ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 16 บทที่ 467 คดในข้อ งอในกระดูก
หากนางสามารถจัดการคุณชายผู้นี้ได้ คาดว่าคงขจัดความขุ่นข้องหมองใจของราษฎรตำบลอวี้ได้ไม่น้อย
รอยยิ้มของนางจึงหวานขึ้นกว่าเดิม ราวกับรอยยิ้มของโครงกระดูกจากนรกก็มิปาน
“แม่นางมีความงามโดดเด่นกว่าหญิงใดในใต้หล้า ไม่รู้ว่าแม่นางชื่อแซ่อะไรหรือ?”
ระหว่างทาง เจ้าคนยิ่งแสร้งทำตัวเป็นคนดีก็ยิ่งอัปลักษณ์ผู้นี้ใจร้อนยิ่งนัก
ทว่าหลินเมิ้งหยามีไหวพริบว่องไว แม้จะไม่ยอมให้เขาแตะเนื้อต้องตัว แต่ถึงกระนั้นก็ยังชะม้ายชายตาเย้ายวนให้เขาอยู่บ่อยครั้ง จั่วหยวนอีไม่เคยรู้สึกแปลกใหม่เช่นนี้ ดังนั้นพ พยายามคิดหาวิธีแนบชิดกับสาวงามตรงหน้า
“ข้ามีนามว่าฟางเชี่ยนเชี่ยน คุณชายเรียกข้าว่าเสี่ยวเชี่ยนก็ได้เจ้าค่ะ มิทราบว่าคุณชายชื่อแซ่อะไรหรือเจ้าคะ?”
“ฟางเชี่ยนเชี่ยน ไพเราะยิ่งนัก! เสี่ยวเชี่ยนมีความงามชวนหลงใหลสมดั่งความหมายของชื่อ ข้ามีนามว่าจั่วหยวนอี หากแม่นางเสี่ยวเชี่ยนมิรังเกียจ เช่นนั้นเรียกข้าว่าพี่หยวนอีเ เถิด”
ขนลุกขนพอง! พี่หยวนอีหรือ หลินเมิ้งหยาอยากถ่มน้ำลายรดหน้าเขายิ่งนัก
จิตใจของอ๋องชิ่งมิต่างจากซือหม่าเจา1
หยวนอี ชื่อนี้แสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานที่จะแย่งชิงบัลลังก์ของเขา
แต่เจ้าโง่คนนี้ไม่เหมาะสมกับชื่อนี้เลยสักกระผีกเดียว!
“ข้าผู้ต่ำต้อยจะเรียกชื่อจริงของคุณชายได้เช่นไร ว่าแต่คุณชายกำลังพาข้าไปที่ใดหรือ?”
หลินเมิ้งหยาปกปิดความรังเกียจในหัวใจ ป๋ายซ่าวเป็นคนฉลาด เพียงได้ยินวาจาของนายหญิง นางก็เดาเป้าหมายของอีกฝ่ายได้ทันที ดังนั้นจึงเลียนแบบท่าทางของนายหญิง
ส่งยิ้มเย้ายวนอ่อนหวานให้คุณชายจอมเจ้าชู้ผู้นั้นอยู่เนืองๆ ทว่าสมองกำลังคิดหาหนทางมิให้ชายผู้นี้เข้าใกล้นายหญิงได้
“แน่นอนว่าไปยังที่พักของข้า แต่แม่นางอย่าได้เข้าใจผิด ที่พักของข้าหรูหรากว่าโรงเตี๊ยมมาก แม่นางเสี่ยวเชี่ยนและแม่นางป๋ายซ่าวล้วนมีฐานะสูงศักดิ์ เช่นนั้นข้าจะคิดล่วงเกิ นพวกเจ้าได้อย่างไร?”
ไอ้คนโรคจิตไร้ยางอาย! หลินเมิ้งหยาถมน้ำลายใส่จั่วหยวนอีในใจ
นี่เขาคิดจะลากนางกับป๋ายซ่าวขึ้นเตียงอย่างนั้นสินะ
ปรายสายตาไปทางหลงเทียนอวี้และจั่วชิวอวี้ที่หมดความอดทนไปนานแล้ว คาดว่าหากไม่เอาคืนเขาดูสักหน พวกเขาทั้งสองคงเจ็บช้ำน้ำใจเป็นแน่
แผนการผุดขึ้นในสมอง สบตาจั่วหยวนชิวด้วยสายตาเย้ายวน
“เช่นนั้นก็ดีเหลือเกินเจ้าค่ะ แต่เกรงว่าฟู่จวินและเปี่ยวเกอของข้าคงไม่อนุญาต เช่นนั้นเชิญพวกเขาไปด้วยกันดีหรือไม่ คุณชายคงมิปฏิเสธคำขอของข้าหรอกกระมัง”
แน่นอนว่าจั่วหยวนอีไม่มีทางยินยอมให้พวกก้างขวางคอทั้งสองติดตามไป แต่เพราะสาวงามเอ่ยปากร้องขอ ดังนั้นเขาจึงมิอาจปฏิเสธ
ปรายหางตามองพวกเขาที่ใกล้จะระเบิดโทสะออกมาเต็มที
แผนชั่วบังเกิดขึ้นในใจของจั่วหยวนอี
หญิงงามเช่นนี้มีค่าเพียงพอจะทำให้เขาพึงพอใจสักช่วงนึง หากเขาแย่งชิงอย่างออกหน้าออกตาแล้วเรื่องนี้ดังไปถึงหูของบิดา บิดาจะต้องสั่งลงโทษเขาอย่างแน่นอน
มิสู้บังคับให้พวกเขาเขียนหนังสือหย่าร้างบนโต๊ะเหล้า จากนั้นจึงกำจัดพวกเขาไปจะดีกว่า
เพียงเท่านี้หญิงงามทั้งสองก็จะตกเป็นของเขาแล้ว
ความคิดแย่งชิงภรรยาของผู้อื่นเกิดขึ้นในหัวใจ
หลินเมิ้งหยาชำเลืองมองจั่วหยวนอี ก่อนจะหันไปมองหลงเทียนอวี้และจั่วชิวอวี้
สนุกแล้วสิ!
ที่พักของจั่วหยวนอีเป็นจวนหรูหราโอ่อ่าแห่งหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกับจวนเซิ่นจวิ้นอ๋องและจวนอวี้แล้วยังห่างชั้นกันอยู่มาก
ทุกหนทุกแห่งล้วนประดับด้วยทองและหยกที่ได้รับการขัดเกลาอย่างประณีต การตกแต่งสมกับคำว่าหรูหรา
แต่หลินเมิ้งหยากลับไม่รู้สึกตื่นตาตื่นใจแต่อย่างใด ความรู้สึกค่อนไปทางเบื่อหน่ายเสียมากกว่า แม้ว่าจั่วหยวนอีจะพยายามคุยโวโอ้อวดมากเพียงใดก็ตาม
หลงเทียนอวี้และจั่วชิวอวี้กำหมัดแน่น ท่าทางประหนึ่งพร้อมที่จะตวัดดาบบั่นคอคนได้ตลอดเวลา
หลินเมิ้งหยาสบโอกาสส่งสายตาเป็นสัญญาณให้หลงเทียนอวี้
ทั้งสามเข้าใจความหมายที่แต่ละฝ่ายต้องการจะสื่อ จั่วหยวนอีไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองกำลังจะกลายเป็นลูกไก่ในกำมือของพวกเขาทั้งสาม
หลังจากเดินเยี่ยมชมจวนเสร็จเรียบร้อย จั่วหยวนอีก็พาพวกเขาไปกินข้าวที่โถงบุปฝา
อาหารเลิศรส พร้อมสรรพทั้งหมูเห็ดเป็ดไก่ แม้แต่เป๋าฮื้อเองก็ไม่ขาด
กระทั่งสุรายังมีรสชาติเยี่ยมยอด กลิ่นหอมชวนเมามายสมเป็นสุราชั้นหนึ่ง
แต่คนกลับมิใช่คนดี เมื่อต้องปั้นหน้าปั้นตาให้กับผู้ชายมักมากตรงหน้า ยังไม่ทันจะกินข้าวหลินเมิ้งหยาก็รู้สึกอิ่มเสียก่อนแล้ว
จั่วหยวนอีนั่งที่ตำแหน่งประธาน ทางซ้ายมือคือหลินเมิ้งหยาและป๋ายซ่าว ส่วนหลงเทียนอวี้และจั่วชิวอวี้ถูกเขาจัดให้นั่งอยู่ถัดไป
รอบบริเวณล้วนมีคนของเขายืนคอยท่า หากเขาออกคำสั่งเมื่อไร เช่นนั้นพวกลูกน้องก็พร้อมกรูกันเข้ามาจับตัวชายทั้งสองออกไปทันที
จิบเหล้าในมือด้วยท่าทางภาคภูมิใจ อีกทั้งยังปรายตามองหญิงสาวทั้งสอง
คืนนี้พวกนางต้องมาปรนนิบัติรับใช้เขาแล้ว!
“เหตุใดแม่นางเสี่ยวเชี่ยนจึงไม่ดื่มเหล้าเล่า? หรืออาหารพวกนี้จะไม่ถูกปาก?”
ดวงตาของจั่วหยวนอีหยุดมองใบหน้านวลของหลินเมิ้งหยา ทว่าสายตาหื่นกระหายราวกับต้องการจะกลืนกินนาง
หลินเมิ้งหยากวาดสายตามองทั่วสารทิศ ไม่รู้ว่าชายผู้นี้กำลังรนหาที่ตายอยู่หรือไม่ ประตูและหน้าต่างไม่เพียงถูกปิดสนิท ซ้ำยังไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาภายในได้ง่ายๆ
เอาล่ะ ในเมื่อกระเหี้ยนกระหือรือถึงเพียงนี้ เช่นนั้นหากนางไม่ริบหัวเขาไว้ก็คงเสียมารยาท
“ข้าไม่ชอบร่ำสุราหรือกินเนื้อ ในเมื่อคุณชายมีแก่ใจเชิญพวกข้ามาที่นี่ อีกทั้งยังไล่คนอื่นออกไป เช่นนั้นคุณชายกล่าวสิ่งที่ต้องการมาเถิด”
จั่วหยวนอีปีติยินดียิ่งนัก เขาคิดว่าหญิงงามตรงหน้าทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว
ปรายตามองบุรุษทั้งสอง ก่อนจะปรบมือ
ทันทีที่สิ้นเสียง ชายฉกรรจ์ร่างกำยำจำนวนมากกรูกันเข้ามาพร้อมอาวุธครบมือ
พวกเขามีกันราวยี่สิบถึงสามสิบคน
แม้จะเห็นอาวุธแหลมคมตรงหน้า ทว่าหลินเมิ้งหยากลับไม่มีทีท่าทุกข์ร้อน นางถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอ่ย
“รออะไรอยู่เล่า ลงมือเถิด”
จั่วหยวนอีคิดว่านางหมายถึงตนเอง
ทว่าชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วย ใบหน้าของเขาพลันแข็งทื่อ
พวกคนที่กรูกันเข้ามาด้วยใบหน้าท่าทางฮึกเหิมประหนึ่งมังกรผงาดพยัคฆ์คำรามล้วนร่วงลงไปกองกับพื้น
อย่าว่าแต่ทรงตัวอยู่เลย แม้แต่สติยังไม่มี
ขณะเดียวกันเขาหลุดจากความเย้ายวนของสาวงามตรงหน้า
กลืนน้ำลายลงคอ รวบรวมความกล้าแล้วตะคอกใส่ชายทั้งสอง
“บังอาจนัก พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร! ข้าจะบอกเจ้าให้ ข้าคือทายาทผู้สืบทอดสกุลของอ๋องชิ่ง! พวกเจ้า….พวกเจ้ากำลังก่อกบฏ!”
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขายังคิดจะใช้ฐานะของตนเองมาข่มขู่อีกหรือ?
หลินเมิ้งหยาดูแคลนสติปัญญาของทายาทผู้นี้ยิ่งนัก
ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วหยุดยืนด้านหน้าหลงเทียนอวี้ จากนั้นจึงหันกลับไปส่งยิ้มให้จั่วหยวนอี ทว่าแม้มุมปากจะกระตุกยิ้ม ทว่าดวงตากลับเยียบเย็น
“ทายาทของอ๋องชิ่งอย่างนั้นหรือ ข้าเกรงกลัวยิ่งนัก แต่น่าเสียดายเหลือเกิน คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าตอนนี้คนหนึ่งเป็นองค์ชาย ส่วนอีกคนคือจวิ้นอ๋อง ส่วนข้าคือพระชายาขององ งค์ชายและมีฐานะเป็นจวิ้นจู่แห่งเมืองหลินเทียน คราวนี้ลองตรองดูก่อนดีหรือไม่ว่าใครใหญ่กว่ากัน?”
อยู่ๆ ความปีติยินดีพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจั่วหยวนอี เขาเพิ่งจดจำคำสั่งของบิดาได้ว่าถ้าหากได้พบเซิ่นจวิ้นอ๋องและอันเล่อจวิ้นจู่ให้รีบไปรายงานเขาทันที
คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายเอาตัวเองใส่พานถวายมาให้เช่นนี้
ขอเพียงเขานำข่าวนี้ไปบอกท่านพ่อ รับรองว่าท่านพ่อจะต้องมอบรางวัลให้แก่เขาอย่างแน่นอน
ความดีใจทำให้เขาลืมตัวไปว่าเวลานี้ตนเองกำลังตกเป็นรอง อย่าว่าแต่ออกไปรายงานอ๋องชิ่งเลย แม้แต่จะก้าวออกจากประตูยังลำบากยิ่งนัก
“มัดเขาไว้ ความคิดเพ้อเจ้อของเขารุนแรงเกินไป เช่นนั้นต้องรักษาให้หาย”
หลินเมิ้งหยาออกคำสั่ง หลงเทียนอวี้พร้อมทั้งจั่วชิวอวี้มิรอช้าพุ่งตัวเข้าไปในทันที
เวลาเพียงชั่วอึดใจจั่วหยวนอีก็ถูกมัดอย่างแน่นหนา
หลินเมิ้งหยาหยิบอุ้งเท้าหมูสีแดงบนโต๊ะอาหารยัดใส่ปากจั่วหยวนอี
เมื่อครู่นางกับป๋ายซ่าวทรมานยิ่งนัก คราวนี้ถึงเวลาคุณชายผู้นี้ต้องลองชิมอุ้งเท้าหมูเค็มนี่บ้างแล้ว
“ข้าจะบอกเจ้าให้ว่าอย่าได้คิดเพ้อเจ้อ ข้ารู้ว่าบิดาของเจ้าอยากจับตัวพวกข้าทั้งสาม แต่จะทำเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อเจ้ามีชีวิตรอดออกไป นับตั้งแต่วินาทีนี้ข้าจะถามเจ้า ส่วนเจ้ ามีหน้าที่ตอบ หากตอบถูกข้าจะไม่ทุบตีเจ้า แต่หากเจ้าตอบผิดหรือหาโอกาสหนี ข้าจะทำให้เจ้าทำไม่ได้แม้แต่จะร้องขอชีวิต จำเอาไว้ นี่มิใช่การขอความร่วมมือ พวกเราไม่จำเป็นต้องมีเ เจ้าก็ได้ นี่เป็นการบีบบังคับให้สารภาพ”
สถานการณ์ตกอยู่ภายใต้การควบคุม การข่มขู่ให้สารภาพจึงถูกนำมาใช้
ทายาทของอ๋องชิ่งอย่างนั้นหรือ! บางทีเขาอาจจะรู้ความลับของอ๋องชิ่งมากมายก็เป็นได้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้กำไรโดยไม่ต้องลงแรงเช่นนี้
ทว่าจั่วหยวนอีกลับไม่เชื่อ เขาจ้องตาพวกนาง
หลินเมิ้งหยาสบถในลำคอ ก่อนจะเอ่ยกับจั่วชิวอวี้
“อวี้เปี่ยวเกอ ดูเหมือนเจ้านี่จะไม่ชอบพูด เช่นนั้นท่านช่วยข้าถอดกระดูกข้อต่อของเขาทั้งร่างสักหน่อยเถิด แต่พยายามอย่าทำให้หักเล่า หากหักขึ้นมาคงเจ็บปวดไม่น้อย”
หลินเมิ้งหยายิ้มจนตาหยี ทว่าหลงเทียนอวี้กับจั่วชิวอวี้กลับเหงื่อแตกพลั่ก
อะไรนะ? ถอดกระดูกข้อต่อทั้งร่าง?
นี่มันทรมานเสียยิ่งกว่าทัณฑ์แล่เนื้อเถือหนังเสียอีก!
แม้จั่วชิวอวี้จะเป็นหมอและลงมือด้วยตนเอง แต่ความเจ็บปวดทรมานคงยากเกินรับไหว
หัวใจของบุรุษทั้งสองพลันร้องตะโกน...โชคดีเหลือเกินที่ปีศาจน้อยตนนี้เป็นพวกพ้องของตนเอง
มิเช่นนั้นหากตกอยู่ในเงื้อมมือของนางที่เป็นศัตรู เกรงว่าความเจ็บปวดที่ได้รับจะทรมานเสียยิ่งกว่าความตาย
ตอนแรกจั่วหยวนอีคิดว่าแม่นางตรงหน้ากำลังล้อเล่น แต่เมื่อกระดูกนิ้วก้อยด้านขวาของเขาหลุดออก ความทรมานแสนสาหัสพลันแล่นพล่าน
ดวงตาสีดำคมเข้มของจั่วหยวนอีจึงรู้แจ้งแก่ใจว่าพวกเขามิได้ล้อเล่น
หลินเมิ้งหยาโน้มตัวลงมองหน้าจั่วหยวนอี ก่อนจะลูบเม็ดเหงื่อที่ผุดบนหน้าผากของเขา
“หากเจ้าเจ็บเช่นนั้นจงกระพริบตาบอกข้า ครั้งที่สี่คงเจ็บกว่านี้มาก ครั้งที่ห้าเจ้าก็อาจจะทรมานจนตายได้ เช่นนั้นข้าช่วยเจ้านับดีหรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะ ทว่าจั่วหยวนอีกลับรู้สึกราวกับว่าเสียงนี้ดังขึ้นมาจากนรก
หมายเหตุ
ซือหม่าเจา1คือเสนาบดีแห่งแคว้นเว่ยในสามก๊ก