ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 16 บทที่ 463 กลอุบายลวงหลอก
ไม่รู้ว่าเป็นพรหมลิขิตหรืออย่างไรจึงทำให้สตรีซึ่งอยู่ในฐานะศัตรูได้พานพบและครองรักกัน
ชีวิตของทั้งคู่มิต่างจากละครโทรทัศน์ที่นางเคยดูเลยแม้แต่น้อย
“อีกเดี๋ยวก็ถึงโรงเตี๊ยมแล้ว”
จั่วชิวอวี้ที่ขี่ม้าอยู่ทางด้านหน้ากระซิบกระซาบกับหลงเทียนอวี้
ผงกศีรษะลง ระหว่างการเดินทาง พวกเขาล้วนเหลียวซ้ายแลขวาเพ่งสมาธิเพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้น
การเดินทางในคราวนี้มิได้วางกำหนดการเอาไว้ล่วงหน้า สิ่งที่ทำเอาไว้มากสุดคือการส่งคนล่วงหน้าไปดูลาดเลาเอาไว้เท่านั้น
ไม่ว่าช้าหรือเร็วข่าวการเดินทางไปยังเมืองหลวงเก่าของพวกเขาก็ต้องถึงหูคนเหล่านั้น แต่เพราะมีจั่วชิวเฉินคอยสยบข่าวเอาไว้ ดังนั้นคงต้องแล้วแต่โชคชะตาว่าจะสามารถปิดบังไปไ ได้นานเพียงใด
หลงเทียนอวี้นึกขึ้นมาได้ ทุกครั้งเขากับหลินเมิ้งหยามักจะแอบออกจากจวนเสมอ แต่สุดท้ายก็มักจะเกิดเรื่องราวใหญ่โต
มุมปากหยักยกขึ้น ตั้งแต่หลินเมิ้งหยาแต่งงานเข้าจวนมา ไม่ว่าชีวิตของเขาหรือต้าจิ้นล้วนแล้วแต่มีเหตุการณ์แปลกใหม่เกิดขึ้นเสมอ
หากการใหญ่ในอนาคตสำเร็จลุล่วงและคนที่ยืนข้างกายเขาคือนางแล้วล่ะก็ เช่นนั้นชีวิตของเขาก็คงไม่ต้องการสิ่งใดอีก
“เจ้ายิ้มอะไร?”
จั่วชิวอวี้มองหลงเทียนอวี้ด้วยสายตาประหลาดใจ
บุรุษผู้นี้กับพี่ชายของเขาแตกต่างกันอยู่หลายส่วน
ฮวงซงและเขาเติบโตขึ้นมาภายในวังหลวง ดังนั้นฮวงซงจึงเรียนรู้วิธีการปั้นหน้ายิ้มแม้หัวใจจะรังเกียจก็ตาม ทว่าหลงเทียนอวี้กลับแตกต่างออกไป คาดว่าหากมิใช่เพราะเขามีความสัมพันธ ธ์ฉันญาติมิตรกับหลินเมิ้งหยาแล้วล่ะก็ ชายคนนี้คงไม่มีวันยิ้มให้เขาอย่างแน่นอน
บางครั้งเวลาที่หลงเทียนอวี้ปั้นหน้านิ่ง เขาเองก็รู้สึกหวั่นใจไม่น้อย
ครั้นยังอยู่ต้าจิ้นเขาได้ยินมาว่าท่านอ๋องอวี้เป็นคนเย็นชาไม่น่าเข้าใกล้
ดังนั้นเมื่อได้เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของเขาจึงอดที่จะรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
“ไม่มีอะไร”
เสียงของจั่วชิวอวี้ขัดความสุขของเขา สีหน้าของหลงเทียนอวี้จึงกลับมานิ่งเฉยดั่งเดิม
การเปลี่ยนแปลงของสีหน้าที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทำให้จั่วชิวอวี้รู้สึกเลื่อมใสไม่น้อย
“ฮวงซงของเจ้าจะยื้อเวลาให้พวกเราได้นานเพียงใด?”
หลงเทียนอวี้กระซิบถาม
เพื่อป้องกันอันตรายคนของเขาจึงมิอาจออกไปได้ไกลนัก
คนเหล่านั้นเขาเป็นผู้พามาจากต้าจิ้น ดังนั้นจึงดูออกได้ง่ายว่าเป็นคนแปลกหน้า
ฉะนั้นหากเกิดเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากล พวกเขาจึงทำได้เพียงรอการรายงานจากสายลับของจั่วชิวเฉินและจั่วชิวอวี้เท่านั้น
ความรู้สึกที่ต้องพึ่งพาคนอื่นทำให้เขารู้สึกขุ่นมัวเล็กน้อย
“มากสุดสิบวัน เหตุเพราะทุกคนได้รับการประกาศแจ้งจากฮวงซงถึงการกลับมาของเมิ้งหยาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังรู้อีกว่าเมิ้งหยามีความเกี่ยวข้องกับหอป๋ายเฉา ดังนั้นไม่ว่าอ อย่างไรนางก็ต้องเดินทางไปยังเมืองหลวงเก่า ส่วนเมื่อไหร่นั้นยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้”
น้อยครั้งนักที่จั่วชิวอวี้จะมีท่าทางจริงจัง
ตอนนี้พวกเขาแต่งตัวเหมือนคุณชายเศรษฐี เขาสวมชุดสีขาว หลงเทียนอวี้สวมชุดสีดำ คนหนึ่งอบอุ่นงามสง่า อีกคนหล่อเหลาเยือกเย็น ไม่รู้ว่าพวกเขาช่วงชิงหัวใจของหญิงสาวข้างทางไปแ แล้วกี่คน
โชคดีที่เขาถูกท่านอาจารย์พาออกไปท่องเที่ยวทั่วแผ่นดินตั้งแต่ยังเด็ก หลงเทียนอวี้เองก็เป็นคนแปลกหน้า ดังนั้นพวกเขาจึงขี่ม้าบนถนนได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ
“ก็ดี ถึงโรงเตี๊ยมแล้ว เจ้าไปบอกคนทางด้านหลังเถิด”
ออกคำสั่งเสียงเย็น หลงเทียนอวี้ไม่รอให้เขาส่งเสียงคัดค้าน ตัวเองขี่ม้ามาหยุดหน้ารถม้าของหลินเมิ้งหยา
ทิ้งชายที่มีใบหน้าขุ่นมัวไว้ทางด้านหลัง
หลินเมิ้งหยานั่งพิงหน้าต่าง มองดูใบหน้านิ่วคิ้วขมวดของจั่วชิวอวี้ มุมปากหยักยิ้มเยาะเย้ย
ไม่รู้ว่าหมอหลวงคนที่ฉลาดเฉลียวและกล้าหาญคนนั้นหายไปไหนแล้ว
ราวกับว่าเมื่อเดินทางมาถึงเมืองหลินเทียน เขาก็ตกเป็นเป้าให้ทุกคนรังแก
“ท่านรังแกอวี้เปี่ยวเกออีกแล้วใช่หรือไม่? พวกเรากำลังอยู่ในแผ่นดินของเขานะเพคะ อย่างไรก็ควรไว้หน้าเขาสักหน่อย”
หลินเมิ้งหยายกมือซ้ายขึ้นเท้าคางขณะหยักยิ้มพลางเอ่ยตำหนิหลงเทียนอวี้
อีกฝ่ายกลับปรายตามองเขาหนึ่งหน ก่อนจะพยักหน้าลงอย่างว่าง่าย
ความพึงพอใจพลันบังเกิดในหัวใจของหลินเมิ้งหยา
เหมือนกับ….เหมือนความดีใจตอนที่เจอสุนัขเชื่องๆ อย่างไรอย่างนั้น
ในใจลอบยิ้มกว้าง
หากหลงเทียนอวี้รู้ว่านางกำลังเปรียบเขากับสุนัขแล้วล่ะก็ เขาอาจจะเข้ามาขย้ำนางจนตายก็เป็นได้
หลงเทียนอวี้มองใบหน้าหยักยิ้มมีเลศนัยของนาง เขาอดที่จะรู้สึกสงสัยไม่ได้
เขาไม่เข้าใจเลยว่านางกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่กันแน่
ทว่าทันทีที่ได้เห็นแววตาของนาง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหลงเทียนอวี้จึงรู้สึกราวกับตนเองกำลังถูกสัตว์ป่าจ้อง
กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เหตุใดนางจึงน่ากลัวถึงเพียงนี้?
โรงเตี๊ยมชื่อว่าหยวนซาน การตกแต่งจึงหรูหราสมความหมายของชื่อ
ในเมื่อได้ชื่อว่าเป็นคุณชายเศรษฐีเช่นนั้นย่อมต้องทำตัวให้สมฐานะ ถึงอย่างไรค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการเดินทางคราวนี้ก็สามารถกลับไปเบิกกับเฉินเปี่ยวเกอได้อยู่แล้ว
หลินเมิ้งหยาจึงไม่เกรงใจ นางเดินเข้าไปเลือกห้องพักที่หรูหราที่สุดในโรงเตี๊ยม
เปิดหน้าต่างออก หลินเมิ้งหยารีบก้มมองด้านล่าง แม่น้ำไหลเอื่อยสายหนึ่งไหลผ่านโรงเตี๊ยมที่นางพัก
อากาศเย็นชุ่มชื้น สะอาดสะอ้านไร้มลพิษ ดังนั้นนางจึงรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก
เหตุเพราะมีแม่น้ำขวางกั้น ดังนั้นสวนด้านหลังของโรงเตี๊ยมและร้านรวงจึงถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง
เมื่อไม่มีเสียงดังรบกวน ดังนั้นบรรยากาศจึงเงียบสงบ
หลินเมิ้งหยานั่งลงข้างหน้าต่าง ก้มหน้ามองสายน้ำ แหงนหน้ามองท้องฟ้า เมื่อเห็นดวงดาวที่เริ่มทอแสง นางจึงตกอยู่ในอาการเหม่อลอย
“นายหญิง? นายหญิงเจ้าคะ? ถึงเวลาทานอาหารแล้วเจ้าค่ะ”
เสียงหวานใสของป๋ายซ่าวดังขึ้นทางด้านหลัง หลินเมิ้งหยาจึงได้สติกลับมา
นับตั้งแต่วันที่ออกเดินทางมายังที่นี่ นางมีช่วงเวลาเงียบสงบน้อยเหลือเกิน
แม้ตำหนักของนางจะงดงามหรูหรา แต่เมื่อเทียบกับวิวทิวทัศน์ที่นี่แล้วยังงดงามห่างชั้นกว่ามาก
“มีอะไรน่าอร่อยกินหรือ?”
หลินเมิ้งหยาลุกขึ้นเดินมาที่โต๊ะอาหาร มองดูอาหารบนโต๊ะ มีทั้งอาหารที่คุ้นตาและไม่คุ้นตา
“คุณชายอวี้บอกว่าอาหารเหล่านี้ล้วนเป็นอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ ตอนที่พวกเรามาถึง พืชผักในป่าเพิ่งงอก ดังนั้นอาหารจึงค่อนข้างสดใหม่อร่อยเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ”
จั่วชิวอวี้รู้ดีว่าหลินเมิ้งหยาไม่ชอบปลาหรือเนื้อชิ้นใหญ่ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจสั่งอาหารขึ้นชื่อของที่นี่มาให้นาง
มองดูอาหารเต็มโต๊ะ ความสามารถในการจับตะเกียบด้วยมือซ้ายของนางแย่มากจริงๆ แม้จะแอบฝึกอยู่หลายครั้ง แต่ก็ทำอาหารร่วงเต็มโต๊ะจนได้
สุดท้ายนางจึงทำเพียงนั่งอ้าปากและรอให้ทุกคนคีบอาหารให้
จั่วชิวอวี้จัดเวรยามเอาไว้อย่างดี คนของเขาคุ้มกันโรงเตี๊ยมอย่างแน่นหนา
อย่าว่าแต่ศัตรูเลย แม้แต่แมลงวันยังบินเข้ามาไม่ได้
หลังจากกินอาหารเสร็จ พวกเขาทั้งสามนั่งจิบชาพลางวางแผนขั้นต่อไป
“จริงสิ ข้าเห็นเจ้าพาซู่เหมยคนนั้นมาด้วย เจ้าไม่กลัวว่านางจะแอบส่งข่าวออกไปอย่างหรือ?”
อยู่ๆ จั่วชิวอวี้ก็นึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ นางถูกสั่งให้อยู่ในห้องและมีคนคอยจับตามองตลอดเวลา
ระหว่างการเดินทางนางไม่กล้าลงมือทำอะไร แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดหลินเมิ้งหยาจึงพานางมาด้วย
“นางหรือ ย่อมต้องมีประโยชน์ให้ใช้งานอยู่แล้ว ป๋ายซ่าว ตอนที่นางไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เจ้าได้นำชุดเก่าของนางมาหรือไม่?”
หลินเมิ้งหยากระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะวางถ้วยชาลง
ป๋ายซ่าวรีบพยักหน้า ก่อนจะไปหยิบห่อผ้าแล้วเปิดออก
ภายในคือชุดที่ซู่เหมยเคยสวมใส่ชุดนั้น
หลินเมิ้งหยาหัวเราะฮึฮึ ก่อนจะยื่นชุดนั้นให้จั่วชิวอวี้ดู
“เอ้า เจ้าลองดูเองเถิดว่าของสิ่งนี้สามารถใช้ประโยชน์ได้หรือไม่”
จั่วชิวอวี้มองเสื้อผ้าชุดนั้นที่มิได้มีความพิเศษแต่อย่างใด จากนั้นจึงเงยหน้ามองหลินเมิ้งหยาอีกหน
ตกลงนางคิดจะทำอะไร?
“ภายในชุดนี้มีความลับซ่อนอยู่ เจ้าลองลูบแถวมุมด้านข้างนั่นสิว่ามีความแข็งใช่หรือไม่ ของสิ่งนี้ไม่ธรรมดา หากร่วงลงพื้นแล้วล่ะก็ สุนัขที่ถูกฝึกมาอย่างดีจะสามารถตามรอยพว วกเราจากการได้ยินได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้นของเหล่านี้ยังไร้กลิ่น ต่อให้ฝนตกก็ยังมีร่องรอยหลงเหลือเอาไว้”
หลินเมิ้งหยาพูดจบ จั่วชิวอวี้และป๋ายซ่าวต่างเบิกตาโต
“อะไรนะ? ของสิ่งนี้สามารถทำให้สุนัขได้ยินได้? เช่นนั้นร่องรอยของพวกเรามิถูกพบแล้วหรือ?”
ป๋ายซ่าวร้องออกมาด้วยอาการตกตะลึง เหตุใดของสิ่งนี้จึงมีคุณประโยชน์มากมายขนาดนี้
“พบก็พบเถิด ถึงอย่างไรสักวันหนึ่งก็ต้องถูกค้นพบอยู่ดี ข้าไม่กลัวเรื่องนี้หรอก อันที่จริงต้องขอบคุณนางด้วยซ้ำ หากนางไม่ส่งมอบของมีประโยชน์เช่นนี้มา พวกเราอาจจะไม่สามารถไ ไปถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยได้ อวี้เปี่ยวเกอ คนของเจ้าที่ตามหลังเรามาพบเบาะแสอะไรหรือไม่?”
จั่วชิวอวี้ครุ่นคิด ก่อนจะส่ายหน้า
พวกเขาระมัดระวังเป็นอย่างดี ดังนั้นหากมีบาะแสคนของพวกเขาและหลงเทียยนอวี้ย่อมต้องรู้สึกตัว
น่าเสียดาย เรดาร์ของนางว่องไวกว่าประสาทสัมผัสการได้กลิ่นของพวกสุนัขเสียอีก
ไม่ว่ายาพิษหรือสิ่งใดก็ล้วนมิอาจหนีรอดไปจากสายตาของนางได้
“ดี ข้าเข้าใจแล้ว”
จั่วชิวอวี้เข้าใจความหมายของหลินเมิ้งหยาแล้ว เขาเองก็กำลังกังวลว่าฮวงซงจะปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ได้ไม่นาน
ในเมื่อมีของชิ้นนี้แล้ว เช่นนั้นหากเขาส่งกองกำลังส่วนหนึ่งไปอีกทาง อย่างน้องเขาก็สามารถสร้างกับดักให้พวกคนที่ติดตามซู่เหมยมาได้
เก็บของสิ่งนั้นด้วยความระมัดระวัง จั่วชิวอวี้รีบออกไปจัดการทันที
เขาถนัดเรื่องวางแผนลวงหลอกศัตรูเป็นที่สุด
ภายในห้องจึงเหลือเพียงหลินเมิ้งหยา หลงเทียนอวี้และป๋ายซ่าว
มองดูเจ้านายทั้งสอง ป๋ายซ่าวก้มหน้าแย้มยิ้ม ก่อนจะแอบออกไปจากห้องพร้อมทั้งปิดประตูลง
“พระองค์มานี่หน่อยสิเพคะ หม่อมฉันมีเรื่องอยากถาม”
เสียงอ่อนหวานนุ่มนวลระคนออดอ้อนทำให้สายตาที่จับจ้องหลินเมิ้งหยาตลอดเวลาเร่าร้อนขึ้นหลายเท่าตัว