ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 16 บทที่ 472 คาดเดา
หลงเทียนอวี้นั่งอยู่ภายในห้องโถง ทั้งยังรู้สึกราวกับถูกคลื่นลูกมหึมาถาโถมใส่
แม้เขาจะไม่รู้ว่าวิชาการรักษาของหลินเมิ้งหยาลึกล้ำเพียงใด แต่เขาเคยได้ยินเสด็จพ่อรับสั่งว่าตำราชิงเจิงผู่เป็นตำรามหัศจรรย์ แม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นคนเขียน แต่เชื่อว่าคนผู้นั้นจะต้องเป็นอัจฉริยะอย่างแน่นอน
แม้คนภายนอกจะเอ่ยว่าตำราเล่มนี้สามารถชุบชีวิตคนตายกลับมาได้หรือแม้แต่กระดูกก็สามารถงอกใหม่ได้ แต่เสด็จพ่อเคยรับสั่งว่าขอเพียงคนผู้นั้นยังมีลมหายใจ วิธีการรักษาของตำราชิงเจิงผู่จะสามารถช่วยชีวิตคนผู้นั้นกลับมาได้อย่างแน่นอน
แม้หลินเมิ้งหยาจะเป็นศิษย์เอกของป๋ายหลี่รุ่ย แต่ตัวเขาย่อมรู้ถึงขีดความสามารถของป๋ายหลี่รุ่ยดี
หากนางเอ่ยว่านางไม่มีตำราชิงเจิงผู่ อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่เขาเองก็ยากจะเชื่อ
เกรงว่าจั่วชิวอวี้ก็คงสงสัยเช่นเดียวกัน
แต่เพราะสถานการณ์กำลังคับขัน ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่มีโอกาสถามหลินเมิ้งหยา
หากตำราชิงเจิงผู่อยู่ในมือของนางจริง เช่นนั้นนางคงถูกคนเหล่านี้ตามรังควานไปชั่วชีวิต
“โอ๊ย…”
เสียงแผดร้องดังขึ้นขัดความคิดของหลงเทียนอวี้
หันหน้าไปมอง สายตาเหลือบเห็นจั่วชิวอวี้ที่กำลังรักษาจั่วหยวนอี
ความเจ็บปวดจากการถูกถอดกระดูกข้อต่อมิอาจเทียบเท่าความทรมานในการต่อกระดูกใหม่ได้เลย
จั่วหยวนอีเจ็บปวดจนแทบสิ้นสติ
หลงเทียนอวี้รำคาญเป็นอย่างยิ่ง มือหยิบผลไม้ขึ้นมาผลหนึ่งแล้วขว้างออกไป เสียงร้องจึงเงียบหายไปในทันใด
จั่วหยวนอีผู้น่าสงสารถูกเขาอุดปากเอาไว้แล้ว อย่าว่าแต่ร้องเลย แค่จะส่งเสียงยังทำไม่ได้
จั่วชิวอวี้เหลือบมองหลงเทียนอวี้ ก่อนจะหันไปทรมานจั่วหยวนอีต่อ
“เทียนอวี้ มานี่หน่อย”
ด้านหลังห้องโถง เสียงเรียกของหลินเมิ้งหยาพลันดังขึ้น
หลงเทียนอวี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแสดงสีหน้าเป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วเดินเข้าไปหานาง
“มีอะไรหรือ?”
เพียงผ่านประตูเข้ามาก็เห็นหลินเมิ้งหยาที่กำลังจ้องดาบบนอกของป๋ายซ่าวอย่างพินิจพิจารณา
“พระองค์ช่วยหม่อมฉันดึงดาบออกได้หรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาหันไปขอร้องหลงเทียนอวี้
อีกฝ่ายผงกศีรษะลง ขณะที่ยื่นมือเข้าไปจะจับดาบ เขากลับถูกหลินเมิ้งหยาปัดมือออก
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของป๋ายซ่าว พระองค์จะต้องดึงดาบออกมาอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นต้องระวังมิให้โดนหัวใจของนาง หากพลาดไปเพียงนิดเดียวก็อาจปลิดชีพของนางได้ พระองค์ทำได้หรือไม่?”
หลินเมิ้งหยากัดฟันแน่น นางมองหลงเทียนอวี้ด้วยสายตาเป็นกังวล
ดาบเล่มนี้ยาวเหลือเกิน ซ้ำยังปักค้างใกล้หัวใจของป๋ายซ่าวมาก
เหตุเพราะที่นี่มิอาจทำการผ่าตัดได้เหมือนอย่างในยุคปัจจุบัน ดังนั้นการดึงดาบออกมาจึงมิต่างจากการทำให้ป๋ายซ่าวเจ็บปวดเจียนตายอีกหนหนึ่ง
หลงเทียนอวี้เคร่งเครียดขึ้นมาบ้างแล้ว ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งพลางจ้องมองตำแหน่งของดาบ สุดท้ายจึงพยักหน้าลงเบาๆ
หลินเมิ้งหยากังวลเป็นอย่างมาก แต่นางทำได้เพียงเชื่อใจหลงเทียนอวี้
เบี่ยงตัวหลบเพื่อหลีกทางให้กับเขา
สิ่งที่เหลืออยู่ในเวลานี้มีเพียงความเชื่อใจ
หลงเทียนอวี้สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อระงับความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมด
หยุดยืนตรงหน้าป๋ายซ่าว ก่อนจะเอื้อมมือไปจับดาบ
เขาเป็นปรมาจารย์ด้านการใช้ดาบ ก็เหมือนกับที่หลินเมิ้งหยาพูด คงมีเพียงเขาที่ทำตามคำขอร้องนี้ให้สำเร็จได้
เพ่งสมาธิรวบรวมพลัง เขามิอาจลังเลหรือปล่อยมือให้สั่นได้
สายตาจ้องมองการขยับแขนที่ว่องไวของหลงเทียนอวี้ จากนั้นดาบที่เกือบจะคร่าชีวิตของป๋ายซ่าวก็ถูกดึงออกมา
หลินเมิ้งหยารู้สึกราวกับว่าหัวใจของนางเกือบจะหลุดออกมาทางลำคอ นางรีบตรวจอาการของป๋ายซ่าว
เหตุเพราะดาบค่อนข้างเรียบ อีกทั้งหลงเทียนอวี้ยังมีฝีมือสูงส่ง ดังนั้นบาดแผลของป๋ายซ่าวจึงมีเพียงเลือดสีแดงเข้มไหลออกมาเล็กน้อยเท่านั้น
“หลงเทียนอวี้ พระองค์เก่งมากเลยเพคะ!”
เมื่อมั่นใจแล้วว่าป๋ายซ่าวไม่เป็นอะไร หลินเมิ้งหยาจึงดีใจแทบเสียสติ
หมุนตัวกลับไปประคองใบหน้าเรียวคมเข้มของเขาก่อนจะกดริมฝีปากเข้าไปเต็มแรง
จากนั้นนางจึงรีบวิ่งออกไปหาจั่วชิวอวี้เพื่อต้มยาเพิ่ม
ผิดกับหลงเทียนอวี้ที่ยืนอึ้งงันอยู่กับที่
แรงที่หลินเมิ้งหยาส่งมาทำให้ใบหน้าของเขารู้สึกแสบร้อนเล็กน้อย
แต่ช่างเถิด น้อยครั้งนักที่นางจะเป็นฝ่ายจู่โจมเช่นนี้ก่อน
เขายกมือลูบแก้ม ดีกว่าไม่ได้สิ่งใดตอบแทน
ยุ่งวุ่นวายอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดอาการของป๋ายซ่าวก็ทรงตัว
เลือดในกายนางไหลเวียนช้าลงแล้ว สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าอวัยวะภายในร่างกายของนางก็ทำงานช้าลงเช่นเดียวกัน
จากนี้ไปสิ่งที่ต้องทำคือการเย็บแผล แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องป้องกันมิให้บาดแผลติดเชื้อ หากติดเชื้อขึ้นมา ต่อให้ป๋ายซ่าวมีเก้าชีวิตก็คงไร้หนทางรอด
ส่วนสิ่งที่นางต้องทำคือการตระเตรียมยาตามตำราชิงเจิงผู่
แขนของจั่วหยวนอีได้จั่วชิวอวี้รักษาจนดีขึ้นแล้ว
เขารู้สึกเจ็บปวดจนเหมือนคนที่เพิ่งตายแล้วฟื้นขึ้นมาอีกหนหนึ่ง แต่หลังจากกินยาของหลินเมิ้งหยา ความเจ็บปวดก็เริ่มทุเลาลง
ขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจแล้วว่าแม้บุรุษทั้งสองตรงหน้าจะดุดันอำหิต แต่คนที่ตัดสินใจทุกอย่างคืออันเล่อจวิ้นจู่
ดังนั้นแม้แขนขวาจะถูกพันเอาไว้ด้วยผ้า แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังมิวายเข้าไปล้อมหน้าล้อมหลังหลินเมิ้งหยาเพื่อคอยรับใช้นาง
ท่าทางไม่ต่างจากบ่าวรับใช้เลยแม้แต่น้อย
ขณะเดียวกันจั่วหยวนอีสั่งให้คนเคลื่อนย้ายร่างของป๋ายซ่าวไปไว้ในห้องด้านข้างที่เรือนท้ายจวนแล้ว
แน่นอนว่าเขาไม่กล้าทำอะไรตุกติก เหตุเพราะสายตาของจั่วชิวอวี้และหลงเทียนอวี้กำลังจับจ้องมองเขาเขม็ง
หวนนึกถึงความทรมานที่เคยได้รับ เขาไม่กล้าทำให้พวกเขาทั้งสองขุ่นข้องหมองใจอีก
หลังจากวางร่างของป๋ายซ่าวไว้อย่างดีแล้ว ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือการรอคอยเท่านั้น
หลินเมิ้งหยารู้ดีว่านางมิอาจเร่งเวลาได้ แม้นางจะอยากให้ป๋ายซ่าวฟื้นขึ้นมา แต่หากนางใส่ปริมาณยามากเกินไป เช่นนั้นจะเป็นการทำร้ายป๋ายซ่าวมากกว่า
มองป๋ายซ่าวที่ยังคงหลับไหลไม่ได้สติ หลินเมิ้งหยาทำได้เพียงทอดถอนหายใจ
หันหน้ากลับก่อนจะเห็นสายตาท่าทางมัวหมองของจั่วหยวนอี นางจึงนึกถึงคุณชายรองคนนั้นขึ้นมาได้
จั่วหยวนอีเป็นเพียงพันธมิตรชั่วคราวเท่านั้น แน่นอนว่านางไม่มีวันเชื่อใจเขา
เหตุที่เขาสงบเสงี่ยมเช่นนี้ก็เพราะมีหลงเทียนอวี้และจั่วชิวอวี้คอยควบคุม
แต่เกรงว่าหากเขาลืมความเจ็บปวดที่ได้รับแล้วหันมาแว้งกัด เช่นนั้นนางคงแย่อย่างแน่นอน
ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำ เช่นนั้นฉุดเขาลงน้ำย่อมดีกว่า
“คุณชายลำบากแล้ว มาเถิด พวกเรามาคุยธุระกัน”
จั่วหยวนอีไม่กล้าพลาดช่วงเวลานี้เลยแม้แต่วินาทีเดียว เขารีบเดินตามแม่นางตรงหน้าออกไปจากห้องข้างเรือน
ภายในห้องโถงที่ถูกเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว พวกเขาทั้งสี่นั่งลงบนโต๊ะอีกครั้ง
ชาปี้หลัวชุนวางอยู่บนโต๊ะแล้ว ในที่สุดจมูกที่ได้กลิ่นคาวเลือดและยาสมุนไพรมาตลอดครึ่งวันก็ได้สูดอากาศบริสุทธิ์เสียที
ชุดที่สวมใส่ในตอนเช้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของป๋ายซ่าว
จั่วหยวนอีสั่งให้คนนำชุดและรองเท้ามาเปลี่ยนให้นางใหม่แล้ว ชุดใหม่ที่นางสวมใส่ยิ่งขับให้นางงามสง่ามากขึ้น
ทว่าสายตาของจั่วหยวนอีมิกล้าจ้องมองอย่างเสียมารยาทอีกต่อไป
“ยาที่คุณชายนำมาไม่เลวเลย ข้าพึงพอใจยิ่งนัก”
หลินเมิ้งหยาเงยหน้าสบตาจั่วหยวนอี
เมื่อเห็นว่าตนเองมีความดีความชอบจึงรู้สึกดีใจขึ้นมา คิ้วของเขาเลิกสูงขึ้น ทว่าประโยคถัดมาของหลินเมิ้งหยามิต่างอันใดจากน้ำเย็นที่สาดเข้ามาในหัวใจของเขา
“แต่น่าเสียดายที่ข้ามิอาจเชื่อใจเจ้าทั้งหมดได้ เฮ้อ เจ้าว่าข้าควรทำเช่นไร?”
หลินเมิ้งหยาจ้องจั่วหยวนอี
“คือ….ข้าจริงใจกับจวิ้นจู่จริงๆ ข้าไม่มีทางคิดทรยศหักหลังอย่างแน่นอน”
ตอนแรกคิดว่าหลินเมิ้งหยาจะฆ่าลาหลังเสร็จงาน จั่วหยวนอีจึงรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับหัวเราะ ก่อนจะเอ่ย
“แม้เจ้าจะพูดเช่นนั้น แต่คนที่เจ้าควรจงรักภักดีด้วยคือฮ่องเต้ หาใช่ข้าไม่ เอาเช่นนี้แล้วกัน เจ้าจงเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรว่าต้องการขึ้นครองตำแหน่งอ๋องชิ่งและจะเป็นพันธมิตรกับฮ่องเต้อย่างจริงใจ จากนั้นประทับลายมือของเจ้าลงไปก็แล้วกัน”
หลินเมิ้งหยาไม่อาจประมาทได้ อ๋องชิ่งเป็นใครนางย่อมรู้ดี เขาเป็นคนจิตใจอำมหิตและจอมวางแผน
เช่นนั้นเขาจะยอมให้ลูกชายของตนเองหักหลังได้อย่างไร?
หากจั่วหยวนอียอมเขียนสัญญาขึ้นมาจริง นั่นเท่ากับว่าเขาตัดสินใจตั้งตนเป็นศัตรูกับบิดาตนเองแล้ว
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นจั่วหยวนอีจึงลังเล
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังลังเล แต่เจ้าลองตรองดูเถิด เจ้าเห็นเขาเป็นบิดา แล้วเขาเห็นเจ้าเป็นลูกหรือไม่? หากเขาเห็นเจ้าเป็นลูกชายเพียงคนเดียว เช่นนั้นเขาจะรับอุปการะเลี้ยงดูคุณชายรองทำไม?”
ทุกคำพูดของหลินเมิ้งหยาทิ่มแทงหัวใจของเขา
ตลอดหลายปีมานี้เขายังถูกไอ้ขยะนั่นรังแกไม่พออีกหรือ?
“ยิ่งไปกว่านั้น เหตุใดเขาจึงให้ความสำคัญกับบุตรบุญธรรมนัก? ไม่เพียงมอบตำแหน่งเท่าเทียมกันกับเจ้าให้เขา ซ้ำยังใช้เรื่องส่วนรวมมาเกทับเจ้าอีก คุณชาย เจ้าไม่คิดว่าตัวเจ้ากลายเป็นรองเท้าให้คนสวมใส่อยู่หรือ? เขาได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีที่สุด แต่เจ้ากลับต้องแบกรับความอัปยศและถ้อยคำตำหนิ ความคิดเช่นนี้หาได้มีไว้สำหรับบุตรที่เป็นสายเลือดของตนเองไม่ คุณชาย ตกลงเจ้าถูกเขามองเป็นบุตรจริงหรือไม่?”
หากพูดเรื่องการยุแยง หลินเมิ้งหยาไม่เป็นสองรองใคร
อย่าว่าแต่จั่วหยวนอีเลย แม้แต่หลงเทียนอวี้และจั่วชิวอวี้ล้วนถูกน้ำเสียงอ่อนโยนและคำพูดทิ่มแทงใจทำให้ไฟแห่งความริษยาลุกโชน
สีหน้าของจั่วหยวนอีเปลี่ยนไปแล้ว ความทุกข์ระทมที่เขาได้รับมาตลอดหลายปี แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่เขาก็เห็นเป็นเรื่องใหญ่ในทันที
สุดท้ายคำพูดของหลินเมิ้งหยาก็กลายเป็นประกายไฟที่กระเด็นไปจุดชนวนโทสะของเขาให้ลุกโชน
ความริษยากลายเป็นความอาฆาต แม้แต่บิดาบังเกิดเกล้ายังกลายเป็นศัตรูของเขาไปแล้ว
ไม่มีใครรู้เลยว่าคำพูดโน้มน้าวและท่าทางอ่อนโยนของนางเกิดจากโหมดการใช้งานระบบเซินหนง
ระบบเซินหนงเชื่อมต่อกับสมองส่วนกลางโดยตรง ฉะนั้นนางจึงเปลี่ยนสมองให้กลายเป็นเกาทัณฑ์แผลงศรได้
ส่งคลื่นความถี่ที่มนุษย์มิอาจรู้สึกได้ผ่านการฟังและต่อตรงไปที่สมองของผู้อื่นเพื่อกระตุ้นจิตใจของพวกเขา
ฉะนั้นโทสะของจั่วหยวนอีจึงปะทุขึ้นอย่างง่ายดายเพียงเพราะการโน้มน้าวของนาง