ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 16 บทที่ 477 เผยพิรุธ
พลิกอ่านอยู่หลายรอบ แม้หลินเมิ้งหยาจะรู้สึกว่าตำราแพทย์พิศวงเล่มนี้จะสร้างความประหลาดใจให้มากมาย แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคำถามบางอย่างปรากฏขึ้นในใจ
หรือเพราะตำราชิงเจิงผู่มีความเกี่ยวข้องกับตำแหน่งผู้สืบทอดแห่งหอป๋ายเฉา ดังนั้นจึงเกิดปัญหามากมายถึงเพียงนี้?
ไม่ถูกต้อง ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่ง่ายดายขนาดนั้น
ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง คาดว่าทั้งหลงเทียนอวี้และจั่วชิวอวี้ล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจว่าตำราชิงเจิงผู่อยู่ในมือของนางแล้ว
นางรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากที่มีพวกเขาคอยปกป้องในฐานะของคนในครอบครัวและมิตรสหาย
ทว่าเมื่อเดินทางถึงเมืองหลวง เกรงว่าคงมีเรื่องที่นางมิอาจหลีกเลี่ยงได้ บางทีนางอาจตกอยู่ในแผนการร้ายบางอย่าง
ตื่นขึ้นมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง ขนตางอนยาวกระเพื่อมเบาๆ ดวงตาคู่สวยลืมขึ้น
ร่างกายพักผ่อนเพียงพอแล้ว ทว่าจิตวิญญาณกลับรู้สึกเหนื่อยล้า
นวดหว่างคิ้ว โชคดีที่การเดินทางค่อนข้างราบรื่น
แหวกผ้าม่านออก อาจเพราะตอนนี้ผ่านป่ามาแล้ว ดังนั้นถนนหนทางจึงค่อนข้างเรียบ คนสัญจรและรถม้าเองก็เพิ่มมากขึ้น
ไม่ว่าครอบครัวจากสกุลสูงศักดิ์หรือราษฎรธรรมดาก็ล้วนมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงเก่า
หลินเมิ้งหยารู้แจ้งโดยพลัน ดูเหมือนเรื่องของหอป๋ายเฉาจะมีความสำคัญกับราษฎรแห่งเมืองหลินเทียนเป็นอย่างมาก
เพราะเหตุนี้เฉินเปี่ยวเกอจึงอยากให้นางกระโดดเข้ามาช่วยเหลือ
“อีกเดี๋ยวก็จะถึงเมืองหลวงเก่าแล้ว หมากที่ท้ายขบวนของเจ้าถึงเวลาหยิบออกมาใช้งานแล้วหรือยัง?”
หลงเทียนอวี้ก้มหน้ากระซิบเสียงแผ่ว
แม้จะเกิดเรื่องราวมากมายขึ้นระหว่างการเดินทาง แต่ถึงกระนั้นการกักกันซู่เหมยก็มิได้หย่อนคล้อยลงตามเลยแม้แต่น้อย
สุดท้ายซู่เหมยอดรนทนไม่ไหวแสดงสันดานเดิมของนางออกมา นางก่นด่าร้องแรกแหกกระเชอใส่พวกผอจื่อที่ทำหน้าที่จับตามองนางด้วยท่าทางยกตนประหนึ่งผู้เป็นเจ้านาย
แต่คนเหล่านั้นล้วนเป็นคนของอวี้เปี่ยวเกอ ซ้ำยังถูกเฉินเปี่ยวเกอเลือกมาโดยจำเพาะ ดังนั้นจึงไม่มีใครเชื่อฟังนาง
“อีกไม่นานแล้วเพคะ จะหาโอกาสให้นางลอบหนีออกไปเช่นไรดี? การเดินทางในคราวนี้สร้างความลำบากให้นางอย่างใหญ่หลวง หากเปิดโอกาสให้นางหนีไปง่ายๆ เกรงว่าคนอื่นจะต้องมองออกว่าเป็นกลอุบายของพวกเราอย่างแน่นอน แม้นางจะโง่ แต่ผู้อยู่เบื้องหลังนางหาได้เป็นเช่นนั้นไม่”
หลินเมิ้งหยากระตุกยิ้มซุกซน สำหรับนางแล้ว ซู่เหมยเป็นเพียงกรวดล่อหยก [1] เท่านั้น
แน่นอนว่านางยังจำคำพูดของหงอวี้ได้ขึ้นใจ
เกรงว่าเมื่อถึงเมืองหลวงเก่าแล้ว ฐานะของนางจะต้องเลื่องลือลั่นแไปทั่วทุกหนแห่งอย่างแน่นอน
ดังนั้นนางจะต้องระมัดระวังให้ดี เมื่อถึงเวลานั้นตนเอง หลงเทียนอวี้และอวี้เปี่ยวเกอจึงจะสามารถจับปลาในน้ำขุ่นได้มิใช่หรือ?
“ก็จริง ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”
หลงเทียนอวี้ควบม้าเข้าไปปรึกษากับจั่วชิวอวี้
การเดินทางค่อนข้างกินเวลานาน แม้จะได้เห็นคนมากหน้าหลายตา แต่ด้วยอุปนิสัยของหลินเมิ้งหยาแล้ว การนั่งอยู่แต่ในรถม้าเป็นเวลานานทำให้นางอึดอัดใจไม่น้อย
ขบวนรถม้าเดินทางมาถึงตำบลที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงเก่าไม่ไกลนัก ในที่สุดหลินเมิ้งหยาก็มีโอกาสลงจากรถม้า
ผู้คุ้มกันของนางแต่ละคนล้วนหล่อเหลาโดดเด่น ตำบลนี้ไม่ใหญ่ทว่ากลับมีคนมากมาย
ดังนั้นเวลาเพียงเสี้ยวพริบตา องครักษ์ประจำตัวนางทั้งสามจึงตกเป็นที่หมายปองของหญิงสาว
หลินเมิ้งหยาทำได้เพียงหยักยิ้มน้อยๆ ให้กับสายตาอิจฉาระคนริษยาเหล่านั้น
ไม่มีทางเลือก ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาแห่งความหลงใหลของดรุณีวัยแรกรุ่นอย่างพวกนาง
ส่วนตัวนางเองน่ะหรือ ทำได้เพียงนั่งเงียบประหนึ่งฉากหลังของพวกเขาทั้งสาม
แม้ตำบลแห่งนี้จะไม่ใหญ่ แต่เพราะเป็นทางผ่านสู่เมืองหลวงเก่า ดังนั้นจึงมีโรงเตี๊ยมเรียงรายเป็นจำนวนมาก
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีร้านยาและโรงหมอจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
เพียงก้าวเข้ามาสู่ตำบลแห่งนี้ คนประสาทสัมผัสว่องไวอย่างหลินเมิ้งหยาก็ได้กลิ่นยาสมุนไพรมากมายที่ลอยมาตามลม
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพวกพ่อค้าจำนวนมากจงใจนำสมุนไพรธรรมดาๆ มาสร้างความตื่นตาให้กับคนทั่วไป
หลิวซวนจัดการงานได้รอบคอบกว่าจั่วชิวอวี้มาก
เขาเหมาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งไว้ทุกห้อง หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว เขาจึงอนุญาตให้ทุกคนเข้าไปได้
หลินเมิ้งหยามั่นใจว่าชายคนนี้จะต้องเกิดราศีกันย์ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำขั้นรุนแรง
แต่เพราะหลิวซวนยังคงปฏิบัติต่อนางอย่างมีมารยาท ดังนั้นนางจึงยังมิได้คิดบัญชีเก่าที่เขาว่าร้ายหลงเทียนอวี้
“คืนนี้พักผ่อนที่นี่เถิด พรุ่งนี้พวกเราก็จะเดินทางถึงเมืองหลวงเก่าแล้ว ฝ่าบาทรับสั่งเอาไว้แล้วว่าจะมีคนมารับพวกเราเมื่อเดินทางไปถึงเมืองหลวงเก่า”
แม้หลินซวนจะเพิ่งเข้าร่วมการเดินทาง แต่เขากลับเข้าใจสถานการณ์ดีกว่าจั่วชิวอวี้
ยิ่งไปกว่านั้นยังแสดงให้เห็นอีกว่าเฉินเปี่ยวเกอเชื่อใจเขาเป็นอย่างมาก
แต่ยิ่งเป็นแบบนี้หลินเมิ้งหยาก็ยิ่งสงสัย เฉินเปี่ยวเกอไม่รู้หรือว่าหลิวซวนมีความแค้นกับสกุลหลง?
ซ้ำยังส่งหลิวซวนมาต้อนรับพวกนาง พระองค์ไม่กลัวหรือว่าพวกเขาจะต่อสู้กัน?
แม้จะสงสัยแต่หลินเมิ้งหยามิใช่เด็ก
บางทีเฉินเปี่ยวเกออาจมีเหตุผลของเขา
“ลำบากเจ้าแล้ว”
หลินเมิ้งหยาหโค้งตัวก่อนจะหมุนตัวเดินขึ้นไปยังห้องของตนเองบนชั้นสอง
ห้องหับกว้างขวางงดงามสว่างไสว มิได้หันหน้าเข้าหาถนนหรืออยู่มุมด้านข้าง การตกแต่งหรูหราสะอาดสะอ้าน หลินเมิ้งหยายืนชิดริมขอบหน้าต่าง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่
ระบบเซินหนงทำงานอัตโนมัติ รายชื่อยาสมุนไพรปรากฏในสมองของนางหลายสิบชนิด
ทั้งที่เป็นเพียงตำบลเล็กๆ แต่กลับได้รับอิทธิพลมากมายถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าคนในเมืองหลวงเก่าจะมีความรู้ทางการแพทย์ทุกคนหรือไม่
เฉินเปี่ยวเกอพูดถูกแล้ว ที่นี่เหมาะกับอวี้เปี่ยวเกอยิ่งนัก
ไม่ว่าในพระราชวังแห่งต้าจิ้นหรือจวนเซิ่นจวิ้นอ๋องแห่งเมืองหลินเทียน ทุกที่ล้วนฉุดรั้งความสามารถของเขาไว้ทั้งสิ้น
หากได้อยู่ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้ อีกทั้งยังมีการแข่งขันรออยู่เบื้องหน้า แม้แต่นางเองก็รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย
เมื่อเข้าสู่ช่วงดึก ซู่เหมยที่กำลังกระวนกระวายใจผลักประตูห้องนอนของตนเองให้เปิดออก
สายตาอาฆาตจับจ้องขึ้นไปบนชั้นสองของโรงเตี๊ยม หัวใจก่นด่าสาปแช่งผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้น!
ฮึ แม้นางจะคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าหลินเมิ้งหยาไม่มีทางเชื่อคำพูดของนางง่ายๆ
แต่ใครจะคิดเล่าว่านางจะสั่งให้คนจับตามองตนเองทุกสิบสองชั่วโมงเช่นนี้
อย่าว่าแต่จะกินข้าวเลย ขนาดจะเดินออกจากห้องยังถูกผอจื่อร่างกำยำสองคนจับตามอง
ผอจื่อเหล่านั้นหยิ่งทะนงยิ่งนัก โชคดีที่ตอนนี้อยู่ห่างจากเป้าหมายไม่ไกลแล้ว ดังนั้นการเฝ้าระวังของพวกผอจื่อจึงผ่อนปรนลง
ซู่เหมยอาศัยจังหวะที่พวกผอจื่อดื่มมากเกินไปแอบหนีออกมา
เดินหลบๆ ซ่อนๆ ออกจากประตูหลังของโรงเตี๊ยม ก่อนจะหยุดฝีเท้าบนถนนร้างผู้คน
หันซ้ายหันขวาก่อนจะหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมาวาดเป็นสัญลักษณ์บางอย่างบนกำแพงโดยสัญลักษณ์นั้นมิได้ดึงดูดสายตาผู้ใด
คนผู้นั้นบอกว่าหากนางมีโอกาสก็ให้นางวาดสัญลักษณ์เอาไว้เพื่อเตือนพวกเขา
แม้หลินเมิ้งหยาจะจับตามองอยู่ตลอดเวลา แต่นางก็แอบวาดสัญลักษณ์เอาไว้ทุกครั้งที่มีโอกาส
เหยียดยิ้มภาคภูมิใจก่อนซู่เหมยจะกลับไปยังที่พักของตนเอง
พวกผอจื่อเล่าว่าเมืองหลวงอยู่อีกไม่ไกลแล้ว ฮึ เมื่อถึงที่นั่นนางจะทำให้หลินเมิ้งหยาได้รู้ว่าใครกันแน่คือผู้ชนะ
ซู่เหมยคิดว่าไม่มีใครล่วงรู้ถึงสิ่งที่นางกำลังทำ ทว่าการกระทำของนางทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของคนผู้หนึ่ง
เจ้าของดวงตาคู่นั้นกลายเป็นเงาดำขยับผ่าน เพียงพริบตาเดียวสัญลักษณ์ของซู่เหมยก็ถูกแผ่นไม้ปิดเอาไว้จนแทบมองไม่เห็น
ส่วนสัญลักษณ์อันนี้จะได้ปรากฏออกมาอีกครั้งเมื่อไหร่นั้น มีเพียงเจ้าของเงาดำเท่านั้นจะตอบได้
ซู่เหมยกอดความดีใจกลับไปยังห้องของตนเอง ทว่าทางด้านของหลินเมิ้งหยากำลังเผชิญหน้ากับสงคราม
พ่ายแพ้ให้กับหลิวซวนสามรอบติดต่อกัน สุดท้ายจึงเปลี่ยนตัวให้หลงเทียนอวี้เป็นฝ่ายเข้าไปแก้แค้นแทน
มีคนกล่าวว่าหมากก็เหมือนกับคน ในสายตาของหลินเมิ้งหยา แม้หลิวซวนจะมีการเคลื่อนไหวที่เฉียบคม แต่ถึงกระนั้นหมากของเขาก็ถูกนางกินไปไม่น้อย
นางที่ไม่มีความสามารถทางด้านหมากล้อม จึงรู้สึกมิต่างอันใดจากเด็กที่โดนผู้ใหญ่รังแก
โทสะพุ่งสูง สุดท้ายมีเพียงหลงเทียนอวี้เท่านั้นที่จะแก้แค้นให้นางได้
“อ๋องอวี้ฝีมือยอดเยี่ยมยิ่งนัก คาดว่ากลอุบายเองก็คงล้ำลึกอย่างแน่นอน”
เพียงเผชิญหน้ากับหลงเทียนอวี้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม น้ำเสียงแข็งกระด้างพลันหลุดออกจากปากของหลิวซวน
“แค่เดินหมากเท่านั้น มิเกี่ยวข้องกับกลอุบายใดๆ”
นิ้วมือหยิบหมากดำขึ้นมา หลงเทียนอวี้รักษาอารมณ์ให้สงบนิ่ง
“ฮึ คนสกุลหลงล้วนมีเล่ห์กล ลืมบุญคุณคน ตกบ่อแล้วยังโยนหินใส่ เรื่องเหล่านี้คงเคยทำไม่น้อย”
วางหมากลงหนึ่งตัว คำพูดของหลิวซวนไร้ซึ่งความเกรงใจ
หลงเทียนอวี้ลืมตาขึ้นชำเลืองมองเขาหนึ่งหน แม้จะรู้สึกไม่พอใจอยู่หลายส่วน แต่ถึงกระนั้นสีหน้าก็ยังคงสงบนิ่ง
“คำพูดเหล่านั้นล้วนเป็นเพียงคำให้ร้าย พวกเราสกุลหลงเป็นคนซื่อตรง เมื่อเทียบกับพวกลอบยิงเกาทัณฑ์ทำร้ายผู้อื่นแล้วย่อมมีความเปิดเผยตรงไปตรงมากกว่านัก”
กลิ่นดินปืนระหว่างคนทั้งคู่ฉุนกึก
แม้แต่คนไม่รู้ร้อนรู้หนาวอย่างจั่วชิวอวี้ยังมีเหงื่อผุดพรายขึ้นบนหน้าผาก
หันมาสบตากับหลินเมิ้งหยา ทว่าอีกฝ่ายกลับมีท่าทีผ่อนคลาย
แปลก เมื่อหลายวันก่อนยังออกโรงปกป้องฟู่จวินของตัวเองอยู่เลยมิใช่หรือ? เหตุใดวันนี้ถึง……
“เปิดเผยตรงไปตรงมา? ข้าว่าเป็นเพียงแค่คำแอบอ้างลวงหลอกแต่เพียงเท่านั้น แต่ไม่ว่าคราวนี้เจ้ามีกลอุบายอันใด ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าทำสำเร็จ!”
ตึง
กระดานหมากถูกหลิวซวนปัดทิ้งลงพื้น หมากล้อมกระเด็นกระจัดกระจาย หัวคิ้วของหลิวซวนขมวดมุ่น ท่าทางประหนึ่งพร้อมจะพุ่งตัวเข้าหาหลงเทียนอวี้
หลินเมิ้งหยารีบเข้ามาขวางหน้าหลงเทียนอวี้ ก่อนจะจ้องหลิวซวนด้วยสายตาเคร่งขรึม
“ข้าไม่สนใจหรอกว่าเจ้ามีเรื่องเข้าใจผิดอันใดต่อสกุลหลง แต่ขอให้เจ้าเชื่อข้าสักครั้งว่าหลงเทียนอวี้ไม่มีทางทำเรื่องไม่ดีต่อเฉินเปี่ยวเกอ ข้าขอรับปากเจ้าด้วยชีวิตของข้า”
สายตาหลิวซวนเย็นเยียบ แต่เขาไม่ยอมถอยหนี
ทว่าสายตาที่จ้องมองหลินเมิ้งหยากลับมีความรู้สึกอื่นเจืออยู่ด้วย
ชั่วอึดใจต่อมาหลิวซวนสะบัดกายออกจากห้อง เขาพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อที่จะระงับโทสะของตนเอง
“อวี้เปี่ยวเกอ ท่านไปดูสักหน่อยเถิด อย่าให้เกิดเรื่องขายหน้าอันใดเลย”
จั่วชิวอวี้กล่าวอะไรไม่ออก สุดท้ายทำได้เพียงวิ่งตามไป
ภายในห้องจึงเหลือเพียงหลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้
สุดท้ายหลินเมิ้งหยาจึงทอดถอนหายใจยาว
———————
หมายเหตุ
[1] กรวดล่อหยก หมายถึงคนที่ถูกนำมาใช่ล่อลวงศัตรูออกมา