ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 16 บทที่ 464 เรื่องในเมืองหลินเทียน
“มีเรื่องอันใด?”
น้ำเสียงของหลงเทียนอวี้อ่อนโยนกว่าเดิมหลายส่วน
เหตุเพราะกลัวว่านางจะตกใจ ดังนั้นหลงเทียนอวี้จึงไม่รู้ตัวเลยว่าภาพลักษณ์ของตนเองในหัวใจของหลินเมิ้งหยาเปลี่ยนไปมาก
นิ้วมือสอดประสานกัน เมื่ออยู่ต่อหน้าหลงเทียนอวี้ ความกล้าของหลินเมิ้งหยามีมากกว่าเดิม
“มาเถิดเพคะ เล่าให้หม่อมฉันฟังหน่อยเถิดว่าพระองค์ทำอะไรกับชายคนนั้น?”
หลงเทียนอวี้หยุดยืนตรงหน้าหลินเมิ้งหยา นางจึงกระโดดเข้าหาเขาในทันที
รีบรับร่างบางเข้าสู่อ้อมกอด ท่าทางเสมือนลิงก็มิปาน เขาปล่อยให้นางโอบรอบคอของตนอย่างอิสระ
“ชายคนไหน?”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นข้างใบหูของหลินเมิ้งหยา
หลินเมิ้งหยารู้สึกคันยุบยิบ เรี่ยวแรงเหมือนจะเหือดหายออกจากร่าง
นางชอบเสียงทุ้มต่ำแผ่วเบาเหมือนคนกำลังดีดพิณของเขายิ่งนัก
แต่น่าเสียดายที่เขามิเคยเอื้อนเอ่ยถ้อยคำหวานซึ้งเลยแม้แต่หนเดียว
มิเช่นนั้นนางคงถูกแรงพิฆาตจากคำพูดของเขาฟาดฟันจนตายไปแล้ว
“ก็คนที่ยืนเฝ้าหน้าห้องที่ขังหงอวี้เอาไว้อย่างไรเล่าเพคะ พระองค์ลืมไปแล้วหรือ?”
หลินเมิ้งหยาแกล้งหยอกเย้าเขา นางมิยอมผละตัวออกจากวงแขนของเขาง่ายๆ ใบหน้านวลแนบเข้าที่แผงอกของเขา ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม
หลงเทียนอวี้ชอบท่าทางซุกซนของนางเช่นนี้ยิ่งนัก ถึงอย่างไรตัวของนางก็ไม่หนักเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงยินยอมอุ้มนางอยู่อย่างนี้
“เขาเป็นเพียงลูกน้องตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ดังนั้นจึงรู้อะไรไม่มาก?”
หลงเทียนอวี้ไม่มีวันยอมปล่อยโอกาสอันดีเช่นนี้ไปง่ายๆ
ชายคนนั้นได้เผชิญหน้ากับชะตาชีวิตที่มืดมนที่สุดในชีวิตของเขาไปแล้ว
ยังไม่ทันที่หลงเทียนอวี้จะลงมือ ชายคนนั้นก็คายสิ่งที่ตัวเองรู้ออกมาจนหมด
“หม่อมฉันเดาเอาไว้แล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ แต่เขาไม่พูดสิ่งใดที่เป็นประโยชน์เลยหรือ? พระองค์แน่ใจนะเพคะ?”
หลินเมิ้งหยายังคงไม่เชื่อ ดวงตาเบิกกว้างจ้องหลงเทียนอวี้เขม็ง แววตาเปี่ยมไปด้วยความฉงนสงสัย ดูเหมือนเขาจะปิดบังความลับกับหลินเมิ้งหยาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
“เขามิได้พูดความลับอะไรออกมา แต่มีเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเจ้า”
“เกี่ยวกับหม่อมฉัน? เรื่องอะไรหรือเพคะ?”
หลงเทียนอวี้วางร่างของนางลงบนเก้าอี้อย่างเบามือ ก่อนจะยืดตัวแล้วเอ่ย
“คนปริศนาผู้นั้นบอกกับทุกคนเอาไว้ว่าพวกเขารู้ความลับของเจ้าหมดแล้ว ซ้ำยังบอกอีกว่าเมื่อถึงเวลาจะมีคนเข้าไปแทนที่ตำแหน่งของเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังมีหลักฐานที่เป็นสิ่งของบ่งบอกอีกด้วยว่าเจ้ามิใช่อันเล่อจวิ้นจู่”
หลักฐานที่เป็นสิ่งของ? หลินเมิ้งหยาเดาเอาไว้อยู่แล้ว
ที่ต้าจิ้นมีคนล่วงรู้ตัวตนของท่านแม่น้อยมาก ยิ่งไปกว่านั้นนางเชื่อว่าคนเหล่านั้นล้วนเป็นคนสนิทของท่านพ่อและท่านแม่ มิเช่นนั้นตอนที่ฮองเฮาพระราชทานการสมรสให้กับท่านพ่ออีกครั้งคงไม่หยิบยกชาติกำเนิดของท่านแม่มากล่าวอ้าง
ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่านางคลานออกมาจากท้องของท่านแม่ ดังนั้นอาจจะเป็นหลักฐานที่เป็นข้าวของของท่านแม่ก็เป็นได้
“เจ้าสงสัยใครหรือไม่? หากมีเบาะแส พวกเราจะได้เตรียมป้องกันเอาไว้ก่อน”
หลงเทียนอวี้มองนางอย่างสงสัย ก่อนจะเอ่ยแนะนำ
ลองค้นหาความทรงจำสมัยก่อน หลินเมิ้งหยากลับมองไม่เห็นเบาะแสใดๆ ดังนั้นจึงส่ายหน้า
“ไม่มีเพคะ ท่านเองก็รู้ว่าแต่ก่อนหม่อมฉันมิได้ดูแลบ้าน เกรงว่าคนที่ล่วงรู้ตัวตนของท่านแม่คงมีเพียงท่านพ่อคนเดียวเท่านั้น เรื่องราวเมื่อสิบกว่าปีก่อนคงมีคนรู้ไม่มาก แม่เลี้ยงของหม่อมฉันเองก็ไล่คนเก่าคนแก่ออกไปมากมาย คนที่มียังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ก็อายุสี่สิบห้าสิบปีแล้ว ดังนั้นหม่อมฉันคิดว่าหากพวกเขาคิดจะหาพยานที่เป็นคน เช่นนั้นคงเริ่มจากที่นี่”
นี่เป็นเรื่องที่รับมือได้ยาก แม้แต่จั่วชิวเฉินและจั่วชิวอวี้เองก็ได้เจอกับท่านแม่สมัยที่พวกเขายังเด็ก
น่าปวดหัวเหลือเกิน
มองท่าทางทุกข์ระทมของหลินเมิ้งหยา หลงเทียนอวี้มิอาจทำใจได้
มือหนายกขึ้นลูบศีรษะของนางเพื่อปลอบโยน มุมปากหยักยกขึ้น
โอกาสที่จะได้อยู่กับนางเช่นนี้มีไม่มาก ฉะนั้นเขาเลือกที่จะยังไม่บอกสิ่งที่เขาเตรียมเอาไว้ก่อนแล้วให้นางทราบ
การได้เห็นท่าทางปวดหัวว้าวุ่นของนางเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกสนุกยิ่งนัก
หลังจากพักผ่อนหนึ่งคืนเต็ม วันถัดมาได้เห็นใบหน้าเปี่ยมสุขของจั่วชิวอวี้แต่เช้า เห็นได้ชัดว่าแผนการของเขาสำเร็จไปได้ด้วยดี
“เหตุใดจึงยิ้มน่าขนลุกเช่นนั้นเล่า เมื่อคืนมีหญิงสาวมอบกายถวายตัวให้เจ้าหรือ?”
หลินเมิ้งหยาอดที่จะเอ่ยแซวไม่ได้ ชายคนนี้กลับก้มหน้าเข้าหาหน้าต่างรถม้าของนางพลางกระซิบเสียงเบา
“เมื่อวานข้าเห็นคนพวกนั้นกับตาตัวเอง พวกเขามิได้เข้าเมืองมาแต่กลับตามไปอีกทาง คราวนี้กว่าจะกลับมาได้ก็คงอีกสามถึงห้าเดือนนู่น”
เรื่องความเจ้าเล่ห์สองพี่น้องสกุลชิวมิเป็นสองรองใคร
เขาจะต้องสั่งให้ลูกน้องมุ่งหน้าไปอีกทางอย่างแน่นอน เมื่อรู้ว่ามีคนติดตาม เช่นนั้นคงต้องสลัดทิ้งระหว่างทาง
ตอนนี้ซู่เหมยถูกคนของพวกเขาควบคุมอย่างเข้มงวด หลินเมิ้งหยาออกคำสั่งให้ผอจื่อร่างใหญ่สองสามคนจับตามองนางเอาไว้มิให้คลาดสายตา
ไม่ว่าไปห้องน้ำหรือที่ใดก็ต้องติดตามไปด้วย คาดว่าไม่เกินสามวันนางจะต้องทุกข์ระทมขมขื่นแต่พูดอะไรไม่ออกอย่างแน่นอน
นี่สินะที่เรียกว่าสมน้ำหน้า
“ออกเดินทางเถิด”
หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ภายในรถม้า ตอนนี้ซู่เหมยไม่เหลือพิษสงใดๆ อีกแล้ว
คาดว่าหลังจากนี้สิ่งที่ต้องรับมือคงทยอยตามมามิขาดสาย
__________
นางอยากรู้เหลือเกินว่าครอบครัวของท่านแม่จะส่งของขวัญเช่นไรมาต้อนรับหลานสาวคนนี้
เดินทางออกจากเมือง พวกเขาเดินทางอย่างต่อเนื่องอีกห้าวันจนมองเห็นเมืองหลวงว่างเทียนในระยะไกล
ทุกสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินในเมืองหลินเทียนทำให้หลินเมิ้งหยามีความรู้ใหม่ๆ
ตอนนี้นางพอเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดเฉินเปี่ยวเกอจึงอยากขึ้นครองบัลลังก์แห่งเมืองหลินเทียน
วัฒนธรรมของคนที่นี่ล้วนเปิดกว้างและมีความมั่นคงกว่าต้าจิ้นมาก
ใช้ชีวิตอยู่กับสายน้ำ ขุนนางมิได้มีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตเหมือนอย่างต้าจิ้น
อวี้เปี่ยวเกอเล่าว่าครอบครัวที่มีเรือล้วนต้องเสียภาษีประมง แต่หากรายได้ไม่ดีและทางการมิได้เข้มงวด เช่นนั้นพวกเขาสามารถออกเรือเพื่อหลบเลี่ยงภาษีได้
แม้ทางการจะออกตามจับ แต่ก็ไม่พบสิ่งใด หากพายเรือออกตามล่า เช่นนั้นจะต้องใช้เรือสักกี่ลำกว่าจะตามจับคนเหล่านั้นได้?
ยิ่งไปกว่านั้นเรือทุกลำล้วนมีการขึ้นทะเบียนเอาไว้ ดังนั้นจึงมิอาจทำลายได้ง่ายๆ
คราวนี้พวกหน่วยเก็บภาษีการประมงจึงกลายเป็นเด็กไปทันที เหตุเพราะพวกเขาต้องร้องขอวิงวอนเหล่าชาวประมงมิให้พายเรือหนีภาษี
แม้สิ่งนี้จะเป็นข้อเสีย แต่มันกลับเป็นข้อดีสำหรับจั่วชิวเฉิน
เหตุเพราะเขาเพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ได้ไม่นาน ดังนั้นจึงยังมิอาจควบคุมเมืองหลินเทียนได้ตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้
ตลอดห้าหกวันมานี้นางพบว่าเมืองที่อยู่ในการดูแลของจั่วชิวเฉินจริงๆ มีเพียงหกในสิบส่วนเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นจั่วชิวเฉินยังควบคุมเมืองทางฝั่งเมืองหลวงเก่าได้เพียงน้อยนิด
อวี้เปี่ยวเกอเล่าว่าขุนนางส่วนใหญ่ยังคงภักดีต่อขุนนางเก่าแก่อยู่
นั่นเท่ากับว่าขุนนางในราชสำนักยังคงมีความเกี่ยวข้องกับขุนนางเก่าในเมืองหลวงเก่าแห่งนั้น
ตอนนี้นางเพิ่งจะพบว่าเพราะเหตุใดเฉินเปี่ยวเกอจึงอยากควบคุมอำนาจในหอป๋ายเฉานัก
เหตุเพราะสักวันหนึ่งการแบ่งแยกฝักฝ่ายเช่นนี้จะต้องนำมาซึ่งปัญหาใหญ่
“ด้านหน้าคือเมืองอวี้หลง ทุกคนระวังตัวด้วย ผู้ว่าการแห่งเมืองอวี้หลงเป็นปรปักษ์กับฮวงซง หากมิใช่เพราะฮวงซงเป็นคนรอบคอบ เช่นนั้นคงพ่ายแพ้ให้แก่ชายคนนั้นไปแล้ว”
จั่วชิวอวี้ที่นั่งอยู่บนม้ามีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ดวงตาเปี่ยมไปด้วยโทสะ ทว่าใบหน้ากลับไม่เผยสิ่งใด
ความสงสัยเพิ่มขึ้นในใจของหลงเทียนอวี้ คนที่มีอำนาจในการรับช่วงต่อบัลลังก์ล้วนแล้วแต่เป็นองค์ชายที่สืบสายเลือดจากฮ่องเต้องค์ก่อน
แต่หากอ้างอิงจากกฎระเบียบของราชสำนัก นอกจากองค์ชายที่ได้รับพระราชทานอาณาเขตในการปกครองแล้ว เชื้อพระวงศ์ย่อมไม่สามารถเข้ารับราชการเป็นขุนนางได้
เช่นนั้นผู้ว่าการแห่งเมืองอวี้หลงมิได้ทำผิดกฎหรอกหรือ?
ทว่าหลงเทียนอวี้เข้าใจได้ในทันทีว่าผู้ว่าการคนนี้จะต้องทำเพราะต้องการตบหน้าจั่วชิวเฉินแต่เพียงเท่านั้น
“ไม่มีทางเลือก เข้าเมืองกันเถิด”
ผู้ชนะเป็นเจ้า ผู้แพ้เป็นโจร คาดว่าจั่วชิวเฉินจะต้องรวมเมืองหลินเทียนเป็นหนึ่งได้ไม่ช้าก็เร็ว
ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ต้องการสร้างความอับอายให้แก่จั่วชิวเฉินด้วยวิธีตื้นเขินเช่นนี้ไม่มีค่าพอให้หวั่นเกรง
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หากต้องการไปถึงเมืองหลวงเก่าให้เร็วที่สุด เช่นนั้นพวกเขาจำต้องผ่านเมืองอวี้หลงไป
เรื่องการแข่งขันในหอป๋ายเฉาเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นเหล่าชนชั้นสูงจึงต้องผ่านเมืองนี้ไป
เพียงเดินทางมาถึงด่านแรกของเมืองอวี้หลง พวกเขาก็ได้เห็นเหล่าชนชั้นสูงสวมใส่ชุดหรูหรามากมายเดินทางเข้าออกประตูเมือง
หลงเทียนอวี้และจั่วชิวอวี้สบตากัน ก่อนจะให้คนของตนเองชะลอฝีเท้าลงเพื่อเข้าแถวอยู่ทางด้านหลังและเดินผ่านประตูเมืองพร้อมกัน
ไม่นานก็ถึงคราวของขบวนหลงเทียนอวี้และจั่วชิ้วอวี้
ทหารคุ้มกันเมืองเงยหน้ามองรถม้าและคุณชายตรงหน้า ริมฝีปากฉีกยิ้มกว้างด้วยท่าทางเลื่อมใส
“คารวะใต้เท้า รบกวนยื่นป้ายเชิญด้วยขอรับ ข้าน้อยจะได้บันทึกเอาไว้และไม่เสียเวลาเดินทางของใต้เท้า”
“ป้ายเชิญ? ป้ายเชิญอะไร?”
เขามิเคยได้ยินจั่วชิวอวี้พูดถึงเรื่องนี้มาก่อน
ทหารใบหน้าอวบอ้วนรู้ดีว่าเหล่าคนใหญ่คนโตเดินทางผ่านเส้นทางนี้ค่อนข้างมาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อยากถูกลงโทษ
“ใต้เท้าล้อเล่นแล้ว มันคือป้ายเชิญที่ผู้ว่าการมอบให้จวนของพวกใต้เท้าอย่างไรเล่า เมื่อครึ่งปีก่อนท่านผู้ว่าการส่งมอบป้ายเชิญเข้าเมืองไปให้จวนของพวกท่านแล้ว ใต้เท้าลืมไปแล้วหรือขอรับ? เช่นนั้นคงลำบากแล้ว เบื้องบนสั่งเอาไว้ว่าหากไม่มีป้ายเชิญ เช่นนั้นห้ามปล่อยผ่านเข้าเมืองเป็นอันขาดขอรับ”