ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 16 บทที่ 465 เข้าเมืองได้ยากยิ่ง
“เข้าเมืองไม่ได้ เพราะเหตุใด?”
สายตาเย็นชาดุจน้ำแข็งของหลงเทียนอวี้จ้องอีกฝ่ายเขม็ง องครักษ์เฝ้าประตูเหล่านั้นตัวสั่นเทิ้ม
มองหลงเทียนอวี้ด้วยสีหน้าลำบากใจ แต่ถึงกระนั้นก็ยังห้ามม้าของเขาเอาไว้
“อาจเพราะเวลาผ่านมานานมากแล้ว ดังนั้นใต้เท้าจึงลืมไปว่าเมืองนี้มีท่านอ๋องชิ่งเป็นเจ้าเมือง ปกติแล้วท่านสามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ แต่หลายวันมานี้เบื้องบนสั่งเอาไว้ว่า จะต้องมีป้ายเชิญก่อนจึงจะสามารถเข้าไปได้”
หลงเทียนอวี้สบถในลำคอ หางตาเหลือบไปเห็นป้ายสีทองที่ขบวนข้างๆ หยิบออกมาให้ตรวจ
บนป้ายอันนั้นมีภาพวาดลายมังกรและตัวอักษรคำว่าชิ่ง ทว่ารูปลักษณ์ไม่เหมือนสิ่งของที่คนในราชวงศ์ใช้
“หลบไป พวกเราเป็นเพียงนักท่องเที่ยวแต่เพียงเท่านั้น พวกเราหาใช่ขุนนางแต่อย่างใด”
หลงเทียนอวี้เอ่ยเสียงเข้ม แต่คิดไม่ถึงเลยว่าทหารเหล่านั้นไม่ยอมหลบ ซ้ำยังโบกมือให้สัญญาณ
ครู่ต่อมา ทหารยืนเรียงกันเป็นแถวพร้อมทั้งถือดาบเงินยาวคมกริบเอาไว้ในมือ พวกเขาจ้องขบวนรถม้าของหลงเทียนอวี้เขม็ง
“ใต้เท้า ข้าน้อยไม่คิดอยากทำให้ท่านขุ่นเคือง แต่นี่เป็นคำสั่ง หากท่านยังดึงดันที่จะเข้าไปในเมือง เช่นนั้นได้โปรดอย่าโทษพวกข้าน้อยเลย”
ดาบยาวถูกยกขึ้นสูงพร้อมรบ
แม้คนเหล่านั้นจะไม่กล้าพุ่งตัวเข้ามา แต่แสงประกายของดาบยังคงสะท้อนแวววาว
หลงเทียนอวี้กวาดสายตามองพวกเขา คนเหล่านั้นตกตะลึงกับสายตาเย็นชาดุจน้ำแข็งของชายตรงหน้า
แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ยอมถอยหนี
หากเป็นแต่ก่อนแม้หลงเทียนอวี้จะบุกตะลุยเข้าไปก็คงไม่มีใครขวางทางเขาได้
สายตาเหลือบไปมองคนที่กำลังจะเดินทางเข้าเมือง ด้านหลังป้ายสีทองยังมีตัวอักษรตัวเล็กๆ ถูกสลักเอาไว้หลายตัว
คนที่บันทึกข้อมูลรับป้ายมาแล้วมองตัวอักษรเหล่านั้นเพื่อตรวจสอบ
บางทีอาจเป็นข้อมูลของเจ้าของป้ายกระมัง
อ๋องชิ่งผู้นี้ละเอียดรอบคอบยิ่งนัก แต่หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้พวกเขาจะได้รับป้ายเชิญมาแล้ว แต่สุดท้ายตัวตนก็คงถูกเปิดเผยอยู่ดี
ขี่ม้ากลับไป เมื่อเห็นว่าบุรุษผู้มีใบหน้าเย็นชายอมถอนตัวกลับไปแล้ว เหล่าทหารจึงรู้สึกปีติยินดีขึ้นมา
เมื่อครู่พวกเขารู้สึกว่าแผ่นหลังของตนเองสั่นสะท้าน
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขารู้ดีว่าถ้าหากเกิดการต่อสู้ขึ้นมา พวกเขาไม่มีทางเอาชนะบุรุษผู้นั้นได้อย่างแน่นอน
ขบวนรถม้าหยุดลงขณะที่หลงเทียนอวี้เข้าไปสอบถาม
เมื่อเห็นเขาขี่ม้ากลับมา พวกเขาจึงต้องออกจากแถว เพื่อมิให้ขวางทางคนเข้าออกเมือง
หลินเมิ้งหยาโผล่หน้าออกจากรถม้าพลางมองเขาด้วยแววตาสงสัย แม้นางจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เมื่อครู่จั่วชิวอวี้เข้ามากระซิบบอกนางว่าหลงเทียนอวี้เข้าไปโต้เถียงกั บทหารเพราะเรื่องการเข้าเมือง
“เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อเห็นหลงเทียนอวี้เดินมาหาตนเอง หลินเมิ้งหยาจึงเอ่ยถาม
จนกระทั่งอีกฝ่ายพูดจบ หัวคิ้วของหลินเมิ้งหยาจึงขมวดมุ่น
“อวี้เปี่ยวเกอ ท่านลองส่งคนไปสอบถามดูให้ทีว่าคนที่เฉินเปี่ยวเกอส่งมาไม่มีใครมีป้ายเชิญเลยหรือ?”
จั่วชิวอวี้รีบออกไปทำตามคำสั่ง ไม่นานเขาก็กลับมารายงานว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่หลินเมิ้งหยาคาดเดา
“คาดว่าเรื่องป้ายเชิญคงเป็นเพียงข้ออ้างในการยับยั้งการเดินทางของพวกเรา พวกเขาตั้งกฏเรื่องป้ายเชิญเมื่อครึ่งปีก่อน ดูเหมือนอ๋องชิ่งจะวางแผนเอาไว้นานแล้ว”
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังปิดบังเรื่องนี้มิให้เฉินเปี่ยวเกอรู้เรื่อง
บังอาจนัก! อ๋องชิ่งผู้นี้ไม่ได้เห็นฮ่องเต้อยู่ในสายตาเลยอย่างนั้นหรือ!
“อ๋องชิ่งช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก แต่ตอนนี้พวกเราต้องคิดหาวิธีเข้าเมืองให้ได้ มิเช่นนั้นพวกเราคงต้องเปิดเผยตัวตน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาจะกล้าสังหารข้า”
จั่วชิวอวี้ตะคอกเสียงดัง ดวงตาฉายแววไม่พึงพอใจ
ทว่าหลงเทียนอวี้พร้อมทั้งหลินเมิ้งหยาร้องห้ามเขาเอาไว้
“ไม่ได้ เมื่อครู่ข้าลองสำรวจดูแล้วพบว่าพวกทหารมีจำนวนไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาเป็นทหารของอ๋องชิ่ง หากพวกเราทำอะไรบุ่มบ่ามขึ้นมา เกรงว่าจะส่งผลถึงกำลังทหารของพี่ชาย ยเจ้าได้”
แม้หลงเทียนอวี้จะหยิ่งทะนงแต่ก็มิใช่คนอวดดี
เขาเข้าใจสถานการณ์ในเวลานี้ดีกว่าใครทั้งหมด
“เช่นนั้นพวกเจ้าคิดว่าพวกเราควรทำเช่นไรจึงจะสามารถเข้าไปได้? ในเมื่อเขาตั้งใจรั้งคนของพี่ชายข้าเอาไว้ เกรงว่าเมืองอื่นเองก็คงมิต่างกัน หรือพวกเราจะต้องอ้อมไปกระนั้น หรือ?”
จั่วชิวอวี้ยังคงมีโทสะ
“ตึง” เขาปล่อยหมัดใส่รถม้าครั้งหนึ่งจนรถม้าสั่นไหว
หลินเมิ้งหยามองท่าทางขุ่นข้องหมองใจของเขา แต่ตอนนี้นางเองก็คิดหาวิธีไม่ออกเช่นเดียวกัน
นางไม่รู้สึกตัวเลยว่าขณะที่พวกตนเองกำลังปรึกษาหาทางออก ใบหน้างดงามของนางและป๋ายซ่าวดึงดูดสายตาของคนจำนวนไม่น้อย
ออกห่างจากตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่ไม่ไกล ที่นั่นมีโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง
ชายร่างกำยำกลุ่มหนึ่งกำลังจิบชาพร้อมทั้งหยักยิ้ม ในกลุ่มของพวกเขามีชายสวมชุดสีแดงคนหนึ่งนั่งอยู่
ชายคนนั้นอายุราวยี่สิบสองยี่สิบสามปี ใบหน้าขาวนวลอมชมพู ท่าทางสง่าผ่าเผย ทว่าสายตากลับจับจ้องเรือนร่างของหญิงสาวทั้งสองคนนิ่ง
สายตาโลมเลียกวาดขึ้นลงบนเรือนร่างของหญิงสาวคนอื่นๆ บางครั้งก็หันไปหัวร่อต่อกระซิกกับลูกน้องของตนเองและพ่นคำหยาบคายบาดหู
ครอบครัวของหญิงสาวเหล่านั้นบ้างก็เข้าไปปกป้องคนของตัวเอง บ้างก็รีบพาเดินหนีจากไป แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปหาเรื่องพวกเขาเลยแม้แต่คนเดียว
ทว่าตอนนี้สายตาของเขามิอาจละไปจากสตรีสองนางที่มีใบหน้างดงามเพริศพริ้งตรงนั้นได้
“คุณชาย ท่านมองอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ?”
เมื่อเห็นสายตาของเจ้านาย ลูกน้องก็รีบเข้ามาประจบสอพลอทันที
มองตามสายตาของเจ้านายตัวเองไป ก่อนจะได้เห็นใบหน้าของแม่นางคนงามทั้งสอง
พวกเขาเข้าใจความคิดของเจ้านายตนเองในทันที
“คิก คิก ช่างงดงามโดดเด่นยิ่งนัก คุณชาย ผู้หญิงงดงามเช่นนี้เหมาะที่จะอยู่ในห้องนอนของท่าน ท่านต้องการ...”
ชายเหล่านั้นส่งเสียงหัวเราะในลำคอเพราะเข้าใจความหมายของชายคนนั้นดี
ปรายตามองทางรถม้าของหญิงสาวทั้งสอง พวกเขาเดินตรงไปหาพวกนาง
ขณะที่หลินเมิ้งหยากำลังคิดหาวิธีการเข้าเมือง เสียงยียวนไร้มารยาทพลันดังขึ้น
“โอ้ ไม่ทราบว่าพวกแม่นางมาจากสกุลใดกระนั้นหรือ เหตุใดจึงงดงามยิ่งนัก”
สายตาของทุกคนพลันหันไปมองกลุ่มอันธพาลสี่ห้าคนที่เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าพวกตน
สีหน้าหลงเทียนอวี้ไม่เป็นมิตร ขณะที่เขาคิดจะตะคอกกลับ หลินเมิ้งหยารีบกระตุกแขนเสื้อเขาเอาไว้พร้อมทั้งส่ายหน้า
“พวกเจ้าเป็นใคร?”
จั่วชิวอวี้ร้องถามอย่างอารมณ์ไม่ดี ทว่าทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของชายทางด้านหลัง โทสะพลันพวยพุ่งขึ้นมา
“พวกเราเป็นใคร? หากบอกไปเกรงว่าจะทำให้พวกเจ้าตกใจหวาดผวาเอาได้! คุณชายของพวกเราคือคุณชายใหญ่แห่งจวนอ๋องชิ่ง วันนี้คุณชายของพวกข้าอารมณ์ดีจึงอยากเชิญแม่นางทั้งสองไปดื่ม มชา”
คนเหล่านั้นปรายตามองทางหลินเมิ้งหยาและป๋ายซ่าว
พวกนางมีความงามโดดเด่นยิ่งนัก เกรงว่าหญิงสาวทั้งเมืองอวี้หลงคงมิอาจเทียบเคียงพวกนางทั้งสองได้
พวกบ้ากามอีกแล้วหรือ? หลินเมิ้งหยาไม่อยากสนใจพวกเขา
แต่อีกฝ่ายบอกว่าเขาเป็นคุณชายใหญ่ของอ๋องชิ่ง
หัวใจของหลินเมิ้งหยาเต้นระรัว นางมีวิธีเข้าเมืองแล้ว!
หลงเทียนอวี้และจั่วชิวอวี้จ้องมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา ก็แค่อันธพาลข้างถนนเท่านั้น
ทว่ายังไม่ทันที่พวกเขาจะลงมือ หลินเมิ้งหยารีบฉีกยิ้มกว้างแล้วเอ่ยตอบ
“ก็แค่ดื่มชาเท่านั้น ข้าบังเอิญกระหายน้ำพอดี ป๋ายซ่าว ประคองข้าไปดื่มชากับคุณชายเถิด”
หลงเทียนอวี้และจั่วชิวอวี้ชะงัก พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าอยู่ๆ หลินเมิ้งหยาจะทำเช่นนี้
ทั้งสองส่งสายตาเปี่ยมโทสะระคนฉงนสงสัยไปทางหลินเมิ้งหยา ทว่าอีกฝ่ายกลับส่งสายตาห้ามปรามพวกเขาทั้งสอง
“เขาเป็นถึงคุณชายใหญ่ พวกเจ้ากล้าทำให้เขาขุ่นข้องหมองใจอย่างนั้นหรือ?”
ตื่นตะลึงกับท่าทางเย้ายวนชวนลุ่มหลงของหลินเมิ้งหยา ชายทั้งสองชะงักงันอยู่กับที่ หลินเมิ้งหยาและป๋ายซ่าวกรีดกรายเดินเข้าไปหาคุณชายคนนั้น
สายตาหลงเทียนอวี้เปี่ยมไปด้วยความอาฆาต เขาอยากจะพุ่งตัวเข้าไปสังหารคนเหล่านั้นทันที แต่จั่วชิวอวี้กลับห้ามเขาเอาไว้ได้ทัน
หันหน้ามา สายตาอาฆาตของเขาทำให้จั่วชิวอวี้ตื่นตระหนกไปชั่วครู่เพราะคิดว่าหลงเทียนอวี้จะพุ่งตัวเข้าหาตนเอง
แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงพยายามเอ่ยโน้มน้าวเขา
“เจ้ามองไม่ออกหรือว่าเมิ้งหยากำลังทำอะไร? นางคิดจะหลอกใช้คุณชายใหญ่คนนั้นเพื่อเดินทางเข้าเมือง ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สบายใจ แต่ข้ารับปากว่าหากมีโอกาสแก้แค้น ข้าจะช่วยเจ้าเอ อง แต่ตอนนี้ใจเย็นลงก่อนเถิด”
จั่วชิวอวี้เอ่ยโน้มน้าวระคนปลอบโยน แน่นอนว่ายังมีความรู้สึกสนุกบนความทุกข์ของผู้อื่นปะปนอยู่ด้วย
หลงเทียนอวี้ถลึงตามองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเก็บสายตาอาฆาตของตัวเองกลับ
ทว่าดวงตาสีดำคมกริบยังคงจับจ้องมองทางคุณชายหื่นกามผู้นั้นมิวางตา
อยากจะหักแข้งหักขาออกเป็นท่อนๆ เพื่อระบายโทสะเหลือเกิน
คุณชายใหญ่ของอ๋องชิ่งคนนั้นไม่รู้เลยว่าตนเองสร้างความบาดหมางครั้งใหญ่เข้าให้แล้ว
ความสนใจของเขาทั้งหมดหยุดอยู่ที่แม่นางทั้งสอง
คุณชายคนนี้มีนามว่าจั่วหยวนอี นอกจากจะเป็นคนไร้ความสามารถแล้ว ซ้ำยังหมกมุ่นในกาม
เขามีภรรยาในครอบครองทั้งหมดสิบคนทั้งที่อายุเพียงยี่สิบเจ็ดปีเท่านั้น
ยังไม่นับรวมผู้หญิงที่เขาเล่นจนเบื่อแล้วเขี่ยทิ้งอีกมากมาย
เหตุเพราะมีบารมีของบิดาคอยคุ้มกะลาหัว ดังนั้นกฎหมายของเมืองอวี้หลงจึงมิอาจทำอะไรเขาได้ แม้แต่บิดาบังเกิดเกล้ายังเอือมระอา แต่เพราะยศศักดิ์ของผู้เป็นมารดา ดังนั้นจึงม มิอาจด่าว่าตบตีเขาได้
เหตุเพราะความโกรธจึงส่งเขามาเฝ้าระวังที่หน้าประตูเมือง
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจั่วหยวนอีที่กำลังรู้สึกเบื่อจะพบหญิงงามที่หน้าประตูเมือง
ยิ่งไปกว่านั้นยังพบหญิงงามถึงสองคน ความปีติยินดีจึงท่วมท้นไปทั้งใจ
เมื่อลองมองใบหน้าของพวกนางให้ชัดเจนแล้ว คนหนึ่งงดงามเย้ายวนชวนหลงใหล ส่วนอีกคนมีความงามโดดเด่นจะมิอาจละสายตา ความร้อนรุ่มในหัวใจแผ่ซ่านไปทั่วทั้งกาย
เขาลืมกระทั่งคำที่บิดาของตนเองสั่งเอาไว้