนี้
นางพบเจอคนมามากมาย เพียงได้เจอหลงเทียนอวี้หนแรกก็รู้ได้ทันทีว่าเขามิใช่คนธรรมดา แต่บุรุษที่โดดเด่นเช่นน นี้มิเคยหยุดเพราะสตรีเพียงนางเดียว
ทว่าท่านอ๋องอวี้ผู้สง่างามกลับไม่แยแสต่อสิ่งใด ความอ่อนโยนมีไว้เพื่อพระชายาเพียงผู้เดียว
จบแล้ว ต่อให้ซู่เหมยได้เป็นอนุภรรยาของหลงเทียนอวี้ แต่ชีวิตของนางคงไม่มีวันอยู่อย่างสุขสบาย
“ในเมื่อแล้วแต่ข้า เช่นนั้นข้าจะขอรับนางเอาไว้แทนท่านอ๋องก็แล้วกัน”
ไม่มีใครคาดคิดว่าหลินเมิ้งหยาจะออกหน้ารับอนุภรรยาแทนหลงเทียนอวี้
แม้แต่หลงเทียนอวี้เองยังตกตะลึง ขณะที่คิดจะเอ่ยปฏิเสธ เขากลับเห็นแสงประกายแห่งความเย็นชาในแววตาของหลินเมิ งหยา
อ้อ…ดูเหมือนชายาของเขาจะมีแผนในใจ
มองดูสถานการณ์ในเวลานี้ หากเขาไม่ให้ความร่วมมือ เห็นทีคงจบไม่สวยอย่างแน่นอน
สุดท้ายจึงจำยอมน้อมรับฉายาท่านอ๋องจอมเจ้าชู้แต่โดยดี
“แต่ว่า….”
หงอวี้เตรียมพลิกลิ้น ใบหน้าของหลินเมิ้งหยาจึงปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ
“ข้าเป็นชายาเอก นางเป็นเพียงนางบำเรอ ดังนั้นนางย่อมมีศักดิ์มิต่างอันใดจากสาวใช้ในจวน ช่วงนี้ข้าเคลื่อนไหว วได้ไม่ถนัดนัก เช่นนั้นจงให้นางมาอยู่รับใช้ข้าก็แล้วกัน ส่วนท่านอ๋องมิจำเป็นต้องให้นางคอยรับใช้ อีกอย่างเจ จ้าเองก็คงต้องไปจากจวนเซิ่นจวิ้นอ๋องแล้ว นับจากวันนี้เป็นต้นไป ซู่เหมยไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับครอบครัวของ งเจ้าอีกแล้ว ป๋ายซ่าว มอบเงินยี่สิบตำลึงให้นาง พวกเราซื้อคนคนนี้เข้าจวนแล้ว”
อันตรายยิ่งนัก! หยาดเหงื่อรินไหลตามกรอบหน้า
ดวงตาคู่นั้น….ดวงตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนเสมอมา บัดนี้เย็นชาดุจน้ำแข็ง
นางสัมผัสได้เพียงความเย็นชาและการดูถูก นางจนคำพูดไปชั่วขณะ
หากนางกลับคำตอนนี้ อย่าว่าแต่ความฝันของซู่เหมยต้องพังทลายลงเลย เกรงว่าพวกนางอาจไม่มีชีวิตรอดต่อไปเสียด้วย ยซ้ำ
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของนางเอง เหตุใดนางจึงลืมว่าหลินเมิ้งหยามีด้านที่น่ากลัวเช่นนี้อยู่
อ้าปากค้างกะพริบตาถี่ๆ นางทำได้เพียงกลืนความขมขื่นลงคอ
“เจ้าค่ะ นี่เงินยี่สิบตำลึง เจ้าเอาไปเถิด พวกข้าคงไม่ส่งแล้ว”
ป๋ายซ่าวรีบหยิบเงินยี่สิบตำลึงยัดใส่มือหงอวี้
เท่านี้เรื่องทุกอย่างก็จบลงแล้ว
“ข้ายังมีเรื่องให้ต้องทำ เช่นนั้นคงไม่อยู่พูดคุยกับเจ้าที่นี่แล้ว คืนนี้ให้ซู่เหมยเฝ้าระเบียงที่พักข้าก็แล้ วกัน อาหารเย็นคงไม่จำเป็นต้องกินแล้ว สั่งให้นางเก็บของแล้วไปยังลานส่วนกลางเถิด”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยกำชับจบก็เดินนำป๋ายซ่าวและหลงเทียนอวี้กลับ
หงอวี้มองเงินยี่สิบตำลึงในมือ ความเสียใจแล่นพล่านไปทั้งหัวใจ
นางเงยหน้า สายตาพลันเหลือบเห็นหลงเทียนอวี้ที่กำลังจะหมุนตัวกลับ
“ตึง”
นางคุกเข่าลงต่อหน้าเขา
“ท่านอ๋องอวี้ ข้ามีน้องสาวเพียงคนเดียว หวังว่า…หวังว่าท่านจะเมตตานางด้วย ได้โปรด…ไว้ชีวิตนางด้วยเถิด ”
สมัครใจเป็นภรรยาพ่อค้า แต่มิยอมก้าวผ่านประตูสีชาด1
นับตั้งแต่วันที่ถูกขาย นางมักได้ยินคำเตือนของนางโลมผู้มาฝึกสอนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าความปรารถนาอันเจือไว้ซึ่งความเห็นแก่ตัวเพียงเล็กน้อยของตนจะกลายเป็นแรงผลักน้องสาวเข้าสู่กอง งเพลิง
ทว่าหลงเทียนอวี้กลับไม่ตอบนาง ซ้ำยังไม่ตกปากรับคำแต่อย่างใด แม้แต่จะหยุดมองสักนิดก็ไม่มี เขาสาวเท้ายาวๆ เดิน นตามหลังหลินเมิ้งหยาออกจากท้ายจวน
หัวใจหงอวี้หนักอึ้ง นางรู้ดีว่าทุกอย่างจบสิ้นแล้ว
คนที่อยู่ดูละครฉากสนุกต่างพากันแยกย้าย ไม่มีใครเข้ามาปลอบโยนเลยแม้แต่คนเดียว ไม่นานท้ายจวนก็เหลือเพียงหง งอวี้ที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นพลางงจ้องมองเงินยี่สิบตำลึงในมือนิ่งราวกับคนโง่
มุมปากหยักยกอย่างขมขื่น สุดท้ายพวกนางสองพี่น้องก็หนีออกจากวัฏวัตสงสารแห่งการซื้อขายชีวิตไปไม่พ้น
“พี่สาว ข้าขอบใจท่านมากจริงๆ ท่านเก่งที่สุดเลย เพียงท่านออกหน้า แม้แต่ชายาอวี้เองก็ตอบตกลงข้อเสนอ”
ภายในห้อง ซู่เหมยวิ่งออกมาด้วยสีหน้าปลื้มปริ่ม
ฉุดร่างพี่สาวของตนเองลุกขึ้นจากพื้น อีกทั้งยังปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าให้นาง
นี่เป็นครั้งแรกที่ซู่เหมยมีท่าทีสนิทชิดเชื้อและทำดีต่อนางนับตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกัน
หัวใจเสมือนถูกมีดกรีด
มิใช่เพราะพวกนางสองพี่น้องจะต้องแยกจากกันตลอดชีวิต แต่เพราะความรู้สึกผิดในใจต่างหาก
“เจ้าเก็บเงินนี่เอาไว้เถิด บางทีเจ้าอาจต้องใช้มัน”
หงอวี้ยื่นเงินในมือให้ซู่เหมย
———————
หมายเหตุ
สมัครใจเป็นภรรยาพ่อค้า แต่มิยอมก้าวผ่านประตูสีชาด1 หมายถึงยินยอมเป็นเพียงภรรยาของพ่อค้าหรือคนธรรมดา แต่ไม่ มีวันเข้าไปถวายตัวเป็นภรรยาของเชื้อพระวงศ์หรือครอบครัวเศรษฐีเป็นอันขาด ประตูสีชาดคือประตูใหญ่ของจวนเชื้อพระว วงศ์และเหล่าขุนนาง