ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 16 บทที่ 475 ผู้มาเยือนยามรัตติกาล
หลินเมิ้งหยาขยับเท้าถอยหลังหนึ่งก้าว เหตุเพราะใช้แขนได้เพียงข้างเดียว ดังนั้นจึงไม่สะดวกนัก
แม้นางจะไม่เคยพูด แต่ถึงอย่างไรนางก็รู้สึกกลัวจริงๆ ว่าแขนขวาจะกลับมาใช้งานไม่ได้อีกแล้ว
คงน่าเสียดายหากนางมิอาจใช้วิชาควบคุมเข็มของท่านอาจารย์ได้อีก
“ข้ายกมีดสั้นเล่มนี้ให้เจ้าก็แล้วกัน จงให้มันคอยปกปักษ์ดูแลเจ้า”
หลงเทียนอวี้หยิบมีดเก็บใส่ฝักแล้วยื่นให้นาง
อันที่จริงนางก็เคยมีมีดสั้นเล่มหนึ่ง แต่มีดเล่มนี้ค่อนข้างถนัดมือกว่า
“มอบให้หม่อมฉัน? ก็ได้เพคะ พระองค์อย่าเสียใจภายหลังก็แล้วกัน”
หลินเมิ้งหยาไม่อิดออด เหตุเพราะความโชคร้ายมักจะมาหานางเสมอ อย่างน้อยก็ควรมีสิ่งของป้องกันตัวบ้าง
“ต้าจิ้นขาดคนมีความสามารถเช่นนี้”
หลงเทียนอวี้ย่อมเล็งเห็นความสามารถของหลิวซวนชัดเจนยิ่งกว่านาง
ความจงรักภักดีเป็นบ่อเกิดของความแข็งแกร่ง ทว่าเมื่อดูจากความสัมพันธ์ระหว่างหลิวซวนและสองพี่น้องสกุลจั่วแล้ว เกรงว่าเขาคงไม่อาจเข้าไปทาบทามใดๆ ได้
“อันที่จริงแผ่นดินต้าจิ้นกว้างใหญ่กว่าเมืองหลินเทียนมาก ใช่ว่าจะไร้คนมีความสามารถ เพียงแต่ยังขาดระบบการคัดเลือกที่เหมาะสมมิใช่หรือเพคะ?”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยชี้แนะ ใบหน้านวลแย้มยิ้มอ่อนโยน ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายระยิบระยับ
“อืม ใช่แล้ว ตอนนี้ขุนนางล้วนได้รับคัดเลือกจากการแนะนำของขุนนางอาวุโสในราชสำนักหรือไม่ก็มาจากการจัดสอบ แต่หากโชคร้ายก็อาจมิได้เข้ามาทำงานรับใช้บ้านเมืองจวบจนชั่วชีวิต”
หลงเทียนอวี้มองท่าทางซุกซนของนาง สายตาเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม ทุกคำพูดของนางล้วนสื่อออกมาได้ตรงกับสิ่งที่อยู่ในใจของเขาทั้งสิ้น
“เช่นนั้นจัดการสอบทุกสี่ปี ยิ่งไปกว่านั้นมิใช่เพียงการทดสอบทางด้านความรู้ ขุนนางย่อมต้องมีพรสวรรค์หลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นหรือฝ่ายบู๊ก็ตาม พวกเขาควรแสดงความสามารถของตนเองออกมาอย่างเต็มที่ แบบนี้จะดีกว่าหรือไม่เพคะ?”
หลินเมิ้งหยานำการสอบขุนนางในสมัยโบราณมาประยุกต์ใช้ ขณะเดียวกันนางยังคิดว่าหากพวกขุนนางรู้จักเพียงปากู่เหวิน [1] และกลายเป็นคนอวดรู้ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงความคิด เช่นนั้นคงไม่ดีแน่
“สมแล้วที่เป็นชายาของข้า ความฉลาดเฉลียวของเจ้ามิอาจมีใครเทียบเทียม”
หลงเทียนอวี้ชื่นชมหลินเมิ้งหยายิ่งนัก ความภาคภูมิใจพลันเกิดขึ้นทันที
ยื่นแขนทั้งสองข้างไปโอบเอวบางและอุ้มร่างนางวางลงบนเตียงอย่างทะนุถนอม
โน้มตัวลงสบตาของนางพร้อมทั้งเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจ
“หม่อมฉันหาใช่คนคิดค้นวิธีนี้ขึ้นไม่ พระองค์อย่าชื่นชมผิดคนเลย หากหม่อมฉันทำพระองค์ขายหน้าขึ้นมาจะทำอย่างไรเพคะ”
หลินเมิ้งหยาย่นจมูก ท่าทางราวคุณหนูจอมเอาแต่ใจ
นางไม่คุ้นชินกับหลงเทียนอวี้ที่ชื่นชมตนเองอย่างเปิดเผยเช่นนี้เลย
บางทีอาจเพราะตั้งแต่เด็กจนโตนางใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังเสมอ
สำหรับนางแล้ว ครอบครัวเป็นแค่คำจำกัดความในหนังสือเท่านั้น
แต่หลังจากข้ามภพมาอยู่ที่นี่ ไม่ว่าสาวใช้ของนางหรือบิดาและท่านพี่ล้วนสร้างความรู้สึกบางอย่างที่นางไม่เคยสัมผัสมาก่อน
โดยเฉพาะช่วงเวลาหลังจากได้สนิทชิดใกล้กับหลงเทียนอวี้ นางสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป
อย่างเช่นความสัมพันธ์ที่อ่อนหวานหวานลึกซึ้งกว่าก่อน
หรืออาจจะเป็นความสนิทสนมที่อดที่จะหน้าแดงอยู่ร่ำไปมิได้….
“กำลังคิดอะไรอยู่หรือ?”
หลงเทียนอวี้มองนางที่กำลังเหม่อลอย ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่เอ่ยถาม
เขาไม่ชินเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่ตนเองอยู่ต่อหน้านาง ทว่าสายตาของนางกลับมองทอดออกไปไกล
ไกล...จนเขารู้สึกกระวนกระวาย
“ไม่มีอะไรเพคะ จริงสิ คาดว่าคืนนี้อวี้เปี่ยวเกอคงกลับมาไม่ได้แล้ว พระองค์รีบพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้ยังต้องเร่งเดินทางอีกเพคะ”
เพียงหวนนึกถึงภาพจั่วชิวอวี้ถูกกระทืบหน้าประตูเมืองขึ้นมา มุมปากของหลินเมิ้งหยาพลันกระตุกยิ้มขึ้น
ไม่รู้ว่าอวี้เปี่ยวเกอถูกเลี้ยงดูมาเช่นไร เขาจึงกลายเป็นคนมีอารมณ์ขันเช่นนี้
ทว่าแม้เฉินเปี่ยวเกอจะมีท่าทางสุขุมจริงจัง แต่อันที่จริงเขาก็มีด้านซุกซนอยู่เช่นกัน
มารดาของนางที่มีจิตใจงดงามและเป็นหมอเทวดาบางทีอาจกลายเป็นที่นิยมในปัจจุบันด้วยเช่นเดียวกัน
การพบกันระหว่างท่านแม่และท่านพ่อในเวลานั้นจะต้องน่าตื่นเต้นมากอย่างแน่นอน
นางรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
ช่วงเวลาดึกสงัด หลินเมิ้งหยานอนหลับฝันหวาน
หลงเทียนอวี้นอนอยู่บนฟูกข้างเตียง สายตาสับสนจ้องมองสตรีที่หลับไหลในห้วงนิทราบนเตียงนุ่ม
เสด็จพ่อเร่งให้พวกเขาทั้งคู่กลับไป เกรงว่าจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงในวังหลวงอย่างแน่นอน
แม้คนของเขาจะส่งข่าวมาว่าไม่มีเรื่องเร่งร้อนอันใด ทว่าเสด็จพ่อเป็นคนฉลาดเฉลียว เกรงว่าพระองค์จะต้องสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวภายใต้ฉากหน้าอันสงบเงียบอย่างแน่นอน
ฝั่งหนึ่งคือหลินเมิ้งหยา ส่วนอีกฝั่งคือบ้านเกิดเมืองนอนของเขา
ทางเลือกทั้งสองนี้ทำให้เขาร้อนใจเป็นยิ่งนัก
อยู่ๆ ก็เกิดความเคลื่อนไหวที่นอกหน้าต่าง
หลงเทียนอวี้ผุดลุกขึ้นนั่งตามสัญชาตญาณ สิ่งแรกที่เขาหันมองคือหลินเมิ้งหยา เขากลัวว่านางจะตื่นขึ้นมา จากนั้นเขาจึงเดินออกจากห้อง
ภายในตรอกมืดด้านหลังสวนของโรงเตี๊ยม หลงเทียนอวี้ที่ไล่ตามเงามืดมาก็พบกับเงาของคนสามคนในตรอกแห่งนั้น
“คารวะท่านอ๋อง”
เสียงทุ้มต่ำ แม้จะไม่ดึงดูดความสนใจของคนอื่น แต่ถึงกระนั้นก็ยังดังและหนักแน่น
จากนั้นคนทั้งสามจึงคุกเข่าลงคารวะหลงเทียนอวี้
“มีเรื่องอันใด?”
เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา หลงเทียนอวี้เก็บความอ่อนโยนที่มีให้หลินเมิ้งหยาเพียงคนเดียวเอาไว้ ท่าทางแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ดวงตาคมกริบ
“ทูลท่านอ๋อง มีข่าวด่วนจากเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสามคือคนส่งข่าวจากเมืองหลวงของหลงเทียนอวี้
การปรากฏตัวของพวกเขาทำให้หลงเทียนอวี้รู้ได้ว่าเสด็จพ่อเป็นผู้ส่งข่าวมา
“นำออกมา”
พยายามระงับความกระวนกระวายในใจ ทำได้เพียงหวังว่าจดหมายฉบับนี้จะไม่ทำให้หัวใจของเขาหนักอึ้ง
“พ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นซองจดหมายสีดำทะมึนถูกส่งไปให้หลงเทียนอวี้
แม้หัวใจอยากจะปฏิเสธ ทว่าหลงเทียนอวี้ก็ยังรีบหยิบจดหมายมาเปิดอ่าน
แม้จะมีเพียงอักษรไม่กี่ตัว ทว่าในสายตาของเขากลับเป็นดั่งสมุนไพรฟื้นคืนชีพก็มิปาน
ในที่สุดก็โล่งใจได้เสียที โชคดีที่เสด็จพ่อเข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อ ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็มีเหตุผลที่จะติดตามหลินเมิ้งหยาไปต่อแล้ว
“ข้าเข้าใจแล้ว พวกเจ้ายังมีธุระอื่นอีกหรือไม่?”
หลงเทียนอวี้เก็บจดหมายกลับเข้าไปในซอง คิดไม่ถึงเลยว่ากระดาษจดหมายจะลุกไหม้อย่างฉับพลัน
สุดท้ายกลายเป็นขี้เถ้าสีเทา เมื่อเห็นสิ่งนี้ยามค่ำคืนช่างน่าประหลาดยิ่งนัก
หลงเทียนอวี้คลายมือออก ขี้เถ้าเหล่านั้นลอยปลิวไปตามลม เพียงพริบตาเดียวซองจดหมายเองก็มอดไหม้กลายเป็นผุยผงและหายลับไปในอากาศราวกับไม่เคยมีอยู่
ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาสองคนหายตัวไปเช่นเดียวกัน
เหลือเพียงชายที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นตรงกลางเท่านั้น
“ทูลท่านอ๋อง ชิงเหนี่ยวเริ่มเคลื่อนไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ อีกไม่นานจะต้องได้ข่าวตามที่พระองค์ต้องการอย่างแน่นอน แต่ชิงเหนี่ยวเล่าว่าคนที่พระองค์ต้องการหาได้อยู่ในเงื้อมมือของสองแม่ลูกไม่”
ทั้งสองคนที่เร้นกายหายไปล้วนเป็นคนของเสด็จพ่อ ส่วนคนตรงหน้าคือคนของเขา
นี่เป็นอภิสิทธิ์พิเศษที่เสด็จพ่อมอบให้ เหตุเพราะเสด็จพ่อยอมปล่อยให้มีคนของเขาอยู่ภายใต้จมูกของพระองค์ แม้แต่ไท่จื่อเองก็มิได้รับโอกาสเช่นนี้
“มิได้อยู่ในเงื้อมมือของพวกเขา? ชิงเหนี่ยวมั่นใจแล้วหรือ?”
แม้สีหน้าจะยังคงสงบนิ่ง แต่หัวใจกลับมีความกระวนกระวายอยู่หลายส่วน
เมิ้งหยาเอ่ยปากเองว่าฮองเฮาจับตัวหมู่เฟยไป
ดังนั้นเขาจึงส่งคนเข้าไปแฝงตัวอยู่กับฮองเฮา
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหมู่เฟยจะไม่ได้อยู่ในเงื้อมมือของสองแม่ลูก
เป็นไปได้อย่างไร?
“จงบอกชิงเหนี่ยวให้สืบต่อไป อย่าได้วู่วามเป็นอันขาด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ร่างในชุดดำหายลับไปจากตรอกมืด
หลงเทียนอวี้ยืนอยู่ท่ามกลางความมืด หัวใจสับสนกระวนกระวาย
แม้เขาจะรู้ดีว่าฮองเฮาและไท่จื่อเป็นปรปักษ์ต่อตนเอง แต่ใต้หล้าแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก หากหมู่เฟยถูกส่งตัวออกจากวังหลวงจริง อย่าว่าแต่เขาแอบสืบเสาะค้นหาเลย แม้เสด็จพ่อจะมีพระราชโองการสั่งให้พลิกแผ่นดินหา เกรงว่าก็คงหาตัวหมู่เฟยไม่เจอ
เขา…สุดท้ายก็เป็นเพียงลูกอกตัญญู
หลินเมิ้งหยานอนหลับสนิท ไม่รับรู้เลยว่าหลงเทียนอวี้ประสบเรื่องทุกข์ใจตลอดทั้งคืน ดังนั้นนางจึงรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากเป็นพิเศษ
อรุณรุ่งวันถัดมา จั่วชิวอวี้ถูกผู้ว่าการนำตัวมาส่ง
แขนขายังอยู่ครบ ทว่าดวงตากลับบวมช้ำราวกับโดนใครต่อยมาอย่างไรอย่างนั้น
หลินเมิ้งหยามองด้วยสายตามีความสุขบนความทุกข์ของเขา อีกทั้งยังรู้สึกประหลาดใจอยู่หลายส่วน
เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรกันแน่? เหตุใดพวกเขาทั้งสองจึงถึงขั้นลงไม้ลงมือกันเช่นนี้เล่า
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความสนุกเล็กๆ ระหว่างการเดินทางของนาง
มิเช่นนั้นหากต้องหนีตายตลอดเวลาคงน่าเบื่อแย่
“หลินซวนคารวะจวิ้นจู่ คารวะท่านอ๋อง”
หลินซวนปฏิบัติตัวแตกต่างจากอวี้เปี่ยวเกออย่างสิ้นเชิง ใบหน้าของผู้ว่าการชิงหยวนผู้นี้ใสสะอาด ปราศจากร่องรอยฟกช้ำ
เมื่อวานหลินเมิ้งหยาได้เห็นนิสัยรักสะอาดของเขาแล้ว
โชคดีที่เมื่อคืนนางและหลงเทียนอวี้อาบน้ำผลัดผ้าจนสะอาดสะอ้านแล้ว ดังนั้นวันนี้จึงได้รับสายตาเป็นมิตรจากเขามากขึ้น
เอาล่ะ หลินเมิ้งหยายอมรับ เหตุที่นางรู้สึกดีกับหลินซวนก็เพราะเมื่อวานเขาได้ล้างแค้นจั่วชิวอวี้
ในเมื่อเขาสามารถปราบพยศอวี้เปี่ยวเกอได้ เช่นนั้นเขาย่อมมิใช่คนอื่นคนไกล
“ใต้เท้าหลิวอย่าได้มากพิธีเลย เชิญนั่งเถิด”
หลินเมิ้งหยาหยักยิ้มกว้าง จั่วชิวอวี้ที่ได้ยินว่าหลิวซวนมาถึงแล้วกำดาบในมือแน่นและคิดที่จะพุ่งตัวเข้าไปโจมตี
แต่เมื่อเห็นญาติผู้น้องแสดงท่าทางเป็นมิตรกับคนผู้นั้น หัวใจของเขาสั่นไหว สุดท้ายก็เดินคอตกกลับห้องของตนเองไป
ล้อเล่นหรือไร แค่หลิวซวนคนเดียวก็ทำให้เขาทรมานมากเพียงพอแล้ว หากยังรวมหัวกับญาติผู้น้องผู้แสนอำมหิตเข้าไปอีกคน เช่นนั้นเขายอมชิงปลิดชีพด้วยตนเองคงจะทรมานน้อยกว่า!
——————–
หมายเหตุ
[1] ปากู่เหวิน หมายถึง การสอบแบบเขียนตอบ