ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 16 บทที่ 452 ชีวิตคนดั่งหมากตัวหนึ่ง
ลุกขึ้น? หลินเมิ้งหยาอดที่จะชื่นชมซู่เหมยไม่ได้ เหตุเพราะเรื่องเมื่อคืนถือเป็นบทเรียนหนึ่งที่มอบให้นาง
ยิ่งไปกว่านั้นนางยังแสดงฉากพลอดรักต่อหน้าซู่เหมยอีกด้วย หากวันนี้นางยังเติมเชื้อเพลิงลงกองไฟแล้วล่ะก็ คาดว่าซู่เหมยคงไม่มีความอดทนมากขนาดนั้น
นางกวักมือเรียกป๋ายซ่าว ก่อนจะกำชับอีกสองสามคำ ป๋ายซ่าวที่ได้ฟังหัวเราะคิกคักแต่ไม่พูดอะไร จากนั้นจึงขอตัวออกไป
“เปี่ยวเม่ยเอ๋ย เจ้าคิดจะทำสิ่งใดอีกเล่า? ซู่เหมยคนนั้นเป็นเพียงคนธรรมดา เกรงว่านางจะทนการทรมานของเจ้าไม่ไหวหรอก”
จั่วชิวอวี้เป็นคนที่ยืนพูดได้โดยที่ไม่ปวดเอว เขาเคยเห็นวิธีการที่หลินเมิ้งหยาใช้มาก่อน เกรงว่าซู่เหมยคงหมดหนทางปีนขึ้นสวรรค์หรือกระโดดลงนรกแล้ว
“ข้ามิได้คิดฆ่าแกงนางเสียหน่อย เมื่อวานนางทรมานมากพอแล้ว แต่ก่อนพวกเราจะไป เช่นนั้นพวกเราต้องล้วงความลับเกี่ยวกับแผนการของนางออกมาให้หมดเสียก่อน”
หลินเมิ้งหยามิกังวลใจเลยแม้แต่น้อย หากคนผิดคือหงอวี้ บางทีนางอาจนึกสงสารอยู่บ้าง แต่แม้ซู่เหมยคนนี้จะดูฉลาดเฉลียว ทว่าจริงๆ แล้วนางมิต่างอันใดจากกระเป๋าหอบฟาง [1]
หากพ่ายแพ้ซ้ำๆ ร่ำไป คาดว่าซู่เหมยคงไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะตอบโต้
แต่ถ้าหากนางยังสามารถอดรนทนอยู่ได้ เช่นนั้นหลินเมิ้งหยาคงจะประเมินนางต่ำไป
หลังจากกินอาหารเช้าได้ไม่นาน พวกหลินเมิ้งหยานั่งพูดคุยสัพเพเหระอยู่ภายในห้อง
สายตาเหลือบเห็นป๋ายซ่าวที่กำลังรีบวิ่งเข้ามา อีกทั้งยังกระซิบกระซาบข้างหูของหลินเมิ้งหยา
“เจ้าแน่ใจหรือว่านางทำเช่นนั้นจริง?”
สีหน้าของหลินเมิ้งหยาไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย เอียงศีรษะเอ่ยถามป๋ายซ่าวคำหนึ่ง
“ข้าเห็นกับตาตัวเองเลยเจ้าค่ะ คาดว่าตอนนี้พวกเขาคงกำลังคุยกันอยู่ในห้อง”
สีหน้าป๋ายซ่าวแลดูกระวนกระวาย ทว่าหลินเมิ้งหยากลับยังสงบนิ่ง
ขนาดฮ่องเต้ยังไม่รีบร้อน เหตุใดขันทีต้องร้อนรนด้วยเล่า
“เป็นอะไรไป? เหตุใดจึงร้อนใจเช่นนี้?”
จั่วชิวอวี้เอ่ยถามด้วยความฉงน หลายวันที่ผ่านมาเขาเห็นป๋ายซ่าวมีท่าทางดุเด็ดเผ็ดร้อน แต่ถึงกระนั้นก็ซื่อสัตย์จริงใจต่อหลินเมิ้งหยาเป็นอย่างยิ่ง ความสัมพันธ์ของพวกนางแนบแน่นเสียยิ่งกว่าพวกเขาที่มีสายเลือดเดียวกันเสียด้วยซ้ำ
ทว่าคนแบบหลินเมิ้งหยาที่ไม่เคยขีดเส้นกั้นความสัมพันธ์ฉันนายบ่าวมาก่อนช่างหาได้ยากยิ่ง
เมื่อเทียบกับพวกคุณหนูรูปร่างบอบบางแต่กลับสังหารคนรับใช้เป็นว่าเล่นแล้วนับว่าคนแบบหลินเมิ้งหยามีไม่มากนัก
“จะมีเรื่องร้อนใจอันใดได้เล่า ซู่เหมยไปเชิญเสด็จเฉินเปี่ยวเกอระหว่างทางน่ะสิ”
หลินเมิ้งหยาเอื้อนเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน มือยกถ้วยชาขึ้นจิบ
“อะไรนะ? เชิญเสด็จฮวงซง? นางไปหาฮวงซงทำไมกัน?”
ความฉลาดของจั่วชิวอวี้มีไว้สำหรับตำราแพทย์เท่านั้น เมื่อพูดเรื่องแผนการชั่วร้าย เขายังห่างชั้นอยู่มาก
บางทีอาจเพราะเขาเป็นเช่นนี้ ดังนั้นจั่วชิวเฉินจึงมอบหมายงานตามหาท่านป้าให้แก่เขากระมัง
ถึงอย่างไรเขาที่มีทักษะทางการแพทย์ อีกทั้งยังมีภูมิหลังทางครอบครัวที่ดีย่อมสามารถแฝงตัวในสำนักหมอหลวงแห่งนั้นได้อย่างไม่มีปัญหา
ทว่าสถานการณ์ในเมืองหลินเทียนซับซ้อนจนเกินไป ดังนั้นหลังจากกลับมายังที่นี่ จั่วชิวอวี้มิอาจเดินตามความคิดของผู้อื่นได้ทัน
“ทนไม่ไหวแล้วหรือ?”
หลงเทียนอวี้รู้จักคนประเภทซู่เหมยดี ฉะนั้นจึงเลื่อนสายตาไปมองหลินเมิ้งหยา สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด
อีกฝ่ายพยักหน้าลง แต่ถึงกระนั้นหลงเทียนอวี้กลับไม่รู้สึกทุกข์ร้อนแต่อย่างใด
จั่วชิวเฉินหาใช่คนโง่เขลา แม้แต่เขาเองก็อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่าสายเลือดสกุลจั่วส่งผ่านความเฉลียวฉลาดจากรุ่นสู่รุ่น ดูท่าซู่เหมยจะติดกับเสียแล้ว
“อีกเดี๋ยวจงให้เหตุผลว่าข้าไม่สบายจึงไม่อยากพบใครทั้งสิ้น หากเฉินเปี่ยวเกอมาที่นี่ หลงเทียนอวี้ พระองค์ช่วยห้ามเขาเอาไว้ได้หรือไม่?”
อีกฝ่ายพยักหน้าลงโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะลุกขึ้นไปเป็นเทพเจ้าเฝ้าประตู
ภายนอกประตูว่างเปล่า แม้คนภายนอกจะมองไม่เห็นคนที่อยู่ภายใน แต่คนภายในกลับเห็นภายนอกได้อย่างชัดเจน
หลงเทียนอวี้หยุดยืนที่ริมระเบียง ใบหน้าเคร่งขรึมเย็นชา เหล่าคนรับใช้ต่างไม่กล้าเงยหน้าสบตาเขา
ไม่นานจั่วชิวเฉินก็สาวเท้ายาวๆ เข้ามาในจวนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ด้านหลังเขาคือซู่เหมย
ดวงตาของนางบวมแดง ท่าทางน่าสงสารราวถูกรังแกอย่างไรอย่างนั้น
คนรับใช้ในจวนต่างอึ้งงัน แม้ฮ่องเต้พระองค์นี้จะไม่ได้ยิ้มตลอดเวลา แต่ถึงกระนั้นเขาก็มิเคยแสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยวเช่นนี้มาก่อน
แปลกจริงเชียว ด้านหลังยังพ่วงอนุภรรยาของท่านอ๋องอวี้มาด้วย เอ๋? เมื่อวานพวกเขาเกือบจะฆ่ากันเพราะเรื่องอนุภรรยาคนนี้อยู่มิใช่หรือ?
เหตุใดวันนี้จึงดูเหมือนฮ่องเต้ยืนอยู่ฝั่งเดียวกันกับอนุนางนี้ได้เล่า
ตกลงนี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่?
“หลินเมิ้งหยาเล่า? เจิ้นต้องการพบนาง!”
จั่วชิวเฉินคิดจะผลักประตูเข้าไป หลงเทียนอวี้ยื่นมือข้างหนึ่งรั้งฝีเท้าเขาเอาไว้
จ้องไปทางด้านหน้านิ่ง ทว่าจั่วชิวเฉินหยุดขยับเขยื้อน
“นางป่วย มิต้องการพบผู้ใด”
ท่าทางเคร่งขรึม น้ำเสียงของหลงเทียนอวี้หาใช่การปรึกษาแต่อย่างใด
ราวกับกองเพลิงกำลังปะทุระหว่างพวกเขาทั้งสอง ดวงตาจับจ้องนิ่งโดยไม่มีใครยอมใคร
“ที่นี่คือแผ่นดินของเจิ้น ภายในบ้านเมืองนี้ไม่มีใครบังอาจห้ามเจิ้นได้!”
สีหน้าของจั่วชิวเฉินไม่เป็นมิตร น้ำเสียงของเขายิ่งดุดัน
ทว่าหลงเทียนอวี้ยังคงไม่หลบ เขาจ้องด้วยดวงตาเปี่ยมโทสะมิแพ้กัน
“นางคือชายาของเปิ่นหวัง หากเปิ่นหวังไม่อนุญาต ไม่ว่าใครก็ห้ามพบนางทั้งสิ้น!”
ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ราวกับสงครามห้ำหั่นของทั้งคู่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
พวกคนรับใช้วางสิ่งที่ถืออยู่ในมือลงแล้ววิ่งหนีกระเจิดกระเจิง
เหตุการณ์เช่นนี้มิน่าดูชม เหตุเพราะเป็นฉากชวนสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าซู่เหมยที่ก้มหน้าลงตลอดเวลากลับยิ้มหยันน้อยๆ
หลินเมิ้งหยา บุรุษทั้งสองเปรียบเสมือนกองเงินกองทองของนาง
แต่ทันทีที่นางลงมือ พวกเขากำลังห้ำหั่นกันเพราะหลินเมิ้งหยา
เมื่อถึงเวลานั้นนางอยากจะรู้นักว่าผู้หญิงคนนั้นยังจะหยิ่งผยองพองขนได้อีกหรือไม่!
เสียงเอะอะทางด้านนอกมิได้กระทบคนที่กำลังนั่งพักผ่อนอยู่ภายใน
ช่วงนี้ค่อนข้างว่าง ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงเริ่มเล่นหมากล้อมเป็นแล้ว
ทว่าหลงเทียนอวี้มักสอนนางเล่นอย่างใจเย็น ซ้ำยังยอมอ่อนข้อให้นางชนะมากถึงแปดในสิบครั้ง
ขณะที่กำลังขาดคนเล่นด้วย จั่วชิวอวี้ก็ขันอาสามาเป็นเพื่อนเล่นด้วย
“ตกลงพวกเจ้าสองคนคิดจะทำอะไรกันแน่?”
แม้จั่วชิวอวี้จะมองออกว่าพวกเขากำลังแสดงละคร แต่เขาไม่รู้ว่าตกลงแล้วทุกคนทำไปเพื่ออะไรกันแน่
“ไม่มีอะไรหรอก เพียงแค่อยากรู้ว่าในมือซู่เหมยเก็บซ่อนสิ่งใดเอาไว้เท่านั้น วางใจเถิด พวกเขารู้บุกรู้ถอย ไม่ทางลงมือกันอย่างแน่นอน”
เพียงวางหมากลงไปหนึ่งตัว หมากสีขาวรอบๆ ก็ตกเป็นของนาง
หลินเมิ้งหยาเพิ่งพบว่าหมากเหล่านี้มิต่างอันใดจากการวางแผนสู้รบ เหตุเพราะจะต้องมองความคิดของฝ่ายตรงข้ามให้ออก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจะวางหมากอย่างไรให้อีกฝ่ายติดกับ
ขอเพียงกุมกระดานหมากเอาไว้ได้ เท่านี้ชัยชนะก็จะตกเป็นของนาง
การวางหมากเปรียบดั่งชีวิตคน ทั้งหมากจริง หมากปลอม ล้วนเป็นหมากที่ผู้เชี่ยวชาญวางเพื่อให้อีกฝ่ายติดกับทั้งสิ้น
“เหตุใดเจ้าจึงมั่นใจนักว่าซู่เหมยกำไพ่ตายบางอย่างเอาไว้ในมือ?”
เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว จั่วชิวอวี้เริ่มร้อนใจว่าของในเงื้อมมือซู่เหมยจะทำให้หลินเมิ้งหยาเดือดร้อน
มิเช่นนั้นตอนอยู่ในตำบลซื่อฟาง ซู่เหมยคงมิถูกใจแต่หลงเทียนอวี้
ถูกต้อง เมื่อเทียบกันแล้วหลงเทียนอวี้มีใบหน้าหล่อเหลากว่าเขาเล็กน้อย แต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น
ท่าทางของหลงเทียนอวี้เย็นชาดุจน้ำแข็ง หาได้มีความอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนเขา
ฉะนั้นซู่เหมยจะต้องมีเป้าหมายอื่นอย่างแน่นอน!
หลินเมิ้งหยาย่อมไม่รับรู้ถึงความคิดน่าขันของจั่วชิวอวี้ ทว่าเหตุที่อาซิ่วหลบออกจากจวนไปช่วงสองสามวันนี้ก็เพราะนางขอร้องให้อาซิ่วช่วยเหลืองานบางอย่าง
เมื่อลองวิเคราะห์ข่าวที่อาซิ่วนำมารายงาน คาดว่าซู่เหมยเป็นหมากตัวหนึ่งที่ถูกส่งมาต่อกรกับนาง
หากนางเดาไม่ผิด ซู่เหมยจะต้องขอเข้าร่วมการเดินทางไปร่วมชมการแข่งขันทักษะวิชาทางการแพทย์อย่างแน่นอน
อันที่จริงนางสามารถเก็บหมากตัวนี้เอาไว้ใช้ตอนเริ่มการแข่งขัน
แต่ว่า….
แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่อยากยอมรับ แต่ทุกครั้งที่เห็นซู่เหมยอยู่กับหลงเทียนอวี้ นางอดที่จะมีโทสะไม่ได้
ก็ได้ นี่คงเป็นสิ่งที่คนเรียกกันว่าความหึงหวงนั่นแหละ
ทว่าต่อให้ตีนางจนตาย นางก็ไม่มีวันยอมรับ นางรู้สึกเพียงว่าควรกำจัดก้อนเนื้อร้ายก้อนนี้ออกไปให้เร็วที่สุด
อย่ามาทำให้จิตใจของนางชั่วร้ายไปมากกว่านี้เลย
ไม่นานเสียงทะเลาะทางด้านนอกก็สงบลง
ไม่ต้องถามก็รู้ได้ว่าจั่วชิวเฉินเดินกลับไปอย่างโกรธเกรี้ยว
หลินเมิ้งหยาดึงสมาธิกลับมาที่กระดานหมากล้อมอีกหนหนึ่ง แม้มองผิวเผินนางจะกำลังได้เปรียบ แต่อันที่จริงแล้วเพราะการขาดประสบการณ์จึงทำให้หมากของนางเกิดข้อบกพร่องอยู่หลายจุด
หากจั่วชิวอวี้ฉลาดอีกสักหน่อย คาดว่าเขาคงโจมตีนางได้อย่างง่ายดาย ฉะนั้นนางจึงมีทางเลือกอยู่สองทาง
หนึ่งคือพยายามปกปิดจุดบกพร่องเหล่านั้น สองคือบุกรังศัตรูโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว
อันที่จริงตัวเลือกในหมากกระดานนี้ช่างตรงกับชีวิตของนางในเวลานี้ยิ่งนัก
หยิบหมากตัวหนึ่งขึ้นมา หลินเมิ้งหยามองกระดานด้วยความลังเล
นางต้องทำเช่นไรจึงจะได้รับชัยชนะกันเล่า?
ครุ่นคิดอยู่นาน หลินเมิ้งหยาจึงตัดสินใจวางหมากสีดำของตนลงไป
จั่วชิวอวี้มองนาง หัวคิ้วขมวดมุ่น เขาไม่รู้จุดประสงค์ในการเดินหมากตัวนี้ของนาง
————————–
หมายเหตุ
[1] กระเป๋าหอบฟาง หมายถึงคนไร้ความสามารถ