ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 16 บทที่ 461 เดินทางไปยังเมืองหลวงเก่า
ไม่รู้ว่าซู่เหมยกำลังคิดอะไร แต่การกระทำของนางในเวลานี้ทำให้หลินเมิ้งหยาและป๋ายซ่าวอดที่จะตื่นตะลึงไม่ได้
ท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนราวกับเป็นคนละคนกับซู่เหมยคนก่อน
ตอนแรกคิดว่าจะได้เจอซู่เหมยผู้ไร้ยางอายเสียอีก แต่นางในเวลานี้รู้จักรุกรู้จักรับขึ้นมาบ้างแล้ว
หลินเมิ้งหยายิ่งสงสัย ตกลงคนที่อยู่เบื้องหลังนางเป็นใครกันแน่?
เลิกคิ้วขึ้นสูง หลินเมิ้งหยาปรายตามองซู่เหมยก่อนจะเอ่ย
“ข้ามิใช่คนมากเรื่อง มีป๋ายซ่าวอยู่รับใช้เพียงคนเดียวก็พอแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นหากข้าพาเจ้าไปด้วย เจ้าจะไม่เป็นภาระข้าหรอกหรือ?”
หลินเมิ้งหยาพูดจบก็เตรียมจะหมุนตัวจากไป
ความเกลียดชังวาบผ่านในแววตาของซู่เหมย แต่นางพยายามอดกลั้นเอาไว้
รีบเดินตาม ก่อนจะวิ่งเข้าไปคุกเข่าลงต่อหน้าหลินเมิ้งหยา นางแสร้งทำท่าทางน่าสงสาร มือทั้งสองกำชายกระโปรงของหลินเมิ้งหยาแน่น ก่อนที่หยดน้ำตาจะรินไหลออกจากเบ้าตา
“พระชายาเข้าใจหม่อมฉันผิดไปแล้ว อันที่จริงเรื่องทั้งหมดล้วนเป็นเพราะพี่สาวใจร้ายของหม่อมฉันทั้งสิ้น นางต้องตกนรกเพียงคนเดียวคงมิพอใจ ดังนั้นจึงขู่บังคับหม่อมฉันว่าหากหม่ อมฉันไม่ยอมทำตาม นางจะส่งหม่อมฉันไปอยู่ที่นั่น หม่อมฉันไม่มีทางเลือกจึงต้องทำตามคำสั่งของนาง หากพระชายาไม่เชื่อ หม่อมฉันสามารถสาบานได้ หากหม่อมฉันโกหกแม้แต่คำเดียว ขอให้ห หม่อมฉัน…ตายอย่างน่าอเนจอนาถ”
ซู่เหมยส่งเสียงร้องไห้อ้อนวอน แต่ท่าทางเหมือนคนกำลังตำหนิเสียมากกว่า
หากหลินเมิ้งหยาเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ทั่วไป แม้จะไม่หลงเชื่อคำพูดของนางทั้งหมด แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีความคลางแคลงใจอยู่บ้าง
“โอ้? ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
หลินเมิ้งหยามิได้แสดงออกว่าเชื่อ แต่ก็มิได้แสดงท่าทีว่าไม่เชื่อ นางมองซู่เหมยอย่างลังเล
หากจะเทียบชั้นการแสดงกันแล้วล่ะก็ หลินเมิ้งหยาย่อมเก่งกว่าซู่เหมยที่เพิ่งจะหัดเดินเตาะแตะมาก
สบตากับซู่เหมย ความภาคภูมิใจที่ฝังลึกอยู่ในแววตาของนางทำให้หลินเมิ้งหยารู้ว่าตนเองเดาถูกแล้ว
“จริงแท้แน่นอนเพคะ หากพระชายาไม่เชื่อ พระองค์สามารถไปตรวจสอบที่หอนางโลมของพี่สาวหม่อมฉันได้”
ซู่เหมยพูดสิ่งเหล่านี้ออกมาโดยไม่หวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อย
เหตุเพราะคนผู้นั้นเล่าว่าคนของหอนางโลมเตรียมการเอาไว้หมดแล้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะลองไปตรวจสอบเมื่อมีเวลาว่างก็แล้วกัน ตอนนี้พี่สาวของเจ้าจากไปแล้ว เช่นนั้นเจ้าจงอยู่ที่นี่ให้สบายใจเถิด ไม่มีใครคิดทำร้ายเจ้าอย่างแน่นอน รอข้ากลับ บมาแล้วค่อยว่ากัน”
เมื่อเห็นว่าหลินเมิ้งหยายังคงไม่อนุญาตให้ตนเองติดตามไปด้วย ซู่เหมยจึงร้อนใจขึ้นมาแล้ว
รีบหยิบกล่องไม้เล็กๆ กล่องหนึ่งขึ้นมาแล้วส่งให้หลินเมิ้งหยา
“พระชายา นี่เป็นของที่พี่สาวของหม่อมฉันมอบให้ นางบอกว่าหากหม่อมฉันมีโอกาสให้นำของชิ้นนี้ไปมอบให้แก่ฮ่องเต้แห่งเมืองหลินเทียนเพื่อใส่ร้ายตัวตนของพระองค์ หม่อมฉันไม่อย ยากทำร้ายพระองค์อีกต่อไปแล้ว ฉะนั้นจึงอยากมอบของชิ้นนี้ให้แก่พระองค์เพคะ”
สีหน้าท่าทางจริงจัง การแสดงออกของซู่เหมยในเวลานี้จริงใจยิ่งนัก
ดวงตาของหลินเมิ้งหยาเปล่งประกาย นางคิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะสั่งให้ซู่เหมยมอบหลักฐานที่หลินเมิ้งหยากำลังตามหาเพื่อแลกกับความเชื่อใจจากนาง
แต่จะว่าไปก็สมเหตุสมผล เหตุเพราะซู่เหมยไม่รู้ตัวว่าตนเองถูกทอดทิ้งแล้ว
ฉะนั้นจึงคิดมอบของสิ่งนี้มาเพื่อซื้อใจนาง
ป๋ายซ่าวรับกล่องมาส่งให้หลินเมิ้งหยา พลิกของในกล่องดูเล็กน้อย ภายในคือกำไลหยกวงหนึ่ง
กำไลหยกวงนี้ดูเก่าแก่พอควร แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่ค่อยรู้เรื่องนี้ แต่นางเดาได้ว่าของชิ้นนี้ไม่ธรรมดาเลย
“นี่คืออะไร?”
หลินเมิ้งหยาหยิบกำไลหยกขึ้นมาพลิกดู ด้านหลังมีรูปดอกเหมยสลักเอาไว้
แต่เมื่อลองจ้องดูดีๆ แล้ว มันเป็นเพียงดอกเหมยธรรมดา แม้จะคล้ายกับดอกเหมยที่เอวของนาง แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ไม่เหมือน
ซู่เหมยเห็นว่าหลินเมิ้งหยาเชื่อไปแล้วหลายส่วน ดังนั้นจึงรีบอธิบาย
“นี่คือสิ่งที่ท่านแม่ของพระองค์ทิ้งเอาไว้ นางบอกว่าเป็นหลักฐาน หากมีของสิ่งนี้ เช่นนั้นก็สามารถยืนยันฐานะของพระองค์ได้”
สิ่งของของท่านแม่? หลินเมิ้งหยาพลิกดู…ไม่เหมือน
แม้กำไลหยกวงนี้จะมีรูปแบบเหมือนที่สตรีชอบใส่ แต่หากดูจากความรักความเอ็นดูที่ท่านแม่ได้รับ กำไลหยกวงนี้ไม่มีราคาเท่าไรนัก
ขณะเดียวกันนางเดาเป้าหมายที่สองของอีกฝ่ายออกแล้ว
เจ้าแผนการยิ่งนัก ดูเหมือนนางจะต้องระมัดระวังตัวมากกว่าเดิมแล้ว หากไม่ระวังให้ดี เกรงว่าจะถูกล้มกระดานเอาได้
“ฮึ ฝันอยู่อย่างนั้นหรือ เพียงแค่กำไลหยกวงเดียวแต่กลับคิดว่าจะสามารถใส่ร้ายข้าได้ แต่ก็สมแล้วที่เป็นความคิดของพี่สาวเจ้า เช่นนั้นการที่เจ้ายอมสวามิภักดิ์กับข้าในคราวน นี้ เจ้าไม่กลัวว่านางจะมาเอาเรื่องกับเจ้าหรือ?”
หลังจากแสดงละครอยู่ครู่หนึ่งแล้ว หลินเมิ้งหยาไม่อยากแสดงละครต่อ
ดังนั้นนางจึงแสร้งทำเป็นหลงเชื่อซู่เหมย เพื่อเก็บนางเอาไว้ใช้ประโยชน์
“ฉะนั้นหม่อมฉันจึงอยากขอร้องพระชายา ได้โปรดให้หม่อมฉันติดตามพระองค์ไปด้วยเถิดเพคะ หม่อมฉันไม่รู้ว่าพี่สาวไปพึ่งบารมีของใคร หากนางหวังเอาชีวิตของหม่อมฉันตอนที่พระองค์ไม่ อยู่ เช่นนั้นพระองค์คงไม่มีใครคอยเป็นพยานให้แล้ว”
ผู้หญิงคนนี้ฝึกซ้อมการแสดงมาอย่างดีเลยสินะ
หลินเมิ้งหยาปรายตามองนาง ก่อนจะสั่งป๋ายซ่าว
“พานางไปเปลี่ยนชุดเหมือนกันกับเจ้า การเดินทางในคราวนี้ไม่เหมือนอยู่ที่บ้าน ฉะนั้นต้องระมัดระวังให้มาก เจ้าจงให้ซู่เหมยเข้าไปนั่งรถม้ารวมกับคนติดตามของพวกเรา”
หลินเมิ้งหยาสั่งเสร็จก็เดินออกจากประตูหลังในทันที
สายตาอาฆาตจับจ้องมองตามหลังหลินเมิ้งหยา นางไม่รู้ตัวเลยว่าหลินเมิ้งหยาเดาแผนการทุกอย่างออกแล้ว
เดินทางออกจากจวนเซิ่นจวิ้นอ๋อง เหตุเพราะที่นี่เป็นจวนใหญ่ ดังนั้นจึงมีรถม้าเข้าออกมากมาย
รถม้าของพวกนางจึงมิได้ดึงดูดสายตาของคนอื่น
เดินทางออกจากประตูเมืองโดยสวัสดิภาพ ไม่นานก็ตามขบวนม้าของคนที่ล่วงหน้าออกมาก่อนได้ทัน ป๋ายซ่าวประคองหลินเมิ้งหยาขึ้นไปยังรถม้าธรรมดาไม่สะดุดตาแต่กลับกว้างขวางอีกคัน
มองดูเบาะพรมนุ่มนิ่มที่ประดับตกแต่งภายในและขนมขบเคี้ยวที่วางเตรียมเอาไว้ หลินเมิ้งหยาส่ายหน้าพลางชำเลืองมองบุรุษทั้งสองที่กำลังขี่ม้าอยู่ด้านหน้า
พวกเขาถนัดเรื่องการขุนนางให้อ้วนเป็นหมูยิ่งนัก
แน่นอนว่าเรื่องนี้จะต้องมีฮ่องเต้แห่งเมืองหลินเทียนจั่วชิวเฉินเข้าร่วมด้วยอย่างแน่นอน
นี่มิใช่เรื่องดีเลยแม้แต่น้อย นางมักรู้สึกว่าหากตนเองกลายเป็นคุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูอยู่แต่ในจวนคงไม่ดีแน่
หากวันใดแขนของนางหายดี นางก็จะได้หลุดออกจากชีวิตเช่นนี้เสียที
พิงผนังรถม้า หลินเมิ้งหยาหยิบกำไลที่ซู่เหมยนำมาเป็นเครื่องบรรณาการขึ้นมา
แม้รูปลักษณ์ของดอกเหมยจะไม่เหมือนของที่ท่านแม่ทิ้งเอาไว้ แต่หากคนที่ไม่รู้เรื่องนี้ได้เห็น เกรงว่าคงแยกไม่ออกหรอกกระมัง
เรื่องนี้เตือนสตินางเอาไว้ นอกจากเฉินเปี่ยวเกอแล้ว คนที่สามารถยืนยันตัวตนของนางได้มีไม่มาก
หากอีกฝ่ายคิดจะใช้ชาติกำเนิดมาสร้างปัญหาให้แก่นาง เช่นนั้นคงยุ่งยากอย่างแน่นอน
“นายหญิงยังดูของที่นางมอบให้อีกหรือเจ้าคะ? ข้าว่าไม่มีอะไรน่ามองเลยแม้แต่น้อย แม้คนเมืองหลินเทียนจะสงสัย แต่ก็คงไม่ถึงขั้นปฏิเสธท่านเพียงเพราะกำไลหยกเส้นเดียวหรอกกระ ะมัง?”
ป๋ายซ่าวชงชาให้หลินเมิ้งหยาหนึ่งถ้วยพลางส่งยิ้มให้เจ้านาย
“แม้จะเอ่ยเช่นนั้น แต่ตัวตนของข้ายังเป็นที่คลางแคลงใจอยู่ เจ้าลองตรองดูเถิดว่าตอนท่านแม่ข้าหนีออกจากเมืองหลินเทียน ท่านอายุเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มี ใครรู้ว่าท่านแม่แต่งงานกับท่านพ่อ ดังนั้นสิ่งนี้ย่อมสามารถสร้างความสงสัยให้แก่ทุกคนได้”
จั่วชิวอวี้และจั่วชิวเฉินล้วนกล่าวว่าพวกเขาเตรียมการรับมือเอาไว้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นรูปลักษณ์ของนางเหมือนกับท่านแม่ไม่มีผิดเพี้ยน ดังนั้นย่อมได้รับการยืนยันจากพวกขุนนางเก่ า
แต่หลินเมิ้งหยากลับคิดว่าเรื่องราวไม่มีทางง่ายดายเช่นนั้น
“นายหญิงหมายความว่ามีคนคิดเข้ามาสวมรอยตำแหน่งของท่าน? แต่ทำแบบนั้นจะส่งผลดีกับพวกเขาอย่างไรเล่า? แม้จะสามารถช่วงชิงตำแหน่งอันเล่อจวิ้นจู่ไปได้ แต่ตำแหน่งชายาอวี้เป็นสิท ทธิโดยชอบธรรมของท่าน หากทำให้ท่านขุ่นเคือง เช่นนั้นก็เหมือนทำให้ต้าจิ้นขุ่นข้องหมองใจไปด้วย”
มองป๋ายซ่าวด้วยความชื่นชม เด็กคนนี้มีพัฒนาการมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว
จิบชาในถ้วยเล็กน้อย ถึงอย่างไรการเดินทางในคราวนี้ก็น่าเบื่อหน่าย ดังนั้นนางยังมีเวลาอธิบายให้ป๋ายซ่าวฟังอีกมาก
“ก็เพราะตำแหน่งชายาอวี้นี่ไงเล่าที่เป็นปัญหา แม้ต้าจิ้นและเมืองหลินเทียนจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาตลอดหลายปี แต่ก่อนที่ข้าจะเกิด พวกเขายังคงรบราฆ่าฟันกันอยู่ เฉินเป ปี่ยวเกอเล่าว่าทางฝั่งเมืองหลวงเก่าล้วนเป็นที่พำนักของพวกขุนนางเก่าทั้งสิ้น ได้ยินมาว่าพวกเขาอยู่ที่นั่นก็เพื่ออยู่เป็นเพื่อนฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่สวรรคตไปแล้ว หากพูดอี กนัยหนึ่งก็คือพวกเขาคัดค้านการขึ้นครองบัลลังก์ของเฉินเปี่ยวเกอ ถ้าหากว่ามีการพิสูจน์ได้ว่าข้ามิใช่อันเล่อจวิ้นจู่ ซ้ำยังเป็นพระชายาแห่งต้าจิ้นและลูกสาวของแม่ทัพใหญ่ห หลินมู่จือ เช่นนั้นเจ้าคิดว่าพวกเขาจะมองข้าเช่นไร?”
หลินเมิ้งหยาอธิบายชัดถ้อยชัดคำ ในที่สุดป๋ายซ่าวก็เข้าใจหลังจากหลงทางอยู่ในเมฆทึบมานาน
หันหน้ามองหน้าเจ้านายของตนเอง ก่อนจะสูดลมหายใจเย็นเฉียบเข้าปอด
“ไอหยา คนพวกนั้นจะต้องเคียดแค้นนายท่านหลินอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ หรือว่าพวกเขา…พวกเขาจะประสงค์ร้ายต่อนายหญิงและท่านอ๋อง?”
นี่ก็เป็นเรื่องอันตรายอย่างหนึ่ง เหตุที่เฉินเปี่ยวเกอมอบตำแหน่งอันเล่อจวิ้นจู่ให้แก่นาง หนึ่งเพื่อหยุดยั้งกลอุบายของคนในหอป๋ายเฉา สองเพราะฐานะของนางค่อนข้างพิเศษ เห หตุเพราะบังเอิญเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างแคว้น
เฉินเปี่ยวเกอมิใช่ฮ่องเต้ขี้ขลาด กลับกันเขามีกลอุบายเจ้าเล่ห์มากมาย หากมีโอกาสแล้วล่ะก็ เขาต้องหาทางเป็นหนึ่งในใต้หล้าอย่างแน่นอน
ทว่าตอนนี้สถานการณ์ในเมืองหลินเทียนไม่เหมาะสมที่จะทำสงคราม
เพื่อความมั่นคงของแว่นแคว้น เขาทำได้เพียงขจัดความทะเยอทะยานของตัวเองทิ้งไป
ทว่าขุนนางเก่าเหล่านั้นล้วนมีฐานะสูงศักดิ์ พวกเขารู้จักเพียงแค่การหาผลประโยชน์เพื่อเสริมสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเอง
ราวกับพวกเขาไม่สนใจเหล่าราษฎรที่บริสุทธิ์เลยแม้แต่น้อย