ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 16 บทที่ 453 ความวุ่นวายของการเดินหมาก
เมื่อวางหมากลง หลินเมิ้งหยาก็ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง
การเปลี่ยนแปลงวิธีเดินหมากในคราวนี้มิต่างจากสถานการณ์ในปัจจุบันของนาง ยากที่จะปฏิเสธว่าไม่ได้รู้สึกตื่นเต้น แต่ถึงกระนั้นนางก็ต้องลงทุนลงแรงค่อนข้างมาก
“อื้ม…เจ้ากำลังหาเรื่องทำให้ตัวเองลำบากอยู่กระนั้นหรือ?”
จั่วชิวอวี้มองไม่ออก เมื่อครู่การวางหมากของหลินเมิ้งหยาดุดันจนเขารับมือไม่ทัน
แต่เพราะเหตุใดเสือที่เพิ่งหลุดจากกรงจึงถูกนางปิดประตูกรงอีกรอบเล่า?
แม้จะไม่รู้เหตุผล แต่จั่วชิวอวี้ก็พยายามหาโอกาสวางหมากเพื่อโจมตี
จนกระทั่งพบจุดบอดของหมากดำ ดังนั้นสถานการณ์จึงเอนเอียงไปทางเขาแล้ว
แต่หลินเมิ้งหยาเหมือนเป็นแมลงวันหัวขาด นางยังคงวางหมากมั่วซั่วจนชิวอวี้รู้สึกเสียดาย
สายตาเหลือบมองหมากดำของนางที่ใกล้จะถูกกินจนหมดกระดานแล้ว
หลินเมิ้งหยากลับตบหมากลงไปโดยไม่ยั้งคิด ในที่สุดสถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงกะทันหัน
ราวกับหมากดำถูกเทพเจ้าโอบอุ้มเอาไว้และได้เกิดใหม่อีกครั้ง หลังจากวางหมากอีกสองสามตัว ในที่สุดหมากขาวก็ถูกกินจนพ่ายแพ้
จั่วชิวอวี้อึ้งงัน ดวงตาเบิกกว้างขณะกำลังมองหมากของตนที่กำลังถูกยึดไป
เงยหน้าจ้องมองดวงตาเปล่งประกายของหลินเมิ้งหยา นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“ยอมเสียกำไรเล็กน้อย ก่อร่างสร้างฐานให้มั่นคง ดึงดูดศัตรูเข้ามาติดกับ แผดเผาจนวอดวาย เปี่ยวเม่ยรอบคอบยิ่งนัก เท่านี้ข้าก็วางใจแล้ว”
หลินเมิ้งหยาเงยหน้าขึ้นจากกระดานหมากล้อม นางมองจั่วชิวเฉินที่กลับมามีท่าทีเป็นปกติแล้วอย่างประหลาดใจ
ท่าทางแตกต่างจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง ตอนนี้ใบหน้าของเขาประดับไว้ซึ่งรอยยิ้ม มือทั้งสองข้างกอดอก ดวงตาฉายแววชื่นชม
“ท่านมาตั้งแต่เมื่อไร? ไม่มีใครเห็นอย่างนั้นหรือ?”
หลินเมิ้งหยาเคยชินกับการหันกลับไปมองทางด้านหลัง โชคดีที่พวกเขาล้วนเป็นคนรอบคอบ การที่กลับมายืนอยู่ที่นี่ได้แสดงว่าจะต้องไม่มีใครเห็นอย่างแน่นอน
จั่วชิวเฉินหัวเราะเบา ๆ ทว่าสายตามิได้ละออกจากกระดานหมากล้อม
เหตุเพราะหลินเมิ้งหยากำลังเพ่งสมาธิอยู่กับการแข่งขัน ดังนั้นนางจึงไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดไหนแล้ว
ทว่าหลงเทียนอวี้และจั่วชิวเฉินรอพวกเขานานราวครึ่งชั่วโมงแล้ว
“ฮวงซง ท่านดูออกแล้วทำไมไม่ช่วยข้าเล่า”
จั่วชิวอวี้ส่งเสียงประท้วงอย่างไม่พอใจเหมือนครั้งยังเด็ก ฝีมือการเดินหมากของเขามิเป็นสองรองใครในบรรดาคนรุ่นราวคราวเดียวกัน
แต่ใครจะรู้เล่าว่าเขาจะถูกเด็กคนนี้ล้มเอาง่ายๆ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขาขุ่นข้องหมองใจได้อย่างไร
“เจ้าสมควรพ่ายแพ้แก่หมากกระดานนี้แล้ว เมิ้งหยาฝีมือสู้เจ้าไม่ได้ แต่เพราะเจ้าสองจิตสองใจ ดังนั้นจึงปกป้องหมากของตัวเองเอาไว้ไม่ได้ สุดท้ายเจ้าจึงแพ้อย่างไรเล่า หากเมื่อครู่ เจ้าพยายามบุกเข้าไปแล้วล่ะก็ ไม่ว่าอย่างไรนางก็เอาชนะเจ้าไม่ได้ ข้าพูดถูกหรือไม่?”
หากพูดเรื่องฝีมือในการเล่นหมากล้อม จั่วชิวเฉินจัดอยู่ในระดับปรมาจารย์
เมื่อถูกเหยียบย่ำซ้ำเติม จั่วชิวอวี้จำใจกลืนความน้อยใจลงคอ
เหตุเพราะเขาเป็นฝ่ายประมาทก่อน
“สายตาเฉินเปี่ยวเกอแหลมคมยิ่งนัก แต่หม่อมฉันขอเอ่ยตามความจริง หลังจากได้เดินหมากกระดานนี้แล้ว หม่อมฉันเพิ่งเข้าใจว่าเมื่อก่อนหม่อมฉันบุ่มบ่ามเกินไป หวังว่าจะไม่ทำให้แผน นการของเฉินเปี่ยวเกอเสียหาย”
หลินเมิ้งหยาหัวเราะ ป๋ายซ่าวเข้ามาประคองนางขึ้นขยับแข้งขยับขา
คิดไม่ถึงเลยว่าหมากกระดานนี้จะต้องใช้สมาธิมากถึงเพียงนี้ ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดละครทีวีจึงมักมีฉากที่คนเป็นศัตรูเล่นหมากล้อมด้วยกัน
หมากสีขาวดำเปรียบเสมือนการต่อสู้กันหนแรก ดังนั้นหมากล้อมหนึ่งกระดานจึงสามารถมองออกว่าใครจะมีโอกาสแพ้หรือชนะ
ดวงตาของจั่วชิวเฉินสั่นไหว ก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
เด็กคนนี้มองทุกสิ่งออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ซ้ำไหวพริบยังรวดเร็วว่องไวเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก
“ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่มีทางกระทบกระเทือนการใหญ่ วันมะรืนพวกเจ้าก็ต้องออกเดินทางแล้ว เตรียมตัวพร้อมกันแล้วหรือไม่?”
วิธีการพูดล้ำลึกชวนฉุกคิดเช่นนี้เห็นจะมีเพียงจั่วชิวอวี้และป๋ายซ่าวที่ไม่เข้าใจ
คนหนึ่งมีสติปัญญาจำกัดส่วนอีกคนเข้าใจทุกอย่าง แต่หากนายหญิงไม่พูด เช่นนั้นนางก็ไม่คิดจะเอ่ยถาม
ดังนั้นเมื่อเห็นบทสนทนาราวกับเทพเซียนคุยกันระหว่างฮวงซงและสองสามีภรรยา จั่วชิวอวี้จึงทำเพียงกลอกตา แล้วเดินออกไปสั่งให้คนตระเตรียมข้าวของสำหรับการเดินทาง
มองตามหลังจั่วชิวอวี้ที่เดินออกไป สายตาของจั่วชิวเฉินมีความกังวลอยู่หลายส่วน
ภาพทั้งหมดล้วนตกอยู่ในสายตาของหลินเมิ้งหยา
ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นพี่น้องกัน แม้จั่วชิวเฉินจะปากแข็ง แต่หัวใจของเขากลับเป็นห่วงน้องชายของตนอยู่เสมอ
“อันที่จริงเขาอาจจะเหมาะกับหอป๋ายเฉามากกว่าที่นี่นะเพคะ”
หลินเมิ้งหยาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยขึ้น
นับตั้งแต่วันที่จั่วชิวเฉินออกคำสั่งว่าจั่วชิวอวี้ต้องออกเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงเก่ากับพวกเขา อีกทั้งยังต้องการให้หลินเมิ้งหยาเข้าร่วมการแข่งขันด้วย นางจึงเริ่มเข้าใจ จอะไรบางอย่าง
เหตุเพราะความสงสัยของฮ่องเต้ ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์กระต่ายม้วยนำสุนัขมาย่างกินขึ้น [1]
โดยเฉพาะสถานที่ซึ่งมีอิทธิพลมหาศาลต่อเมืองหลินเทียนอย่างหอป๋ายเฉา
หากมิใช่คนสนิทของจั่วชิวเฉินหรืออาจพูดว่ามิใช่คนที่สามารถเข้ามาสั่นคลอนตำแหน่งฮ่องเต้ของเขาได้ เกรงว่าป่านนี้เขาคงอยู่อย่างหวาดระแวง นอนไม่หลับ กินไม่รู้รส
จะมีใครรู้บ้างว่าคนสนิทที่เขาเลี้ยงดูมาจะมีความเห็นต่างเมื่อได้ถือครองอำนาจหรือไม่?
เมื่อไม่ใช่พวกเดียวกัน เช่นนั้นจิตใจย่อมแตกต่างกัน
โดยเฉพาะอำนาจที่ใหญ่คับฟ้าถึงเพียงนี้
ตอนนี้ฮ่องเต้แห่งเมืองหลินเทียนเช่นเขามีคนสนิทที่ไว้ใจได้เพียงสองคน คนหนึ่งคือหลินเมิ้งหยา ส่วนอีกคนคือน้องชายที่คลานตามกันมาอย่างจั่วชิวอวี้
หากตัดหลินเมิ้งหยาออก เช่นนั้นคนเดียวที่จริงใจกับเขาเสมอมาอย่างจั่วชิวอวี้ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
เหตุผลที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งใดก็คือจั่วชิวอวี้เป็นคนมองออกง่าย เพียงแต่เขาหมกหมุ่นอยู่กับยาสมุนไพรแต่เพียงเท่านั้น
แต่ในขณะเดียวกันเขาที่เติบโตขึ้นมาเป็นเชื้อพระองศ์คนหนึ่งและอยู่กับแผนการเจ้าเล่ห์ต่างๆ ในวังหลวงย่อมเก่งกาจกว่าพวกคนในหอป๋ายเฉามาก
หากนางเป็นจั่วชิวเฉิน คาดว่านางก็คงเลือกน้องชายแท้ๆ ของตนเองเช่นกัน
เท่านี้เขาก็จะสามารถยืนหยัดอย่างมั่นคงในยุทธภพได้แล้ว
ขั้นต่อไปคือการหาวิธีทำให้อำนาจและชื่อเสียงของหอป๋ายเฉาอ่อนแอลง จากนั้นหัวใจของราษฎรทั้งหมดจะตกอยู่ในกำมือของเขา
จั่วชิวเฉินมิเคยขาดความทะเยอทะยาน แต่สิ่งหนึ่งที่เขาขาดไปก็คือเวลาในการเติบโตแต่เพียงเท่านั้น
หลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้ต่างเข้าใจเป้าหมายของเขาแล้ว
การมีเพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีกคน โดยเฉพาะเพื่อนที่มากความสามารถและเจ้าแผนการเช่นนี้ย่อมควรผูกมิตรดีกว่าตั้งตนเป็นศัตรู
มิเช่นนั้นหลงเทียนอวี้จะยินยอมปล่อยให้หลินเมิ้งหยาก้าวเข้าไปเผชิญหน้ากับอันตรายได้อย่างไร?
“ข้ารู้เรื่องนี้ดี เมื่อเทียบกับการเป็นท่านอ๋องที่อยู่ไปวันๆ แล้ว อาอวี้เหมาะที่จะไปอยู่หอป๋ายเฉาที่สุด แต่คนเหล่านั้นไม่มีวันยอมปล่อยให้เขาทำตามความต้องการได้สำเร็จ จ ความปลอดภัยของเจ้าและอาอวี้ต่างหากที่ข้าเป็นกังวล”
จั่วชิวเฉินกล่าวตามความจริง
ไม่ว่าใครก็คงไม่มีวันยินยอมปล่อยให้ผู้อื่นแก่งแย่งอำนาจของตนเองไปต่อหน้าต่อตา
ฐานะของจั่วชิวอวี้ค่อนข้างพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีกำลังของหลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้คอยช่วยเหลือ คาดว่าความสำเร็จคงมีไม่น้อย
“ท่านอย่ากังวลเรื่องนี้เลย บนโลกใบนี้มีของที่สามารถฆ่าคนได้มากมาย แต่ของที่สามารถช่วยคนได้ก็ไม่น้อย แม้หอป๋ายเฉาจะมีกลอุบายค่อนข้างมาก แต่ถึงกระนั้นก็มีกำลังเพียงน น้อยนิด ขอเพียงท่านส่งคนไปคุ้มครองพวกเราให้มากเพียงพอ เท่านี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
หลินเมิ้งหยาแย้มยิ้มขณะเอ่ย มิรู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงรู้สึกตื่นเต้นกับการเดินทางไปยังหอป๋ายเฉาในคราวนี้ยิ่งนัก
หลายวันมานี้นางมีความมั่นใจหนึ่งประการ ส่วนมันคือเรื่องอะไรนั้น บางทีอาจเพราะระบบเซินหนงเวอร์ชั่น 2.0 ได้รับการอัปเกรดแล้วกระมัง
แน่นอนว่านางมิอาจให้ใครล่วงรู้ความลับนี้ได้แม้แต่คนเดียว
“จริงสิ ซู่เหมยคนนั้นบอกท่านใช่หรือไม่ว่าหม่อมฉันมิใช่ลูกสาวแท้ๆ ของท่านแม่?”
นางเอ่ยถามด้วยท่าทางผ่อนคลาย สำหรับพวกเขาแล้ว ซู่เหมยเป็นแค่ตัวตลกน่าขันเท่านั้น
จั่วชิวเฉินเองก็มีท่าทางอ่อนโยนมิแพ้กัน ก่อนจะเอ่ยตอบ
“ใช่ เจ้านายของนางสอนเอาไว้ไม่เลว แต่น่าเสียดายที่นางโง่เขลา แม้แต่จะพูดให้เข้าใจยังทำไม่ได้ ข้าเดาว่าพวกเขาจะต้องหาหลักฐานเท็จมาพิสูจน์ว่าเจ้ามิใช่ลูกสาวของท่านป้าอย่า างแน่นอน แต่หญิงโง่คนนั้นกลับใจร้อน นางไม่เพียงเอ่ยว่าเจ้ามิใช่จวิ้นจู่แห่งเมืองหลินเทียน ซ้ำยังพูดอีกว่าจะกำจัดเจ้า”
หลินเมิ้งหยาชะงักงัน ก่อนจะส่ายหน้าอย่างพูดไม่ออก
ดวงตามิเผยอารมณ์ใดๆ แต่กลับมองทางหลงเทียนอวี้ที่เข้ามายืนอยู่ข้างกายนางตลอดเวลา
“โอ้ ทั้งหมดนี้คงเพราะพี่ใหญ่สกุลหลงคนนี้กระมัง ดังนั้นนางจึงไม่สนใจใยดีเรื่องอื่น ท่านอ๋องอวี้มีเสน่ห์มากเหลือเกิน”
เพียงได้ยินเสียงจงใจหยอกล้อของหลินเมิ้งหยา หลงเทียนอวี้อดที่จะถลึงตาใส่นางไม่ได้
แต่ดูเหมือนเขาจะทำให้นางหวาดกลัวได้น้อยลงทุกที…
ถอนหายใจเบาๆหลงเทียนอวี้ทำเหมือนมองไม่เห็น ก่อนจะผินหน้าไปมองนอกหน้าต่าง
“โง่จริงๆ หม่อมฉันคิดว่าผู้อยู่เบื้องหลังของนางคงหวังว่าหลักฐานปลอมเหล่านั้นจะทำให้พระองค์เกิดความสงสัย เท่านี้หากมีอันตรายเกิดขึ้นกับหม่อมฉัน เช่นนั้นพระองค์คงปล่อยหม่อมฉ ฉันไปตามยถากรรม น่าเสียดาย หมากกระดานนี้ถูกหมากไร้ประโยชน์สร้างความวุ่นวายเข้าให้แล้ว”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางเสียดาย เกมจะสนุกขึ้นหากได้เจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ
หากคนแข็งแกร่งกว่าต้องต่อสู้กับคนอ่อนแอ เช่นนั้นอีกฝ่ายคงถูกฆ่าอย่างง่ายดาย
แต่เห็นได้ชัดว่านางชื่นชอบการต่อสู้กับผู้อื่น ทั้งที่อีกฝ่ายอาจไม่คิดเช่นนั้น
———————-
หมายเหตุ
[1] กระต่ายม้วยนำสุนัขมาย่างกิน หมายถึงเมื่อหมดประโยชน์แล้วจึงถูกกำจัด