ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 16 บทที่ 479 ขยับกีบเท้าหน้า
ผู้คนรอบตัวจั่วชิวอวี้และพวกคุณชายทั้งหลายต่างรู้สึกว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกมาช่างหวานใสเย้ายวนยิ่งนัก
น้ำเสียงไพเราะเสนาะหู หากเสียงนี้ร้องเรียกชื่อตนเองดูสักครั้งคงรู้สึกอิ่มเอมใจไม่น้อย
สายตาของทุกคนเบนไปมองยังทิศทางเดียวกัน สิ่งที่พวกเขาได้เห็นคือแขนเรียวยาวงดงามดั่งหยกข้างหนึ่งที่กำลังยื่นออกมา
จากนั้นใบหน้านวลเรียวเล็กรูปไข่ก็พลันปรากฏต่อสายตาทุกคน
เพียงมุมปากของนางยกขึ้น สตรีทั้งใต้หล้าล้วนหมดความน่าสนใจในบัดดล
เสียงเอะอะโวยวายเมื่อครู่จึงสงบลงกะทันหัน
“เปี่ยวเม่ย พวกเราใกล้จะถึงแล้ว”
หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง จั่วชิวอวี้จึงตอบ
ครู่ต่อมาเขาจึงแสดงให้เห็นถึงฐานะของสาวงามตรงหน้า
หลินเมิ้งหยาแสดงท่าทีเหมือนเพิ่งเห็นว่ารอบตัวของญาติผู้พี่มีเหล่าบุรุษยืนล้อมรอบอยู่มากมาย
มือเล็กยกขึ้นปิดปากราวกับตกใจเสียเต็มประดา จากนั้นจึงส่งเสียงพึมพำ
“เปี่ยวเกอน่าจะบอกข้าก่อน!”
ดวงตาสั่นไหว เผยท่าทางขวยเขินประหนึ่งสาวน้อย อย่าว่าแต่คุณชายเหล่านั้นเลย แม้แต่จั่วชิวอวี้เองก็รู้สึกตื่นตะลึง
นี่นางคิดจะทำอะไรกันแน่?
“ท่านนี้คือ….อันเล่อจวิ้นจู่? สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น จวิ้นจู่งดงามยิ่งนัก งดงามปานนางฟ้านางสวรรค์!”
คุณชายจูเอื้อนเอ่ยเปิดเผยตัวตนของนาง ซ้ำสายตายังเปล่งประกายระยิบระยับ
แม้เขาจะแสดงท่าทางราวกับคุณชายสูงศักดิ์ แต่อีกเพียงนิดเดียวน้ำลายก็จะไหลย้อยลงมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขามีความคิดไม่ซื่ออยู่ในหัว
หลินเมิ้งหยาหลุบตาต่ำราวกับกำลังขวยเขินเพราะคำพูดนั้น แม้ว่าในใจจะกำลังเหยียดยิ้มเย็นก็ตาม
ขณะที่คิดจะใช้ประโยชน์จากเจ้าคนหื่นกามตรงหน้า เสียงเปี่ยมโทสะพลันดังขึ้นแทรกเสียก่อน
“พระอาทิตย์ตรงหัวแล้ว ระวังจะไหม้เอาได้”
น้ำเสียงแข็งกร้าวเรียกความสนใจจากทุกคน
จากนั้นบุรุษใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมพลันปรากฏกายขึ้น หลินเมิ้งหยารู้สึกกล้ำกลืนอยู่หลายส่วน
นับตั้งแต่วันที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองลึกซึ้งอ่อนหวานยิ่งขึ้น ไม่รู้ว่าบุรุษผู้มักจะมีท่าทางสุขุมเย็นชาหายไปไหนแล้ว
อย่าว่าแต่นางขยับนิดขยับหน่อยก็หึงเลย ตอนนี้หัวคิ้วของเขาขมวดมุ่น สายตาอาฆาตเหลือประมาณ คาดว่ามิใช่นางเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เห็น
“หม่อมฉัน…”
ขณะที่คิดจะหาข้ออ้าง หลงเทียนอวี้กลับดันตัวหลินเมิ้งหยากลับเข้าไปในรถม้า
มองดูหน้าต่างรถม้าตรงหน้าที่กำลังถูกปิดดัง ปัง
ดวงตากลมโตเปล่งประกายราวหยดน้ำของหลินเมิ้งหยาฉายแววเลิ่กลั่ก
นางไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้ถูกหรือไม่ แต่ทุกครั้งที่หลงเทียนอวี้ปกป้องนางเช่นนี้ นางรู้สึกเหมือนกำลังถูกบังคับควบคุม
ยกนิ้วขึ้นนวดขมับ บางทีนางอาจทำเกินไปกระมัง
ถึงอย่างไรเขาก็โยนงานที่ต้าจิ้นทั้งหมดทิ้งแล้วออกเดินทางมายังเมืองหลินเทียนกับนาง
ผู้ชายที่มอบโลกทั้งใบให้นางเช่นนี้คงมีไม่มากแล้ว
ช่างเถิด แล้วแต่เขาแล้วกัน
เมื่อสาวงามถูกดันกลับเข้าไปในรถม้าต่อหน้าต่อตา ด้วยอุปนิสัยของคุณชายจูและพวกคุณชายสูงศักดิ์แล้วย่อมไม่พอใจ
ยิ่งไปกว่านั้นบุรุษตรงหน้ายังมีใบหน้าหล่อเหลา ดังนั้นหลงเทียนอวี้จึงกลายเป็นหนามยอกอกของพวกเขาไปเสียแล้ว
หลงเทียนอวี้จ้องพวกคุณชายเหล่านั้นเขม็ง ก่อนมุมปากจะกระตุกยิ้มเย็น
แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยปล่อยให้ใครแย่งของของตนเอง
โดยเฉพาะพระชายาของเขา
ยกแขนขึ้นกอดอก นั่งบนหลังม้าด้วยท่วงท่าสง่างามขณะหลุบตาต่ำมองคนเหล่านั้น สายตาบ่งบอกว่าพวกเขาเป็นเพียงขยะข้างทางเท่านั้น
“ได้ยินมาว่าอันเล่อจวิ้นจู่อภิเษกไปแล้ว นี่น่ะหรืออ๋องอวี้แห่งต้าจิ้น?”
จงใจกระแทกเสียง จากนั้นพวกลูกน้องของคุณชายจูก็ส่งเสียงหัวเราะแข็งทื่อ
แววตาของหลงเทียนอวี้เริ่มขุ่นมัว ความเย็นชาแผ่ออกจากร่าง เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มรูปงามเช่นนี้มิใช่คนที่ใครจะสามารถดูถูกได้
บางคนที่มีความฉลาดเฉลียวมองออกว่าอ๋องอวี้มิใช่คนธรรมดา
ดังนั้นจึงรีบเก็บรอยยิ้มแล้วเก็บซ่อนสายตา แต่ถึงกระนั้นก็ยังคิดว่าที่นี่เป็นเมืองหลวงเก่าของเมืองหลินเทียน อ๋องอวี้ไม่มีทางลงมืออันใดได้อย่างแน่นอน
“จั่วชิวอวี้ กฎหมายของเมืองหลินเทียนมีบทบัญญัติเรื่องการลงโทษเชื้อพระวงศ์แคว้นอื่นหรือไม่?”
หลงเทียนอวี้เอ่ยถามเสียงเย็น จั่วชิวอวี้รีบส่ายหน้าด้วยสีหน้าขมขื่น
แน่นอนว่าเขามิได้สงสารพวกคุณชายจู แต่ว่า……
ตอนนี้เขาอยู่ใกล้มากจนเกินไป หาก….หากเลือดกระเซ็นใส่เสื้อผ้าของเขาจะทำอย่างไรเล่า?
หลิวซวนสังเกตเห็นแล้วว่าเหตุการณ์ตรงหน้าเริ่มไม่ปกติ เขาคิดอยากเข้าไปห้าม แต่น่าเสียดายที่จั่วชิวอวี้คว้าข้อมือของเขาเอาไว้แล้วดึงตัวเขาถอยหลัง
“เช่นนั้นก็ดี”
สิ้นเสียง คุณชายจูที่ยืนกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างย่ามใจอยู่ตรงนั้น หน้าอกของเขาพลันถูกกระแทกอย่างแรงราวกับถูกขาข้างหนึ่งเตะจนกระเด็นออกไป
ท่ามกลางสายตาของทุกคน ร่างของเขาลอยขึ้นฟ้าแล้วร่วงลงกระแทกพื้นดินอย่างแรง
เสียงของแรงกระแทกทำให้พวกคุณชายที่เหลือยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่
หลงเทียนอวี้มิได้ลงจากหลังม้า สายตายังคงเปี่ยมไปด้วยแรงอาฆาตประหนึ่งสัตว์ป่าดุร้ายกำลังจับจ้องลูกหมูก็มิปาน
คนที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดเท่านั้นจึงจะเห็นว่าอันที่จริงแล้วหลงเทียนอวี้ใช้เพียงกระดุมเม็ดเล็กๆ บนแขนเสื้อของเขาเท่านั้น…
“เจ้า…เจ้าบังอาจนัก! ที่นี่คือแผ่นดินของเมืองหลินเทียน หาใช่บ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างต้าจิ้นไม่!”
คุณชายจูสูดลมหายใจขณะพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้น
นิ้วกลมดั่งหัวไชเท้าชี้หน้าหลงเทียนอวี้ ขณะเดียวกันเขาก็ถ่มโลหิตสีแดงสดลงพื้นพร้อมทั้งส่งเสียงก่นด่าระบายโทสะ
“บ้านป่าเมืองเถื่อน?”
กลีบปากบางของหลงเทียนอวี้เหยียดยิ้มเย็น
ในเมื่ออีกฝ่ายอุตส่าห์มอบตำแหน่งคนเถื่อนให้ หากเขาไม่ทำเรื่องโหดร้ายอำมหิตสักหน่อย เช่นนั้นจะมิเป็นการเสียชื่อหรือ?
คุณชายจูลุกขึ้นยืนเพราะมีคนเข้าไปประคอง
แต่ใครจะคาดคิดเล่าว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้แสดงท่าทางเย่อหยิ่งออกมาอีกครั้ง กีบเท้าม้าสีดำทะมึนคู่หนึ่งจะกระโจนเข้าหาตนเอง
ทุกคนที่อยู่รอบๆ รีบเอี้ยวตัวหลบ
ส่วนคุณชายจูตกอยู่ในสถานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขามิอาจหนีไปทางใดได้
“อ๊าก...”
ร่างของคุณชายจูถูกกีบเท้าของม้ากดลงบนพื้น
ด้วยคำสั่งของหลงเทียนอวี้ ม้าตัวนั้นออกแรงย่ำกีบเท้าอีกสองสามครั้งบนร่างของคุณชายจู
หลังจากได้ยินเสียงแผดร้องด้วยความเจ็บปวดอยู่หลายหน ม้าของหลงเทียนอวี้ขยับเท้าออกมายืนด้านข้างราวกับมิได้ทำอะไรลงไปเลยแม้แต่น้อย
ผิดกับคุณชายจูที่กำลังพยายามสูดลมหายใจเข้าออก ท่าทางมิต่างจากคนใกล้หมดลมหายใจ
ทุกคนมองภาพตรงหน้าอย่างอึ้งงัน ไม่มีใครคาดคิดว่าหลงเทียนอวี้จะลงมือเช่นนี้
แม้แต่หลินเมิ้งหยาที่อยู่บนรถม้ายังต้องแอบมองผ่านหน้าต่าง
ใครใช้ให้เจ้าคุณชายจูนั่นปากดีเช่นนั้นเล่า สมน้ำหน้า!
“เจ้า…เจ้า…ซวยแล้ว!”
หลังจากนั้นหลายนาทีจึงมีเสียงเอะอะดังขึ้น
ท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านั้น บางคนก็รู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
ส่วนคุณชายจูที่เป็นลมสลบไปแล้วถูกพรรคพวกของตนเองประคองร่างขึ้นมา
ขณะเดียวกันใบหน้าที่ต้องฝืนใจมองกลายเป็นจานสีไปเสียแล้ว
ทั้งสีแดง สีขาว สีเทาผสมผสานกันอยู่บนใบหน้านั้น
แม้หลินเมิ้งหยาจะรู้สึกสะใจ แต่ถึงกระนั้นก็พยายามจ้องมองให้ดี
หลงเทียนอวี้จัดการไปเพียงสองสามครั้งก็ทำให้กระดูกของเขาหักหลายซี่ น่าเวทนายิ่งนัก
แต่หากเป็นหลงเทียนอวี้คนก่อนแล้วล่ะก็ ชายผู้นี้คงกลายเป็นผีไปแล้ว
“แยกย้าย แยกย้าย ไม่มีอะไรน่าดูแล้ว”
จั่วชิวอวี้แสดงสีหน้าขมขื่น แม้คุณชายจะสมควรได้รับโทษ แต่ว่า…….
เฮ้อ ชีวิตเขาช่างขมขื่นยิ่งนัก!
เหตุเพราะการกระทำของหลงเทียนอวี้เมื่อครู่ ดังนั้นทุกคนจึงหลีกทางให้พวกเขา
ตอนแรกหลินเมิ้งหยาอยากใช้ประโยชน์จากคุณชายจูคนนั้นเพื่อผ่านเข้าไปโดยเร็ว
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้ไปเสียได้
แม้จะได้ระบายอารมณ์ออกไปบ้างแล้ว ทว่าอารมณ์ของหลงเทียนอวี้ยังไม่ค่อยดีนัก สังเกตได้จากสีหน้าเคร่งขรึมของเขา
ดังนั้นจั่วชิวอวี้จึงไม่เข้าไปยุ่งกับหลงเทียนอวี้ แต่กลับตำหนิหลินเมิ้งหยาที่กำลังฟุบตัวข้างหน้าต่างแทน
“น้องสาว ข้าว่าอารมณ์ของสามีเจ้า….”
เหลือบมองหลงเทียนอวี้ เมื่อมั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยิน เขาจึงกล้าเอ่ยต่อ
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าว่าชายคนนั้นกระดูกหักเพียงไม่กี่ซี่เท่านั้น เจ้าเองก็เห็นว่าเมื่อครู่ตอนผ่านประตูเมืองไม่มีทหารคุ้มกันประตูเมืองมาหาเรื่องพวกเราเลย ภายภาคหน้าระวังตัวเอาไว้ สักหน่อยก็พอแล้ว วางใจเถิด”
หลินเมิ้งหยารู้ดีว่าจั่วชิวอวี้กำลังกังวลเรื่องใด อันที่จริงนางก็มิได้ละเลยเรื่องนี้ แต่ถึงกระนั้นนางก็รู้จักนิสัยของหลงเทียนอวี้ดี
หากถูกดูแคลนเช่นนั้นแล้วยังนิ่งอยู่ได้ เช่นนั้นก็คงมิใช่หลงเทียนอวี้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นคุณชายจูยังได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย หากคนในครอบครัวของเขาพอจะรู้ความอยู่บ้าง คาดว่าคงไม่กล้าเข้ามาหาเรื่องโดยไร้เหตุอย่างแน่นอน
หลายวันมานี้นางมองออกทั้งหมด
อวี้เปี่ยวเกอเป็นคนยอมคน แม้แต่ตอนที่อยู่ในพระราชวังของต้าจิ้น เขาก็ถูกจัดอยู่ในประเภทคนแปลก
ฐานะของเซิ่นจวิ้นอ๋องและอันเล่อจวิ้นจู่เป็นตัวแทนของอะไร บางทีอวี้เปี่ยวเกออาจจะไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้
หากเป็นไปตามที่นางคาดเดา สกุลจูจะต้องหาทางเอาคืนอย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาจะต้องระมัดระวังให้มาก
อันที่จริงนางรู้แจ้งอยู่แก่ใจ ไม่เพียงแค่สกุลจู แต่ทุกตระกูลที่เข้าร่วมการแข่งขันวิชาแพทย์ล้วนต้องการแสวงหาอำนาจทั้งสิ้น
ในเมื่อพวกเขาก้าวเท้าเข้ามาแล้ว เช่นนั้นก็จะต้องต่อสู้กับคนพวกนั้นดูสักตั้ง
ถึงอย่างไรก็อยู่ในฐานะศัตรูมานานแล้ว เช่นนั้นก็ได้ตัดศัตรูไปหนึ่งมิใช่หรือ?
เพียงได้ยินคำพูดของหลินเมิ้งหยา จั่วชิวอวี้ก็เลิกคิดเรื่องนี้
นับตั้งแต่ตอนที่เข้าเมืองมา หลิวซวนมีท่าทางหนักใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าเขาจะพยายามถามเช่นไร แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปริปาก