ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 16 บทที่ 458 ความยินดีที่คาดไม่ถึง
คุกเข่าข้างกำแพง ในที่สุดก็ได้เห็นลานบ้านของเรือนชาวนา
ภายในลานล้วนถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบ
เหตุเพราะเมื่อครู่คนกลุ่มใหญ่กลับออกไปแล้ว ดังนั้นเวลานี้จึงเหลือคนเฝ้าอยู่เพียงสองสามคนเท่านั้น
หลินเมิ้งหยากวาดสายตามองอย่างละเอียด แม้คนจะไม่มากแต่กลับมียอดฝีมืออยู่ถึงสองคน
หากนางเดาไม่ผิด หงอวี้จะต้องถูกขังอยู่ในห้องด้านข้างห้องนั้น เหตุเพราะที่นั่นมีชายสองคนนั่งเฝ้าอยู่หน้าประตู
ตอนแรกหลินเมิ้งหยาคิดจะบุกเข้าไปช่วยหงอวี้แล้วกำจัดคนเหล่านั้นเสีย แต่ตอนนี้นางมีความคิดดีๆ บางอย่าง
“หลงเทียนอวี้ พระองค์สั่งให้ลูกน้องดึงดูดความสนใจคนเหล่านั้นออกไปก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันอยากเข้าไปถามหงอวี้สักสองสามคำ”
หลินเมิ้งหยากระซิบบอกหลงเทียนอวี้ อีกฝ่ายพยักหน้า จากนั้นจึงหาตำแหน่งพรางตัวให้นาง ก่อนที่เขาจะไปมอบหมายภารกิจให้แก่ลูกน้อง
ชั่วอึดใจต่อมา หลินเมิ้งหยาได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวในลานบ้าน ก่อนจะเงียบลง
โผล่ศีรษะขึ้นมองดูเหตุการณ์ ตอนนี้คนในลานเหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น
ทว่าชายคนนี้กำลังยืนอยู่หน้าประตูรั้วเพื่อมองเหตุการณ์ภายนอก
“พวกเขาล่อคนออกไปแล้ว คาดว่าสามารถถ่วงเวลาเอาไว้ได้ราวครึ่งชั่วโมง”
ภายใต้ความมืด หลงเทียนอวี้ยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างใบหูของหลินเมิ้งหยา
“เพคะ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว พระองค์ช่วยหม่อมฉันจัดการชายคนนั้นหน่อยเถิด”
ขณะกำลังปรึกษากันอยู่นั้น ชายคนดังกล่าวหมุนตัวกลับเข้ามาในลานบ้านแล้ว
สีหน้ากระวนกระวาย เขาเดินกลับมายังห้องที่หลินเมิ้งหยากำลังจ้องอยู่
ขณะที่มือหนากำลังยื่นเข้าไปผลักประตูห้อง อยู่ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บปวดที่ท้ายทอยอย่างรุนแรง จากนั้นร่างกายจึงอ่อนยวบลง
“ตึง” เสียงดังขึ้น ดูเหมือนจะเจ็บหนักเอาการ
หงอวี้ที่อยู่ภายในห้องกำลังคิดหาทางส่งข่าวไปให้หลินเมิ้งหยา
ด้านนอกพลันเกิดเสียงดังขึ้น
ทว่าเสียงเอะอะโวยวายที่ลอดผ่านเข้ามาราวกับว่าพวกเขาพบเห็นคนน่าสงสัย
หงอวี้วางแผนในใจ นางเข้าไปยืนอยู่ข้างประตูด้วยความระมัดระวัง หากไม่มีคนเฝ้าประตู เช่นนั้นนางจะสามารถหนีออกไปได้ใช่หรือไม่?
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเสียงด้านนอกจะเงียบลงอย่างรวดเร็ว หงอวี้รีบเปิดประตูห้อง
ดวงตาเบิกกว้าง จ้องมองคนตรงหน้านิ่งเสมือนคนโง่
“พระชายา…ท่าน…ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”
หลินเมิ้งหยาชำเลืองมองชายที่ล้มลงหมดสติบนพื้น
เพียงได้เห็นใบหน้าของชายคนนี้ก็รู้ได้ทันทีว่าเขามิใช่คนดี หลงเทียนอวี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาลากตัวชายคนนั้นออกไป
ส่วนเอาไปทำอะไรนั้น หลินเมิ้งหยาไม่อยากสนใจ
มองดวงตาตื่นตะลึงระคนยินดีของหงอวี้ หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลงน้อยๆ จากนั้นจึงเข้าไปข้างในห้อง
“เหตุการณ์กำลังคับขัน พวกเรามาคุยกันสั้นๆ เถิด ข้ามาช่วยเจ้าออกไป เจ้าอย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป ข้าหลอกใช้เจ้าเพื่อดึงดูดผู้บงการอยู่เบื้องหลังออกมา หากเจ้าคิดจะไปตอนนี้ เช่นนั้ นข้าจะพาเจ้าออกไปด้วยกัน”
หลินเมิ้งหยาส่งเสียงราบเรียบ
นางมิอาจปฏิเสธเรื่องที่ตนเองหลอกใช้ประโยชน์จากหงอวี้ได้
หลินเมิ้งหยาไม่รู้เลยว่าขณะนี้ในใจของหงอวี้กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงแทบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
หรืออาจพูดได้ว่าความตรงไปตรงมาของหลินเมิ้งหยาทำให้หงอวี้รู้ว่านางเป็นคนจริงใจและน่ายกย่องมากเพียงใด
“ท่านกำลังรับสั่งว่าน้องสาวของข้าเป็นคนส่งคนพวกนี้มาใช่หรือไม่?”
หงอวี้จับประเด็นในคำพูดของหลินเมิ้งหยาได้แล้ว อันที่จริงนางเองก็พอจะมองออก
แต่นางเพียรพยายามหลอกตัวเอง
บัดนี้ความจริงหลุดออกจากปากหลินเมิ้งหยาแล้ว นางคงมิอาจหลีกหนีความจริงได้อีกต่อไป
น่าแปลกที่นางไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่กลับสบายใจ
“อืม ข้าส่งคนติดตามนางไป แต่นางหลบหลีกไปได้ ข้ามั่นใจว่าคนพวกนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับน้องสาวของเจ้าอย่างแน่นอน หากเจ้าคิดจะหาพยาน เช่นนั้นข้าจะเป็นพยานให้เจ้า”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หงอวี้รู้แล้วว่าเรื่องราวทั้งหมดมิต่างจากแผ่นไม้ที่ถูกตอกตะปู
ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว
ความรู้สึกเจ็บปวดเสียใจเหือดหายไปหมดแล้ว แม้นางและซู่เหมยจะมีสายเลือดเดียวกัน แต่เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว โลหิตที่เคยอุ่นในกายนางพลันเย็นเฉียบ
ตอนแรกนางคิดว่าตนเองได้ครอบครัวกลับมาแล้ว ไฉนเลยจะเป็นเพียงศัตรูเท่านั้น
“ไม่จำเป็นเพคะ ต่อให้เค้นเอาความผิดจากนาง นางก็คงไม่ยอมรับ ยิ่งไปกว่านั้นท่านมิจำเป็นต้องช่วยข้าออกไป ชั่วชีวิตนี้ของข้าติดค้างคนอยู่เพียงผู้เดียวนั่นก็คือท่าน ข้าจะอย ยู่รับกรรมของข้าที่นี่”
หลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าหงอวี้จะคิดเช่นนี้
ดูเหมือนนางจะประเมินหงอวี้ต่ำไป
ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง หรือหงอวี้จะรู้เรื่องอะไรเข้า?
“เพราะอะไร? ที่นี่อันตรายมาก ยิ่งไปกว่านั้นข้าเคยบอกแล้วว่าเจ้ามิได้ติดหนี้อันใดข้าอีกแล้ว บุญคุณและความแค้นของพวกเราไม่มีเหลืออยู่แล้ว หากเจ้ารู้สึกผิดต่อข้า เช่นนั้นอย ย่าได้ทำเช่นนี้เลย”
คำพูดสละสลวยงดงามยิ่งนัก แต่ถึงกระนั้นนี่ก็เป็นอุปนิสัยที่แท้จริงของหลินเมิ้งหยา หากนางต้องการจะแสวงหาผลประโยชน์จากใคร นางย่อมไม่ใช้วิธีการหลอกลวง
เหตุเพราะคำลวงอยู่ได้ไม่นาน แต่หากอีกฝ่ายยินยอมพร้อมใจทำด้วยตนเอง เช่นนั้นผลลัพธ์ที่ได้ย่อมออกมาดีกว่า
นางยอมรับว่าตนเองเลว แต่หากอยากมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จะมีใครบ้างที่ไม่เคยทำผิดมาก่อน?
“ข้ามิได้รู้สึกผิดต่อท่าน แต่ข้าอยากขอความเมตตาจากท่าน เหตุเพราะข้าเคยทำเรื่องต่ำทรามไว้กับท่าน ข้าเห็นว่าท่านได้รับความรักและโปรดปราน ดังนั้นข้าจึงอยากให้ท่านเป็ นที่พึ่งแก่ข้า แต่เพราะคำพูดของท่านทำให้ข้ายอมตายดีกว่ามีชีวิตอยู่ ข้าอยากช่วยท่าน ขณะเดียวกันข้าก็อยากช่วยตัวข้าเองด้วย”
ไตร่ตรองทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามา หงอวี้ในเวลานี้มิใช่คนตามืดบอดเพราะความรักที่มีให้น้องสาวอีกต่อไป ในที่สุดนางก็เห็นภาพทุกอย่างอย่างชัดเจน
คำพูดของนางทั้งหมดในเวลานี้ล้วนออกมาจากหัวใจทั้งสิ้น
นางไม่อยากใช้ชีวิตโสมมเช่นนี้อีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นนางไม่อยากตกเป็นเครื่องมือของใคร
เช่นนั้นทางเลือกเดียวของนางก็คือการเข้าหาคนที่มีอำนาจมากที่สุด จากนั้นจึงสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง
เมื่อเทียบกับคนปริศนาผู้นั้น หลินเมิ้งหยาเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่ามาก ฉะนั้นนางจึงเสนอตัวที่จะช่วยเหลือชายาอวี้
มองหงอวี้ด้วยสายตาลังเล หลินเมิ้งหยาเดาความคิดของนางไม่ออก
หงอวี้สามารถทำทุกอย่างเพื่อน้องสาว แต่ตอนนี้นางกำลังโยนชีวิตตัวเองเข้ากองเพลิง
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดหลินเมิ้งหยาก็เอ่ยถาม
“เจ้าพูดจริงหรือ?”
หงอวี้มองนางด้วยสายตาจริงใจ ก่อนจะพยักหน้าลง
นางรู้ดีว่าตนเองกำลังมุ่งหน้าเข้าหาอันตราย แต่สิ่งที่จะได้รับกลับมายิ่งใหญ่ยิ่งนัก
ทุกอย่างควรค่าให้นางลองเสี่ยง
“เช่นนั้นก็ได้ แต่เจ้าบอกข้ามาหน่อยเถิดว่าเจ้ารู้สิ่งใดมา หนึ่งข้าจะได้ร่วมมือกับเจ้า สองข้าจะได้เตรียมการเอาไว้”
หลินเมิ้งหยาตอบตกลงโดยไม่ลังเล อันที่จริงนางวางแผนเอาไว้เช่นนี้อยู่แล้ว
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหงอวี้จะเสนอขึ้นมาโดยที่นางไม่ต้องเอ่ยโน้มน้าวเพียงสักคำ
ดังนั้นนี่จึงเป็นความยินดีที่คาดไม่ถึง ทว่าหลังจากนี้คงต้องระมัดระวังให้มาก
จงเป็นสุภาพบุรุษก่อนแล้วค่อยเป็นอันธพาล [1] ระมัดระวังสักหน่อยมิใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด
จากนั้นหงอวี้จึงเล่าข่าวที่ตนเองได้รับมาให้นางฟัง
รวมถึงเรื่องแผนการของคนปริศนาผู้นั้นและการวิเคราะห์ของนางด้วย
หลินเมิ้งหยาฟังจบ มุมปากหยักยิ้มเย็นชา
คนปริศนา? เขาคิดจะใช้ประโยชน์จากหงอวี้และซู่เหมยในการปฏิเสธตัวตนของนาง
นางไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีคนบงการชายปริศนาคนนั้นอีกทอดหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นซู่เหมยไม่มีทางคิดหาวิธีทำลายตำแหน่งของนางได้อย่างแน่นอน
“เจ้าจงทำตามแผนของพวกเขาเถิด แต่ตอนที่ชี้ตัว เจ้าอย่าชี้มาทางข้า แต่ให้ชี้ไปทางซู่เหมยแทน เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจงให้เหตุผลว่าเจ้าลองตรวจสอบอย่างใกล้ชิดดูแล้วจึงรู้ว่าใคร เป็นใคร จากนั้นเจ้าจงรอสัญญาณจากข้า”
หลินเมิ้งหยาเดาแผนการของอีกฝ่ายออกในทันที
คิดจะยืมดาบฆ่าคนอย่างนั้นหรือ? ซ้ำยังฆ่านกสองตัวได้ในเกาทัณฑ์เดียว
นางมีลางสังหรณ์ว่าผู้อยู่เบื้องหลังซู่เหมยจะต้องเกี่ยวข้องกับการคัดเลือกตำแหน่งผู้อาวุโสแห่งหอป๋ายเฉาอย่างแน่นอน
“เจ้าค่ะ ข้าจะทำตามคำสั่งท่าน”
หงอวี้เข้าใจดี หากนางทำเช่นนี้ โอกาสที่นางจะถูกสังหารย่อมมีสูง
แต่แล้วอย่างไรเล่า? ขอเพียงนางกล้าทำเช่นนี้ นอกจากจะทำให้หลินเมิ้งหยาเชื่อใจได้แล้ว บางทีหลินเมิ้งหยาอาจรับนางไปรับใช้
นางมองนิสัยใจคอของหลินเมิ้งหยาออก แม้หลินเมิ้งหยาจะมีความฉลาดเฉลียวเจ้าเล่ห์ แต่อันที่จริงนางแยกแยะความผิดชอบชั่วดีออกอย่างชัดเจน
อย่างเช่นเรื่องของซู่เหมย ทั้งที่หลินเมิ้งหยามีโอกาสมากมายที่จะสั่งโบยพวกนางสองพี่น้องจนตาย แต่นางก็เลือกที่จะไว้ชีวิตพวกนาง
มิเช่นนั้นป่านนี้นางคงไม่มีโอกาสได้หายใจมาจนถึงทุกวันนี้
ภายในลานบ้าน ร่างของหลงเทียนอวี้ปรากฎขึ้นอีกครั้ง แต่เขามิได้เข้าไปภายใน หลังจากส่งสายตาเป็นสัญญาณให้หลินเมิ้งหยาแล้ว เขาก็กวาดสายตาเยียบเย็นมองไปรอบๆ
หลินเมิ้งหยารู้ดีว่าหากยังเสียเวลาอยู่ต่อ เกรงว่าคนเหล่านั้นจะกลับมาเสียก่อน
เมื่อถึงเวลานั้นนางคงหนีรอดกลับไปยากแล้ว
กำชับหงอวี้อีกสองสามคำ ก่อนจะปิดประตูลง
หลงเทียนอวี้ที่อยู่ในลานบ้านสบตากับหลินเมิ้งหยา ก่อนที่เขาจะโอบเอวบางของนางแล้วพากระโดดออกจากเรือนเล็กแห่งนี้ไป
ทันทีที่พวกเขาหายลับไปกลางอากาศ แสงคบเพลิงจำนวนไม่น้อยปรากฏขึ้น
บางทีคนเหล่านั้นอาจกลับมาแล้ว
หงอวี้นั่งอยู่บนกองฟาง เมื่อได้รับการยอมรับจากหลินเมิ้งหยา หัวใจของนางพลันสงบนิ่ง
ความปีติที่จะได้แก้แค้นแล่นพล่านไปทั้งหัวใจ ไม่รู้ว่าพวกคนที่มองนางเป็นเพียงสิ่งของจะอกแตกตายหรือไม่หากนางพลิกลิ้นขึ้นมา
——————————-
หมายเหตุ
[1] จงเป็นสุภาพบุรุษก่อนแล้วค่อยเป็นอันธพาล หมายถึงการทำดีสร้างมิตรภาพก่อนแล้วค่อยคิดกำไรขาดทุน