ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 15 บทที่ 448 จงใจจัดฉาก
หลินเมิ้งหยารู้สึกเบิกบานเป็นอย่างยิ่ง นางดึงป๋ายซ่าวเข้าไปในห้องเพื่อรอดูละครสนุกๆ ฉากใหญ่
อันที่จริงนางรู้สึกผิดไม่น้อยที่ทำให้หลงเทียนอวี้ต้องตกเป็นขี้ปากของชาวบ้านเช่นนี้ แต่นางไม่มีทางเลือก
ทั้งหมดล้วนทำเพื่อข้อเสนอของจั่วชิวเฉินทั้งสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้นตลอดหลายวันมานี้บุรุษทั้งสามมักจะแอบสุมหัวกันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะมองเช่นไร นางก็มักรู้สึกว่าพวกเขามิได้พูดคุยกันเพียงเรื่องลมฟ้าอากาศ เกรงว่าหลงเทียนอวี้คงเตรียมใจรับความหายนะขนาดย่อมๆ เอาไว้แล้วเช่นเดียวกัน
จิ้งจอกสามตัวเก็บซ่อนหางของตนเองไว้ ทุกการกระทำของพวกเขาล้วนมีเหตุผลเสมอ ฉะนั้นนางจึงไม่รู้สึกหนักใจเลยแม้แต่น้อย
หลงเทียนอวี้เดินออกจากห้องด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
สายตาเหลือบมองจั่วชิวอวี้ที่กำลังเอะอะโวยวายแต่แอบซ่อนท่าทางสะใจตรงหน้า หลงเทียนอวี้พยายามอย่างยิ่งยวดมิให้พุ่งตัวไปชกเขาให้ตาย
แม้ว่าเส้นเลือดบนหน้าผากจะปูดโปนแล้วก็ตาม
“ใช้ได้เลยนี่ เจ้าคนมักมากหลายใจ”
จั่วชิวอวี้ย่างสามขุมเข้ามาหา นิ้วมือชี้หน้าหลงเทียนอวี้อย่างตำหนิ ราวกับเขาได้ทำเรื่องผิดพลาดร้ายแรงจนยากเกินจะให้อภัย
ทว่าหลงเทียนอวี้กลับมองเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย
เจ้าบ้านี่จะต้องแอบอ้างผลประโยชน์ส่วนรวมมาใช้ส่วนตนอย่างแน่นอน ครั้นอาศัยอยู่ที่ต้าจิ้น ตนได้เอ่ยเตือนจั่วชิวอวี้ไปหลายคำ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงคิดจะเอาคืน
แม้จะพยายามบอกตัวเองให้พยายามอดทนอดกลั้น แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงอยากปล่อยหมัดใส่หน้าจั่วชิวอวี้เหลือเกิน
“จงบอกมาเดี๋ยวนี้ว่าเหตุใดเจ้าจึงต้องรังแกเปี่ยวเม่ยของข้า! เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีบุรุษในเมืองหลินเทียนต้องการขอนางแต่งงานมากมายเพียงไหน! ข้าจะบอกเจ้าให้ มีมากเสียจนสามารถเรียงแถวจากเมืองหลวงว่างเทียนไปจนถึงเมืองหลวงเก่านู่น! แต่เจ้ากลับไม่รู้สึกเสียดายนาง ข้าว่าเจ้าคงอยากถูกโบยใช่หรือไม่!”
ยิ่งพูดอารมณ์ก็ยิ่งพุ่งสูง จั่วชิวอวี้เอื้อมมือไปรั้งคอเสื้อของหลงเทียนอวี้
ระยะห่างของทั้งคู่ใกล้กันมากขึ้น ขณะที่น้ำลายกำลังจะกระเซ็นใส่เสื้อผ้าของหลงเทียนอวี้ ร่างของเขาพลันกระเด็นลอยขึ้นไปกลางอากาศโดยมิทันตั้งตัว ครู่ต่อมาร่างของเขาก็ร่วงลงบนพื้นด้วยท่วงท่ามิต่างจากสุนัขปากเปื้อนโคลน
จั่วชิวอวี้พ่นเศษดินออกจากปาก แววตาเผยความน้อยใจอยู่หลายส่วน
ก็ได้ ก็ได้ แม้เขาจะเล่นนอกบทก่อน แต่หลงเทียนอวี้ก็มิจำเป็นต้องใจร้ายกับเขาถึงเพียงนี้เลยนี่!
ทุกคนล้วนกำลังแสดงละครทั้งสิ้น เหตุใดต้องจริงจังด้วยเล่า?
ครู่ต่อมาจั่วชิวอวี้จึงเลิกเล่นนอกบท
คนรับใช้เข้ามาประคองเขาลุกขึ้น จั่วชิวอวี้ที่ต้องรู้สึกอับอายขายหน้าในจวนของตนทำได้เพียงส่งสายตาแค้นเคืองให้หลงเทียนอวี้โดยมิปริปากพูดสิ่งใดอีก
แต่เขาจะล้มเลิกการแสดงตอนนี้ไม่ได้ มิเช่นนั้นไม่ว่าฮวงซงที่กำลังแอบดูละครฉากสนุกหรือหลินเมิ้งหยาที่กำลังหัวเราะขบขันอยู่ภายในห้องจะต้องไม่ปล่อยเขาเอาไว้แน่
เฮ้อ เหตุใดคนที่ต้องบาดเจ็บจึงเป็นเขาตลอดเลยเล่า!
“เรื่องของพวกข้ามิจำเป็นต้องให้เจ้าเข้ามายุ่ง”
หลงเทียนอวี้กล่าวเสียงเย็นยะเยือกอย่างไม่ไว้หน้า
เขาเป็นคนมีความอดทน ทั้งที่กำลังยืนอยู่ในอาณาเขตของอีกฝ่าย แต่ถึงกระนั้นก็ยังกล่าวตอบโต้อย่างไม่เกรงใจ
ใครใช้ให้อีกฝ่ายโวยวายโดยไร้เหตุผลกันเล่า
โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่จั่วชิวอวี้กำลังแสดงท่าทางวางอำนาจบาตรใหญ่เพื่อตบตาผู้อื่นเช่นนี้
“เจ้าพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก ถึงอย่างไรเมิ้งหยาก็เป็นญาติผู้น้องของข้า พวกเราเมืองหลินเทียนไม่มีวันยอมปล่อยให้เจ้ารังแกนางได้ง่ายๆ”
แน่นอนว่าจั่วชิวอวี้มิอาจเอาชนะผู้อื่นได้ด้วยการต่อยตี สิ่งที่เขาทำได้มากสุดก็คือการยืนชี้หน้าบริภาษแต่เพียงเท่านั้น
หลงเทียนอวี้ขี้เกียจกระทั่งให้ความสนใจแก่อีกฝ่าย พ่นลมหายใจครั้งหนึ่งก่อนจะหมุนตัวเพราะคิดอยากเดินจากไป
ทว่าใครจะคาดคิด
“ฉึก” เสียงดังขึ้นกลางอากาศ ก่อนของบางอย่างจะเฉียดร่างเขาไป
หลงเทียนอวี้ไม่ขยับ แต่ถึงกระนั้นก็ยังหันหลังให้ลานบ้าน เขายืนนิ่งด้านหน้าประตูห้อง
สิ่งที่ปักอยู่บนวงกบประตูทางขวามือของเขาคือมีดเล่มเล็กคมกริบสีขาวราวหิมะ
ฝังลึกลงไปในเนื้อไม้ราวสามนิ้ว เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหากอีกฝ่ายต้องการชีวิตของเขา เช่นนั้นความตายอยู่เพียงแค่คืบเท่านั้น
“ไม่ว่าใครก็มิอาจรังแกจวิ้นจู่แห่งเมืองหลินเทียนได้!”
เสียงเคร่งขรึมเปี่ยมโทสะพลันดังขึ้น เหล่าคนรับใช้ในจวนเซิ่นจวิ้นอ๋องต่างหวาดกลัวจนตัวสั่นงันงก
ฮ่องเต้แห่งเมืองหลินเทียนมิเคยแสดงท่าทีโกรธเกรี้ยวมาก่อน ทว่านับตั้งแต่จวิ้นจู่กลับมา พระองค์บันดาลโทสะใส่พวกหมอหลวงที่มิอาจรักษาพระอาการของจวิ้นจู่ได้ แม้แต่เซิ่นจวิ้นอ๋องที่เย้าแหย่ทำให้จวิ้นจู่ไม่พึงพอใจเองก็พลอยโดนลงโทษไปด้วย
ตอนนี้ท่านอ๋องผู้นั้นกลับสร้างเรื่องวุ่นวายใต้เปลือกตาจวิ้นจู่ เช่นนั้นจะมิจบเห่แล้วหรือ?
หากดูจากความรักความเอ็นดูที่ฮ่องเต้มอบให้จวิ้นจู่ ถ้าท่านอ๋องอวี้ไม่ถูกกินก็นับว่าเขาเป็นคนมีบุญวาสนาแล้ว
เหลือบมองด้ามมีดที่ยังคงสั่นไหวอยู่เล็กน้อย มุมปากหลงเทียนอวี้กระตุกขึ้น สีหน้าเย็นชา
ราวกับมิกลัวเกรงต่ออำนาจใด เขาหันหน้าสบตาจั่วชิวเฉิน
“นางเป็นชายาของข้า บนโลกนี้ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิสั่งสอนเปิ่นหวัง!”
แต่ไหนแต่ไรเขาเป็นคนมีท่วงท่าน่าเกรงขาม บัดนี้โทสะเปี่ยมล้น พวกเขาสบตากัน สายตาเชือดเฉือนประหนึ่งมังกรปะทะพยัคฆ์
ทุกคนหาสถานที่ปลอดภัยเพื่อหลบหลีกอันตราย เหตุเพราะกลัวว่าทั้งสองจะต่อสู้กัน
“เข้ามากันก่อนเถิด ยืนอยู่ที่สวนด้วยเหตุใดกันเล่าเพคะ?”
เสียงอ่อนโยนนุ่มนวลพลันดังขึ้น เหล่าคนรับใช้ต่างรู้สึกว่าเสียงนี้ราวกับเป็นเสียงที่สวรรค์ประทาน
เหตุการณ์ตึงเครียดเบื้องหน้าคลี่คลายลง แม้ทั้งสองฝ่ายจะยังไม่เต็มใจก็ตาม
พวกเขาจ้องตาอีกฝ่ายเขม็ง ก่อนที่ทั้งสามจะเดินเข้าไปในห้องของหลินเมิ้งหยา
“ปัง” เสียงดังขึ้น ประตูไม้ทางด้านหลังถูกปิดกระแทก คนที่ถูกกันเอาไว้ทางด้านนอกล้วนพยายามแอบมองด้วยความสงสัย
เกรงว่านับตั้งแต่วันนี้ไปเรื่องราวของอันเล่อจวิ้นจู่ผู้ได้รับความรักความเมตตาอย่างล้นเหลือจากฮ่องเต้และข่าวความเจ้าชู้มักมากหลายใจของท่านอ๋องอวี้คงแพร่กระจายไปทั่วทั้งแผ่นดินหลินเทียน
ช่างเป็นข่าวใหญ่ยิ่งนัก! เรียกว่าเป็นข่าวดังในรอบร้อยปีเลยก็ว่าได้!
“เอาล่ะ เลิกทำหน้านิ่วคิ้วขมวดกันได้แล้วเพคะ จะว่าไปหม่อมฉันต่างหากที่ต้องเหนื่อย ทั้งที่ยังไม่ทันจะทำอะไร แต่ก็มีคนแพร่ข่าวลือว่าหม่อมฉันถูกเอาใจจนกลายเป็นคนหยิ่งผยองไปเสียแล้ว”
หลินเมิ้งหยาหยอกล้อคนทั้งสาม เคยได้ยินมาว่าเวลาคนฉลาดคิดจะทำอะไรย่อมไม่ต้องมีใครเข้าไปบงการมาก่อน
ดังนั้นเมื่อคนทั้งสี่มาเจอกัน พวกเขาจึงรวมหัวกันแสดงละครโดยไม่มีบท
หลงเทียนอวี้ต้องการให้คนบงการซู่เหมยลดการป้องกันลงและเผยไต๋ออกมามากขึ้น เท่านี้พวกเขาก็จะมีอำนาจในการควบคุมสถานการณ์แล้ว
ส่วนจั่วชิวเฉินและจั่วชิวอวี้ต้องการให้ชื่อเสียงของหลินเมิ้งหยาลือเลื่องไปไกลทั่วทั้งใต้หล้า ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังอยากให้ทุกคนรู้ว่าไม่มีใครสามารถเข้ามาแทนที่ตำแหน่งของหลินเมิ้งหยาได้
ส่วนชื่อเสียงด้านลบที่กล่าวว่านางเป็นคนเย่อหยิ่งจองหองนั้นมีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในหอป๋ายเฉา
นางเชื่อว่าเรื่องเหล่านี้จะมีประโยชน์ต่อนางในอนาคต
ดังนั้นนางจึงอาศัยเรื่องของซู่เหมยในการดึงดูดให้แมงเม่าบินเข้ากองเพลิง
แค่คิดไม่ถึงเลยว่าบุรุษทั้งสามจะเข้าถึงบทบาทเช่นนี้ แม้อารมณ์ที่แสดงออกมาจะมิใช่ของจริง แต่การแสดงย่อมเป็นของจริงแท้แน่นอน
พวกเขาสมควรได้รับรางวัลออสการ์สาขาการแสดงของเชื้อพระวงศ์ยอดเยี่ยม
“ที่ไหนกันเล่า เมิ้งหยาของพวกเราดีที่สุด ทั้งสวย ทั้งจิตใจงดงาม ถ้าหากมีใครบางคนไม่รู้จักหวงแหนหรือเสียดาย เช่นนั้นเจ้าหย่ากับเขาแล้วกลับมาเลือกน้องเขยใหม่ที่นี่ดีหรือไม่?”
จั่วชิวอวี้รีบเข้ามามาประจบประแจงหลินเมิ้งหยาแน่นอนว่าคำพูดนี้ไม่เพียงเรียกสายตาเจือโทสะของหลงเทียนอวี้ได้ แม้แต่หลินเมิ้งหยาเองยังรู้สึกว่าเขาโหดร้ายจนอยากจะหักนิ้วเขาทิ้ง
“เอาล่ะ เลิกเล่นได้แล้ว พวกเรามาพูดเรื่องสำคัญกันเถิด หอป๋ายเฉาส่งข่าวมาว่าพบเบาะแสของตำราชิงเจิงผู่แล้ว”
คำพูดของจั่วชิวเฉินสร้างความตกตะลึงให้แก่พวกเขาทั้งสาม
“ชิงเจิงผู่มิได้อยู่ในมือของเมิ้งหยาหรอกหรือ? ข้าว่าเรื่องนี้มิชอบมาพากลอย่างยิ่ง ตอนนั้นผู้อาวุโสสูงสุดมอบตำราชิงเจิงผู่ให้ท่านป้ามิใช่หรือ?”
จั่วชิวอวี้รีบเอ่ยถาม นอกจากจั่วชิวเฉินแล้ว ทั้งสามล้วนมีสมมติฐานอย่างหนึ่ง
“เจ้าหมายความว่ามีคนกุเรื่องตำราชิงเจิงผู่ขึ้นมาเพื่อต้องการเข้าไปสืบทอดตำแหน่งของหอป๋ายเฉา?”
หลินเมิ้งหยารู้สึกลังเลอยู่หลายส่วน แม้นางจะมิได้กล่าวว่าตำราชิงเจิงผู่อยู่ในมือของตน แต่อีกฝ่ายมั่นใจเกินไป พวกเขาไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อยว่าตำราชิงเจิงผู่อยู่ในกำมือนางและถูกทำลายลงไปแล้ว
แต่เมื่อลองไตร่ตรองดูอีกหนหนึ่ง หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามฝีมือยอดเยี่ยมยิ่งนัก
หากพวกเขาทำเรื่องนี้สำเร็จ เกรงว่าแม้นางจะนำตำราชิงเจิงผู่ออกมาก็คงจะไร้ประโยชน์
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังทำตามแผนสำเร็จ
แต่ถ้าหากนางไม่นำตำราออกมา เช่นนั้นเพียงคำพูดปากเปล่าจะสามารถหักล้างอำนาจและยืนยันว่าตำราชิงเจิงผู่ถูกทำลายลงไปแล้วได้จริงๆ หรือ?
ท่ามกลางสายตาของพวกคนทะเยอทะยานเหล่านี้ ชิงเจิงผู่หาใช่เพียงตำราแพทย์ แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญอันนำมาซึ่งผลประโยชน์มหาศาลของพวกเขา
นางประเมินความสามารถและความทะเยอทะยานของอีกฝ่ายต่ำเกินไป หากตอนแรกนางมิปฏิเสธเสียงแข็งเช่นนั้นแล้วล่ะก็ บางทีอาจยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้
“บางทีอาจเป็นเช่นนั้น แต่หลังจากข้าส่งคนไปตรวจสอบแล้ว เหมือนว่าพวกเขาจะต้องการโจมตีเจ้า”
จั่วชิวเฉินมองหลินเมิ้งหยาพร้อมทั้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวล
“โจมตีหม่อมฉัน? แต่ตำราชิงเจิงผู่หาได้อยู่ในมือของหม่อมฉัน ต่อให้โจมตีหม่อมฉันแล้วจะได้สิ่งใดกลับไปเล่า?”
หลินเมิ้งหยาชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง แปลกจริง นอกจากตำราชิงเจิงผู่และฐานะของท่านแม่แล้ว การต่อสู้ในคราวนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนางเลยแม้แต่น้อย
จั่วชิวเฉินหยักยิ้มขมขื่นพลางส่ายหน้า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดที่ต่อให้การต่อสู้ในหอป๋ายเฉาจะดุเดือดแต่กลับไม่มีใครแสดงออกอย่างชัดเจน?”
หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า นางจะรู้เรื่องการต่อสู้ภายในได้อย่างไร? แต่ลางสังหรณ์บางอย่างกำลังบอกว่าหากนางก้าวเข้าไปข้องเกี่ยวกับการแย่งชิงตำราชิงเจิงผู่ เช่นนั้นชีวิตของนางจะไม่มีวันสงบสุขอีก