ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 15 บทที่ 450 หวานซึ้งตรึงใจ
สีหน้าของจั่วชิวอวี้และจั่วชิวเฉินไม่น่ามองเพราะคำพูดของหลงเทียนอวี้
เรื่องอื่นคงยังมิต้องพูดถึง แต่หากข่าวอันเป็นความลับรั่วไหลออกไป เช่นนั้นจะต้องรับผิดชอบด้วยชีวิต
แต่ดูจากท่าทางของจั่วชิวอวี้และจั่วชิวเฉิน ดูเหมือนพวกเขาจะไม่รู้ว่าผิดพลาดเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนไหน
หลินเมิ้งหยาก้มหน้าลงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้าไปมองหลงเทียนอวี้ด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้าเชื่อว่าพวกเขามิได้ตั้งใจ”
ความไม่พอใจเอ่อล้นไปทั่วทั้งหัวใจของหลงเทียนอวี้ แต่หลินเมิ้งหยากลับกระตุกแขนเสื้อของเขา อีกทั้งยังส่งสาย ยตาประหนึ่งต้องการให้เขาใจเย็นลง
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรคนทั้งคู่ก็ล้วนรู้จักนิสัยใจคอของญาติผู้พี่ทั้งสองของหลินเมิ้งหยาดี
แม้ว่าเขาจะอยากห้ามปรามสักเท่าไร สุดท้ายหลินเมิ้งหยาก็ยื่นมือไปช่วยเหลือพวกเขาอยู่ดี
ลอบถอนหายใจ เหตุใดนางมักทำให้เขาโต้แย้งนางมิได้เลย
“ในเมื่อความลับรั่วไหลไปแล้ว เช่นนั้นหม่อมฉันคงต้องไปที่หอป๋ายเฉา แต่หม่อมฉันมีสิ่งหนึ่งต้องการจะกล่าว หม่อมฉั นสามารถช่วยพวกท่านพี่เรื่องตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดได้ หนึ่งเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ สองแม้พวกท่านจะไม่พูด แต่ หม่อมฉันรู้ดีว่าการจากไปของท่านแม่ทิ้งปัญหาใหญ่เอาไว้ แน่นอนว่าการที่ท่านแม่ออกไปใช้ชีวิตของตนเองมิใช่เรื่อง ผิดแต่อย่างใด แต่ถึงกระนั้นนางก็เป็นราษฎรเมืองหลินเทียน ข้าคิดว่าหากท่านแม่ยังอยู่ก็คงไม่อยากให้เกิดเรื่อง งเช่นนี้ขึ้น”
อันที่จริงหลินเมิ้งหยามองออกทุกอย่าง แม้จั่วชิวอวี้และจั่วชิวเฉินจะพยายามโน้มน้าวให้นางไปยังหอป๋ายเฉา แต่สุ ดท้ายเรื่องทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนางทั้งสิ้น
นางเชื่อว่าหากตนเองพูดว่าไม่ไป เช่นนั้นพวกเขาทั้งสองคงไม่บีบบังคับ
ช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมาทำให้หลินเมิ้งหยารู้จักอุปนิสัยใจคอของสองพี่น้องเป็นอย่างดี
ทันทีที่สิ้นเสียงของหลินเมิ้งหยา บุรุษทั้งสามพลันตกอยู่ในอาการเคร่งขรึม
ใช่แล้ว พวกเขาล้วนมีเป้าหมายของตนเอง แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่มีวันทำนั่นก็คือการทำร้ายหลินเมิ้งหยา
ไม่ว่าหลงเทียนอวี้หรือสองพี่น้องสกุลจั่ว พวกเขาล้วนเห็นว่าหลินเมิ้งหยาสำคัญที่สุด ฉะนั้นในเมื่อนางเลือกท ทางเดินเช่นนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะดีใจหรือไม่ แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาจะพยายามทำตามความต้องการของนางให้ได้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม อีกสองวันพวกเราจะออกเดินทาง”
ใบหน้าจั่วชิวเฉินปราศจากรอยยิ้ม อีกทั้งยังคงเคร่งขรึมอยู่หลายส่วน
เห็นเพราะเรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็ก อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับแว่นแคว้น มีเพียงจั่วชิวอวี้ หลินเมิ้งหยาและหลงเทีย ยนอวี้เท่านั้นที่เขาสามารถเชื่อใจได้
หลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้พยักหน้าลง จั่วชิวเฉินและจั่วชิวอวี้จึงเดินจากไป
ภายในจวน สีของท้องฟ้าเข้มขึ้นทีละน้อย ซู่เหมยขนย้ายของส่วนตัวออกมายืนรอด้านนอกแล้ว
ขณะที่จั่วชิวเฉินและจั่วชิวอวี้เดินผ่าน พวกเขาเห็นนางมิต่างจากศพ หางตาไม่แม้แต่จะแลมองนาง
ซู่เหมยเองก็รู้สึกครั่นคร้าม นางมิกล้าเงยหน้ามองพวกเขา
“ท่านอ๋อง พระชายา แม่นางซู่เหมยมาแล้วเจ้าค่ะ”
ป๋ายซ่าวยืนอยู่หน้าประตู ขณะที่เจ้านายพูดคุยปรึกษากัน นางออกไปยืนเฝ้าประตูอยู่ทางด้านหน้า
อาจเพราะท่าทางดุดันของป๋ายซ่าว ดังนั้นซู่เหมยจึงมีความหวั่นเกรงอยู่บ้าง ดังนั้นแม้นางจะมาถึงนานแล้ว แต่ก็มิก กล้าเอ่ยทักท้วงและยืนรออยู่ที่ระเบียงทางเดิน
“อืม เข้าใจแล้ว เจ้าจัดแจงห้องหับให้นางเถิด ตอนกลางคืนให้นางมาเฝ้าระเบียงก็แล้วกัน”
หลินเมิ้งหยาไม่อยากเห็นหน้าสตรีนางนี้ ไม่ว่าในมือซู่เหมยจะถืออาวุธวิเศษอะไรไว้ แต่สิ่งนั้นมิสำคัญกับนาง
เหตุเพราะนางเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ถูกนำมาโยนถามทาง
เหตุที่เก็บนางเอาไว้ก็เพื่อตบตาคนบงการซู่เหมยแต่เพียงเท่านั้น
“ท่านอ๋องคืนนี้อยู่ค้างแรมที่ห้องหม่อมฉันเถิดเพคะ”
เอ่ยอย่างเป็นธรรมชาติ หลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าดวงตาของหลงเทียนอวี้จะเปล่งประกายขึ้นมา
แม้เขาจะรู้สึกแปลกกับคำเชิญชวนเช่นนี้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดความหวังจึงเกิดขึ้นในหัวใจ
หากหลินเมิ้งหยารู้เข้า นางคงพูดไม่ออก
เหตุเพราะมีหลงเทียนอวี้อยู่ ดังนั้นหลังจากป๋ายซ่าวช่วยหลินเมิ้งหยาอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงปิดประตูแล้วกล ลับไปยังห้องของตนเอง
หลงเทียนอวี้นอนเหยียดกายบนพื้นไม้ สายตาชำเลืองมองหลินเมิ้งหยาซึ่งกำลังหลับตาสนิทอยู่บนเตียง
ดูท่าเขาจะคิดมากไปเอง
แต่ถึงกระนั้น การได้อยู่ร่วมห้องกับนางและได้ชิดใกล้ถึงเพียงนี้ก็ทำให้หัวใจของเขาปีติยินดีแล้ว
เขาส่ายหน้า ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป
“แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก.…”
บริเวณระเบียงทางเดินพลันเกิดเสียงไอดังอย่างต่อเนื่อง
หลงเทียนอวี้ไม่ต้องออกไปดูก็รู้ว่านางคือซู่เหมยที่ถูกสั่งให้เฝ้ายามในคืนนี้
มุมปากกระตุกยิ้มหยันน้อยๆ
แผนของเมิ้งหยาในคราวนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก
เกรงว่าซู่เหมยคงคิดไม่ถึงอย่างแน่นอนว่าหลินเมิ้งหยาจะสั่งให้นางเฝ้ายามทั้งคืน
อันที่จริงไม่ว่าในวังหรือจวนอ๋องก็ล้วนแล้วแต่มีบ่าวรับใช้คอยเฝ้ายามทั้งสิ้น
แต่ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายร่างใหญ่โต ยิ่งไปกว่านั้นยังมีน้ำร้อนและเตาไฟ รวมถึงผ้าห่มนวมช่วยสร้างความอบอุ่น
แม้จะอยู่ในช่วงฤดูร้อน แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีเตียงให้นอนและยาสมุนไพรไล่ยุงอีกจำนวนหนึ่ง
คาดว่าป๋ายซ่าวจะต้องไม่มอบสิ่งใดให้ซู่เหมยอย่างแน่นอน บางทีอาจทิ้งไว้ให้เพียงผ้าห่มผืนเดียวเท่านั้น
ทั้งหมดล้วนเป็นผลจากการกระทำของซู่เหมยทั้งสิ้น หลงเทียนอวี้ไม่รู้สึกเห็นใจเลยแม้แต่น้อย
นอกจากหลินเมิ้งหยาแล้ว เขามิเคยใส่ใจชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ใด
“ท่านอ๋อง ดูเหมือนเหม่ยเหรินของพระองค์จะสำลอกปอดออกมาแล้วนะเพคะ”
หลงเทียนอวี้หันหน้าไปมองหลินเมิ้งหยาที่ยังคงหลับตาอยู่ ทว่ามุมปากของนางกลับหยักยกขึ้นน้อยๆ
ราวกับกำลังหยอกล้อเขาอย่างไรอย่างนั้น
“อย่าพูดจาเหลวไหล นางทำให้เจ้าตกใจตื่นหรือไม่?”
หลงเทียนอวี้ลุกขึ้นนั่ง หัวคิ้วขมวดมุ่น สายตาจับจ้องเพียงใบหน้าของหลินเมิ้งหยา เหตุเพราะเขากลัวว่าซู่เหมย ยจะทำให้นางตกใจจนนอนไม่หลับ
“ไม่หรอกเพคะ แต่ดูเหมือนร่างกายของน้องซู่เหมยจะไม่แข็งแรง เช่นนั้นหม่อมฉันมอบน้ำให้นางสักหน่อยจะดีกว่า”
อยู่ๆ ดวงตาพลันลืมขึ้น แววตาเปล่งประกาย
หลงเทียนอวี้ทำเพียงผงกศีรษะลง ไม่รู้ว่านางคิดจะทำอะไร
หลินเมิ้งหยาค่อยๆ ลุกขึ้น พลางส่งสายตาให้หลงเทียนอวี้หยิบอ่างน้ำขึ้นมา
หลงเทียนอวี้เข้าใจความคิดของนางแล้ว
เขาถืออ่างน้ำเดินตามหลังนาง ก้าวเดินด้วยฝีเท้าแผ่วเบาจนมาหยุดอยู่ข้างหน้าต่าง
บรรยากาศภายใต้แสงจันทร์หนาวเหน็บเงียบเหงา ร่างหนึ่งนั่งชิดกำแพง บางทีนางอาจกำลังห่มผ้าและสาปแช่งหลินเมิ้งหยา าอยู่ก็เป็นได้
ทว่าอยู่ๆ น้ำเย็นเฉียบพลันถูกสาดลงบนร่างของซู่เหมย
หลินเมิ้งหยาถืออ่างน้ำ สายตาเหลือบมองซู่เหมยที่กระโดดลุกขึ้นพรวดอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งกรีดร้องเสียงดังลั่น
นางแย้มยิ้มกว้างดั่งดอกไม้ผลิบาน ไม่รู้ว่าเพราะอารามดีใจหรือไม่ หยดน้ำจากอ่างไหลหยดลงบนพื้นไม้ที่นางเหยีย ยบอยู่
พร้อมกันนั้นร่างกายพลันเสียสมดุลกะทันหัน
“ตุบ...”
มือหนายื่นเข้ามารับร่างของนางเข้าหาอ้อมกอด จากนั้นไม่รู้ว่าบังเอิญหรือจงใจ ริมฝีปากของนางจึงแตะเข้ากับกลีบ ปากของหลงเทียนอวี้
ริมฝีปากที่ประกบกันแนบสนิทแทนที่เสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกของนาง
มือกำเข้าหากันแน่น ท่าทางราวกับเด็กที่ถูกโยนขึ้นบนอากาศ
จุมพิตที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้หัวใจของหลงเทียนอวี้แทบระเบิด
เขาเงยหน้าขึ้นบรรเลงจูบหนักหน่วง ลมหายใจรินรดบนใบหน้าของอีกฝ่าย ทว่าหลงเทียนอวี้กลับไม่รู้สึกรังเกียจ
น้อยครั้งนักที่หลินเมิ้งหยาจะเป็นฝ่ายรุกก่อนเช่นนี้
“ท่าน...ท่าน...ท่าน.…”
นางกล่าวคำว่าท่านอยู่ครึ่งค่อนวัน ใบหน้าแดงเถือกของหลินเมิ้งหยาก้มลงมองบุรุษที่กำลังแสดงสีหน้าใสซื่อไร้เด ดียงสาอยู่ทางเบื้องล่าง
ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาหลงเทียนอวี้มักใช้การกระทำแสดงออกแทนคำพูดเสมอ มือหน้ายกขึ้นรั้งท้ายทอยของนางเอาไว้ ก่อนที่ ทั้งคู่จะแลกเปลี่ยนรสสัมผัสหวานละมุนอีกครั้ง
ด้านนอกหน้าต่าง สีหน้าซู่เหมยไม่น่ามองเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อนางลุกขึ้นยืนได้อย่างมั่นคง สายตาพลันเหลือบไปเห็น นชายหญิงในชุดขาวกำลังพลอดรักกันนัวเนียอยู่ภายในห้อง
เปลวไฟแห่งความริษยาลุกโชนไปทั้งหัวใจ สติสัมปชัญญะของนางสูญสิ้นไปในทันที
แม้ว่านางจะยั่วยวนบุรุษผู้นี้อย่างไร แต่หัวใจของเขาแข็งราวกับหินผา
แต่ตอนนี้เขากลับ…เขากลับจูบกอดนางแพศยาคนนั้นอย่างเร่าร้อน!
ความริษยาท่วมท้นไปทั้งหัวใจ
ไม่! บุรุษผู้นี้เป็นของนาง!
ไม่ว่าใครจะคิดเช่นไร แต่ตอนนี้นางเป็นอนุภรรยาของเขาแล้วมิใช่หรือ?
หากเขาไม่ยินยอม เช่นนั้นก็ไม่มีใครบังคับเขาได้!
นางแพศยาคนนั้นไม่เพียงออดอ้อนบุรุษเหล่านั้น แต่นางยัง…นางยังยั่วโทสะตนเอง!
หากมิใช่เพราะฐานะของนาง เช่นนั้นนางคงไม่มีสิทธิ์ทำเรื่องเช่นนี้
ใช่แล้ว คนผู้นั้นเคยบอกเอาไว้ว่าหากนางนำของสิ่งนั้นออกมา เช่นนั้นฐานะของหลินเมิ้งหยาก็จะถูกนางช่วงชิงมา าได้
เมื่อถึงเวลานั้นหลินเมิ้งหยาจะไม่มีวันหยิ่งผยองเช่นนี้ได้อีก!
คอยดูเถิด พวกผู้ชายเหล่านั้นจะยังคงรักเอ็นดูนางอีกหรือไม่!
ในที่สุดจุมพิตหวานซึ้งก็จบลง
เมื่อครู่หลินเมิ้งหยารู้สึกประหม่าเล็กน้อย แต่ตอนนี้ปรับตัวได้แล้ว
บางทีอาจเพราะนางเป็นคนที่มาจากโลกอนาคตกระมัง อีกทั้งตนเองกับหลงเทียนอวี้มีใจให้แก่กัน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเข ขายังได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันอีกด้วย ดังนั้นการกอดจูบจึงมิใช่เรื่องน่าอายแต่อย่างใด
แม้จะเอ่ยเช่นนี้ แต่ใบหน้าของหลินเมิ้งหยายังคงแดงเถือก สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่านางหาใช่หญิงสาวไร้ยางอายแต่อย่างใด ด
หลินเมิ้งหยาเบือนหน้าไปอีกทาง นางมิอาจสบตาหลงเทียนอวี้ได้อีกต่อไป
แต่เมื่อมองเห็นใบหน้านิ่วคิ้วขมวดด้านนอกหน้าต่าง ดังนั้นนางจึงคิดถึงจุดประสงค์หลักของตนเองขึ้นมาได้
นางทำเพื่อยั่วยุซู่เหมยมิใช่หรือ?
ดังนั้นมือซ้ายจึงเอื้อมไปคล้องคอหลงเทียนอวี้ ก่อนจะยื่นริมฝีปากไปจุมพิตหน้าผากของเขา
จากนั้นจึงตะคอกใส่ซู่เหมยเสียงดังลั่น
“มองอะไร มิเคยเห็นสามีภรรยาพลอดรักกันหรือ! ระวังตาจะเป็นกุ้งยิง!”