ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 16 บทที่ 478 พวกเรามาคุยกันเถิด
หลินเมิ้งหยาก้มตัวลงเก็บหมากบนพื้นทีละเม็ด
หลงเทียนอวี้จ้องนางเขม็ง เขาเข้าใจความคิดของนางดี
“เจ้าจงใจยั่วยุเขาใช่หรือไม่?”
หลงเทียนอวี้รับหมากในมือของนางไป สายตาเจือความสงสัยอยู่หลายส่วน
“เพคะ หม่อมฉันอยากรู้ว่าเหตุใดเขาจึงตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์”
แม้หลินเมิ้งหยาจะรู้สึกหงุดหงิดที่หลงเทียนอวี้ต้องถูกตะคอก แต่นางกลับพบว่าอันที่จริงหลิวซวนไม่ได้ตั้งตนเป็นศัตรูกับหลงเทียนอวี้เพียงคนเดียว
ราวกับเขามองเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ของต้าจิ้นเป็นศัตรูของเขา
เหตุที่วันนี้นางพยายามบีบคั้นหลิวซวนจนถึงขั้นนี้ นั่นก็เพราะนางคิดว่าเขาจะเผยความลับออกมา
แต่ผลปรากฏว่าหลิวซวนเอ่ยเพียงคำสองคำเท่านั้น
แต่ถึงกระนั้นหลินเมิ้งหยาก็พอจะคาดเดาบางอย่างจากคำพูดของเขาได้
เก็บหมากจนหมด ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของนางเริ่มทำงาน
ดวงตากลมโตคู่สวยเปล่งประกาย แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร แต่เขามั่นใจว่านางกำลังจ้องตนเอง
แม้แต่หลงเทียนอวี้ยังอดที่จะรู้สึกขนลุกไม่ได้
นางกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?
“ท่านอ๋องอวี้ มิทราบว่ามีองค์หญิงอายุราวสิบแปดถึงยี่สิบห้าปีแห่งต้าจิ้นเคยออกเดินทางเที่ยวเล่นโดยมิสนใจกฎระเบียบบ้างหรือไม่?”
มองดวงตาสุกสกาวของหลินเมิ้งหยา หลงเทียนอวี้พยายามครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า
“แปลกจริงเชียว หากมิใช่เพราะถูกสาวน้อยแห่งสกุลหลงลวงหลอก เช่นนั้นเหตุใดเขาจึงเอ่ยออกมาเช่นนั้นเล่า? หากภายภาคหน้ามีเวลา หม่อมฉันจะต้องง้างปากอวี้เปี่ยวเกอให้คายเรื่องเหล่า านั้นออกมาให้จงได้”
ความอยากรู้อยากเห็นคือพลังอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์
หลินเมิ้งหยาตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะต้องขุดเรื่องราวความเสียใจของหลิวซวนออกมาให้ได้ ขอเพียงมีเวลา นางจะจับตามองเขาไม่ให้คลาดสายตาเลยทีเดียว
ขอเพียงหลิวซวนหันหน้ามาส่งยิ้มให้นาง หลินเมิ้งหยาพร้อมที่จะส่งยิ้มหวานหยดย้อยให้เขาในทันที
แม้แต่คนขี้หึงอย่างหลงเทียนอวี้ยังรู้สึกโชคดีที่คนที่ถูกนางจับตามองมิใช่ตนเอง
เขาผันตัวไปยืนดูละครฉากสนุกข้างสนามกับจั่วชิวอวี้
แสงแดดส่องกระทบใบหน้านวลงาม หลินเมิ้งหยาวางแขนพาดหน้าต่างด้วยท่วงท่าสง่างามแล้วแนบศีรษะลงไป
สีหน้าท่าทางอ่อนโยน ทว่า…….
“ใต้เท้าหลิวเหนื่อยหรือไม่? กระหายหรือไม่? อยากเข้ามาดื่มชาสักหน่อยหรือไม่?”
แย้มยิ้มหวานหยดย้อย น้ำเสียงหวานเลี่ยนชวนขนลุก
หลิวซวนรู้สึกเย็นยะเยือกตั้งแต่ต้นคอไปจนถึงแผ่นหลัง เขารีบส่ายหน้าปฏิเสธ
แม่นางคนนี้เอาแต่จ้องเขาตั้งแต่ออกเดินทางแล้ว
“เจ้าเข้าใจข้าผิดไปแล้ว วางใจเถิด ข้าหาได้คิดร้ายกับเจ้าไม่ แต่ข้าคิดว่าก่อนหน้านี้จะต้องมีเรื่องเข้าใจผิดเกิดขึ้นระหว่างพวกเราอย่างแน่นอน ฉะนั้นข้าจึงอยากเปิดใจคุยกับเจ้า เจ้าคิดเห็นเช่นไรเล่า?”
ยิ่งได้เห็นท่าทางการเกลี้ยกล่อมของนาง หลิวซวนยิ่งรู้สึกเลื่อมใสนางยิ่งนัก
น่าเสียดายที่ข้างกายเขามีสหายเก่งกาจดั่งเทพเซียนอยู่ด้วยถึงสองคน แต่ละคนล้วนพยายามยัดเยียดเขาให้เข้าไปทำความรู้จักกับหลินเมิ้งหยา
ยิ่งได้เห็นท่าทางต้อนรับขับสู้ของหลินเมิ้งหยาแล้ว หลิวซวนอยากจะมีขาเพิ่มแล้ววิ่งหนีไปให้เร็วยิ่งกว่านี้
“ฮึไม่มีประโยชน์ ข้าคิดว่าเขาจะมีความกล้ามากกว่านี้เสียอีก ขี้ขลาด!”
การเดินทางของพวกเขาค่อนข้างรวดเร็ว อวี้เปี่ยวเกอส่งข่าวมาบอกว่าช่วงพลบค่ำก็จะเดินทางถึงเมืองภายนอกเมืองหลวงเก่าแล้ว
เมืองหลวงแบ่งออกเป็นเมืองภายในและเมืองภายนอก โดยทั้งหมดมีแปดประตูเมือง
แต่เดิมพระราชวังของฮ่องเต้และหอป๋ายเฉาล้วนอยู่ในเมืองภายใน ยิ่งไปกว่านั้นยามรุกก็สามารถบุกโจมตีได้ ยามถอยก็สามารถตั้งแนวป้องกันได้เช่นเดียวกัน
ทว่าตอนนี้อวี้เปี่ยวเกอย้ายเมืองหลวงไปอยู่อีกแห่งหนึ่งแล้ว ดังนั้นพระราชวังเก่าจึงมีเชื้อพระวงศ์คอยดูแล ส่วนอุทยานหลวงบางแห่งล้วนอยู่ภายใต้การดูแลของหอป๋ายเฉา
หลินเมิ้งหยาได้ยินคำบอกเล่าเช่นนั้นถึงกับชะงัก
นางไม่รู้เลยว่าผู้ควบคุมอำนาจของหอป๋ายเฉาใจกล้าบ้าบิ่นหรือมัวเมาลุ่มหลงลาภยศจนขาดสติ
แม้ฮ่องเต้จะไม่ต้องการอุทยานหลวงแล้ว แต่ก็มิอาจตกอยู่ในเงื้อมมือผู้อื่นได้ง่ายๆ
บางทีนี่อาจเป็นไปตามคาดเดาของเฉินเปี่ยวเกอ หลังจากพวกเขาถูกเลี้ยงดูมานานหลายปี พวกคนในหอป๋ายเฉาจึงเกิดความคิดไม่บังควรขึ้นมา
อากาศยามอู่ร้อนอบอ้าวยิ่งนัก
หลินเมิ้งหยาเดินออกจากรถม้าเพื่อหาสถานที่พักผ่อนจิบชารับความเย็น
หลิวซวนอ้างว่าขอออกไปดูสถานการณ์ด้านหน้าเพื่อหลบหน้านาง
มองดูท่าทางหลบๆ ซ่อนๆ ของหลิวซวน หลินเมิ้งหยารู้สึกอยากขำ
ท่าทางไล่ต้อนผู้อื่นของเขาเมื่อหลายวันก่อนหายไปไหนหมดแล้วเล่า?
“ข้าว่านะเสี่ยวเปี่ยวเม่ย คนที่เจ้าจับจ้องล้วนอับโชคทั้งสิ้น เฮ้อ โชคดีเหลือเกินที่น้องเขยของข้ารับเจ้าเอาไว้ มิเช่นนั้นใครจะข่มปีศาจเช่นเจ้าเอาไว้ได้”
จั่วชิวอวี้ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ
แน่นอนว่าสิ่งที่เขาได้รับกลับไปคือดวงตาถลึงโตของสองสามีภรรยา
หลงเทียนอวี้ถูกหลินเมิ้งหยาจัดการจนอยู่หมัด ตอนนี้ทั้งคู่เปรียบเสมือนคนที่ใช้หู ตา จมูก ปากร่วมกัน
“ดื่มน้ำเถิด”
น้ำอุ่นถ้วยหนึ่งยื่นเข้ามาตรงหน้าหลินเมิ้งหยา
หลงเทียนอวี้รู้ดีว่านางไม่ชอบชารสชาติขมฝาด แต่เพราะป๋ายซ่าวได้รับบาดเจ็บ ปกติแล้วชาดีส่วนใหญ่ล้วนอยู่ที่นางทั้งสิ้น
ดังนั้นตอนนี้หลินเมิ้งหยาจึงได้ดื่มเพียงน้ำเปล่าเท่านั้น
“เพคะ พระองค์ไม่รู้สึกว่าพวกเรามาถึงเมืองหลวงเก่าอย่างราบรื่นเกินไปจนผิดปกติเลยหรือ?”
รับน้ำเปล่าจากหลงเทียนอวี้ หลินเมิ้งหยาจิบไปหนึ่งอึกก่อนจะกระซิบถาม
ตอนนี้พวกเขาอยู่ห่างจากเมืองหลวงเก่าไม่ไกลแล้ว หลินเมิ้งหยาพบว่าการเดินทางค่อนข้างราบรื่น แม้จะเจอปัญหาที่เมืองเทียนหลงเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นก็ไม่พบเจอปัญหาใดๆ อีก
แน่นอนว่านางเปรียบเทียบสถานการณ์กับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น
“อย่างไรก็ต้องระมัดระวังให้ดี ข้าเองก็รู้สึกแปลกใจเช่นเดียวกัน แต่ถึงกระนั้นพวกเราก็พบหางของพวกเขาจำนวนไม่น้อย แต่คนเหล่านั้นกลับไม่กล้าบุกเข้ามา”
หลงเทียนอวี้มีสัญชาตญาณว่องไว แม้ตัวของเขาจะติดกับหลินเมิ้งหยา แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณรอบๆ ก็มิอาจเล็ดลอดสายตาของเขาไปได้
นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง หลินเมิ้งหยารู้สึกกังวลใจอยู่หลายส่วน
แต่นางไม่รู้เลยว่าเหล่าผู้คนที่กำลังซุ่มดูอยู่นั้นไม่กล้าบุกเข้ามาเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นมิตรหรือศัตรู
พวกหลินเมิ้งหยาเดินทางมาถึงเมืองหลวงเก่าท่ามกลางบรรยากาศชวนประหลาดใจเช่นนี้
มิเช่นนั้นพวกเขาคงต้องพบเจออันตรายอย่างมากมาย
ดั่งสุภาษิตที่ว่ามีเหามากมิกลัวโดนกัด มีหนี้มากมิต้องกังวล [1]
เมื่อพักผ่อนเพียงพอแล้ว พวกเขาจึงออกเดินทางอีกครั้ง
ไม่นานกำแพงเมืองก็ปรากฏต่อสายตาของทุกคน
อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นยาสมุนไพร อย่าว่าแต่คนจมูกดีอย่างหลินเมิ้งหยาเลย แม้แต่คนธรรมดาเองก็ได้กลิ่นที่แตกต่างกันออกไป
ทุกคนล้วนสูดหายใจลึกเต็มปอดอย่างอดมิได้
ไม่รู้ว่ามีกลิ่นยาสมุนไพรปนเปื้อนอยู่ในอากาศมากน้อยเพียงใด แต่คาดว่าคนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จะต้องไม่เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะอย่างง่ายดายแน่นอน
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เมืองหลวงหลินเทียนมิเคยเกิดโรคระบาดในรอบหลายร้อยปี
หลินเมิ้งหยารู้แจ้งได้ในทันใด เพราะเหตุนี้พวกเชื้อพระวงศ์อายุมากแล้วจึงไม่ยอมย้ายไปยังเมืองหลวงแห่งใหม่
ที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การฟื้นฟูร่างกายโดยธรรมชาติ หากเจ็บป่วยก็สามารถรักษาให้หายได้ แม้ไร้อาการเจ็บป่วยก็สามารถทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นได้
หากมิใช่เพราะใช้ชีวิตเช่นนี้มาหลายร้อยปีแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงมิอาจทำได้เช่นนี้
ที่นี่เป็นสถานที่บำบัดร่างกายชั้นยอด แต่อวี้เปี่ยวเกอกลับต้องการย้ายหอป๋ายเฉาไปยังเมืองหลวงใหม่
ซี้ด….ดูเหมือนจะเจองานยากเข้าให้แล้ว
แม้จะมีประตูเมืองมากถึงแปดประตู แต่มีเพียงสองประตูเท่านั้นที่เปิดเป็นปกติ
ส่วนอีกหกประตูจะเปิดก็ต่อเมื่อมีงานสำคัญ
ช่วงเวลานี้มีคนเข้าออกประตูเมืองจำนวนมาก เพียงมาถึงประตูเมืองก็ต้องต่อแถวยาวเหยียด
เหตุเพราะที่นี่มีคนค่อนข้างมาก หลินเมิ้งหยาจึงไม่จำเป็นต้องลงจากรถม้า
เสียงเอะอะครึกครื้นดังที่ด้านนอก เวลาเพียงไม่นานก็มีคนจำเซิ่นจวิ้นอ๋องและหลิวซวนได้
แม้จะไม่อาจหลีกเลี่ยงความเกรงอกเกรงใจไปได้ แต่หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าตนเองโชคดีเหลือเกินที่ไม่ต้องหยักยิ้มโค้งตัวอยู่ด้านนอก
“ในเมื่อเซิ่นจวิ้นอ๋องเสด็จมาแล้ว เช่นนั้นคนในรถม้าก็คืออันเล่อจวิ้นจู่ใช่หรือไม่? ข้าได้ยินมาว่าอันเล่อจวิ้นจู่เปรียบดั่งอัญมณีของประเทศ เหตุใดเซิ่นจวิ้นอ๋องจึงมิเชิญเสด็จ อันเล่อจวิ้นจู่ลงมาเพื่อให้พวกเราได้เห็นเป็นบุญตาสักหน่อยเล่า?”
สายตาเย็นชาทะลุผ่าน่างชายที่สวมใส่เสื้อผ้าหลากสีดั่งผีเสื้อ
ทว่าชายคนนั้นกลับแสร้งทำท่าทีไร้เดียงสา ราวกับมองไม่เห็นใบหน้าหล่อเหลาถมึงทึงของอีกฝ่าย
“คือ…คงไม่สะดวกนัก ญาติผู้น้องของข้ามิชอบบรรยากาศแออัด ยิ่งไปกว่านั้นอายุนางยังน้อย มิชอบสนทนาพาทีเท่าไร เกรงว่าจะทำให้พวกท่านขัดใจเสียเปล่าๆ”
แม้จั่วชิวอวี้จะเอื้อนเอ่ยอย่างมีมารยาท แต่เขารู้สึกรังเกียจคนเหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง
แอบชำเลืองมองหลงเทียนอวี้ เมื่อพบว่าอีกฝ่ายกำลังมีโทสะ เขาจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาทันที
“คุณชายจู ได้ยินมาว่าพ่อของท่านเองก็มาด้วย?”
ชายที่ถูกเรียกว่าคุณชายจูหรี่ตาเล็กลงเป็นขีดเดียว ก่อนจะส่งเสียงโอ้อวด
“แน่นอนอยู่แล้ว พวกเราสกุลจูอาจกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในคราวนี้ หากการนี้สำเร็จ ภายภาคหน้าคงต้องฝากฝังให้จั่วซงช่วยชี้แนะแล้ว”
คำพูดนี้จงใจเอ่ยยั่วยุจั่วชิวอวี้
เขาเป็นเพียงลูกขุนนางเท่านั้น แต่บัดนี้คิดขึ้นครองตำแหน่งในหอป๋ายเฉา อีกทั้งยังบังอาจถือตัวเป็นพี่น้องกับเขา
โทสะแล่นพล่าน แต่กลับมิอาจทำอะไรได้
แน่นอนว่าหลินเมิ้งหยาได้ยินสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด
สีหน้าเย็นเยียบ คนเหล่านี้กำลังรนหาที่ตาย!
ดวงตาเคลื่อนคล้อยไปอีกทาง นางคิดแผนบางอย่างออกแล้ว
จัดแต่งชุดของตนเอง มืองดงามดั่งหยกยื่นออกไปเปิดหน้าต่างรถม้าออก
“เฮ้อ บนรถม้าน่าเบื่อยิ่งนัก เปี่ยวเกอ เมื่อไหร่พวกเราจะถึงเสียที?”
———————–
หมายเหตุ
[1] มีเหามากมิกลัวโดนกัด มีหนี้มากมิต้องกังวล หมายถึง อย่ากังวลมากจนเกินไป