ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 16 บทที่ 480 เงาดำ
ภายในเมืองหลวงเก่าถนนหนทางแออัด ทั้งยังมีร้านรวงเรียงราย เมื่อเทียบกับเมืองหลวงว่างเทียนแล้วบรรยากาศที่นี่ค่อนข้างสงบกว่าหลายส่วน
หากเปรียบเทียบความมีชีวิตชีวากับเมืองหลวงว่างเทียนแล้วล่ะก็ เมืองหลวงเก่าเปรียบดั่งผู้เฒ่าที่เปี่ยมไปด้วยความรู้และมากประสบการณ์
กลิ่นยาฉุนกึกในอากาศทำให้จิตวิญญาณของหลินเมิ้งหยาตื่นตัว แม้จะนั่งอยู่ภายในรถม้า แต่ก็ยังอดแหวกม่านหน้าต่างชมความครึกครื้นภายนอกไม่ได้
คนที่จั่วชิวเฉินส่งมายืนรอพวกเขาอยู่หน้าประตูเมืองแล้ว
เมื่อมีคนมารับ ไม่นานสถานที่พำนักก็ปรากฏอยู่ในสายตาของหลินเมิ้งหยา
มิใช่โรงเตี๊ยมหรูหราสง่างาม แต่เป็นจวนที่ดูภายนอกเรียบง่าย ทว่าภายในกลับสะอาดสะอ้านเป็นอย่างยิ่ง
“ถึงแล้ว นี่เป็นจวนที่ฮวงซงพักอาศัยครั้งยังเป็นองค์รัชทายาท ข้ากับพระองค์ล้วนเติบโตที่นี่”
จั่วชิวอวี้แนะนำอย่างกระตือรือร้น หลินเมิ้งหยากวาดตามองอย่างละเอียด ประตูไม้โบราณบานใหญ่ แม้ภายในจะมีกำแพงภาพกั้นเอาไว้ แต่ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเสียหาย
พวกเขาเดินเข้าไปภายใน เห็นได้ชัดว่ามีคนเก็บกวาดบริเวณพื้นบ้านสีเข้มจนสะอาดสะอ้าน
เมื่อผ่านประตูเข้ามาจะพบกับสวนขนาดใหญ่ แม้มุมชายคาบ้านจะมีร่องรอยบ่งบอกอายุของจวนที่สร้างขึ้นมาอย่างช้านาน ทว่าความสะอาดและเป็นระเบียบทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกชอบใจยิ่งนัก
“ทูลจวิ้นอ๋อง จวิ้นจู่ ฮ่องเต้รับสั่งว่าได้ตระเตรียมคนคุ้มกันเอาไว้อย่างรัดกุมแล้ว แต่ช่วงเวลาที่อยู่ในเมืองหลวงเก่าแห่งนี้ หวังว่าทุกท่านจะทนอึดอัดใจอยู่แต่เพียงในจวนเท่ านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
หลินเมิ้งหยารู้สึกคุ้นเคยกับพวกคนที่จั่วชิวเฉินส่งมาให้ โดยเฉพาะขันทีนามว่าอวี้อัน เขาค่อนข้างมีไหวพริบและสุขุม
แต่ที่สำคัญเหนือสิ่งใดคือเขาจงรักภักดีต่อจั่วชิวเฉินมาก
จั่วชิวอวี้เคยเล่าว่าอวี้อันผู้นี้อยู่ข้างกายจั่วชิวเฉินมาตั้งแต่เด็ก เมื่อมีเขาคอยช่วยเหลือ งานหลายอย่างของจั่วชิวเฉินจึงลดลงไปได้มาก
“อืม ที่นี่ไม่เลวเลยจริงๆ ฝากขอบคุณเฉินเปี่ยวเกอแทนข้าด้วย”
หลินเมิ้งหยากวาดตามอง ห้องของนางถูกจัดไว้ที่เรือนเล็กทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจวน
แม้บรรยากาศในสวนจะไม่เหมือนกับตำหนักของนาง แต่ถึงกระนั้นก็มีต้นไผ่เขียวขจีอยู่มากมาย ด้วยเหตุนี้แม้จะต้องเดินผ่านเส้นทางคดเคี้ยวก็ไม่รู้สึกเหนื่อย
เดินไปข้างหน้าตามทางหินกรวด ในที่สุดเรือนหลังหนึ่งก็ปรากฏในลานสายตาของนาง
“นี่คือเรือนที่ฮ่องเต้ตั้งใจเตรียมเอาไว้ให้จวิ้นจู่เป็นพิเศษ กระหม่อมคงมิอาจปิดบัง อันที่จริงฝ่าบาทตระเตรียมเรือนหลังนี้เอาไว้นานถึงสิบปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้อันแย้มยิ้ม หัวใจของหลินเมิ้งหยาอดที่จะสั่นไหวไม่ได้
ที่จริงแล้วความคิดที่ว่าจั่วชิวเฉินดีกับนางก็เพราะตำราชิงเจิงผู่อยู่ในมือของตนเองยังคงติดอยู่ในใจ แต่เรือนหลังนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรอคอยญาติผู้น้องคนนี้นานถึงสิบปี
นางจะไม่เข้าใจหัวอกของเขาได้อย่างไร?
“ฝากขอบคุณเฉินเปี่ยวเกอแทนข้าด้วย ข้าพึงพอใจมาก”
แสดงความขอบคุณด้วยใจจริง หลินเมิ้งหยาก้าวไปข้างหน้าแล้วเปิดประตู
กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยตลบอบอวลอยู่ในอากาศ
สิ่งแรกที่เห็นคือห้องโถง ซ้ายมือคือห้องสำหรับพักผ่อน ขวามือคือโต๊ะอ่านหนังสือและชั้นวางหนังสือ
ส่วนฝั่งตรงกันข้ามคือภาพวาดไผ่เขียว ไม่รู้ว่าจิตรกรเอกผู้ใดเป็นคนรังสรรค์ผลงานชิ้นนี้ แม้ต้นไผ่จะเรียวยาว แต่เหล่าสกุณาในป่าไผ่กลับทำให้ภาพวาดนี้มีชีวิตชีวา
เบื้องล่างคือตั่งที่ปูด้วยพรมขนสัตว์สีชมพูกลีบดอกบัว
เรือนหลังนี้ไม่เพียงงดงามหรูหรา แต่ยังมีกลิ่นอายของห้องบุตรีประจำตระกูลอีกด้วย
เพียงได้เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของหลินเมิ้งหยา อวี้อันก็รีบขอตัวลากลับไป
ภายในห้องเหลือเพียงหลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้
“เฉินเปี่ยวเกอเอาใจใส่ยิ่งนัก ดูเหมือนหม่อมฉันจะมิขาดทุนนักที่มาที่นี่”
หลินเมิ้งหยาเคยเห็นของทุกสิ่งมาหมดแล้ว ตำหนักของนางไม่เคยขาดแคลนของหายาก
แอบรู้สึกตื้นตันใจไม่น้อย คาดว่าจั่วชิวเฉินคงใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง
“อืม เอาใจใส่มากทีเดียว วันนี้เดินทางมาตลอดทั้งวัน เจ้าคงเหนื่อย รีบพักผ่อนเถิด”
หลงเทียนอวี้ทำเหมือนมองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ แต่ก็มิได้เอ่ยชื่นชมหรือแสดงท่าทีรังเกียจ
นับตั้งแต่พี่เขยอย่างหลินหนานเซิง จวบจนสองพี่น้องสกุลจั่ว หลงเทียนอวี้เริ่มรู้สึกคุ้นชินกับการที่พวกเขาเห็นหลินเมิ้งหยาเป็นดั่งอัญมณีล้ำค่าแล้ว
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังตัดสินใจอย่างมุ่งมั่นว่าหากกลับไปแล้วจะเอ็นดูนางให้มากกว่าร้อยเท่าพันเท่า
ความอยากเอาชนะโดยไร้เหตุผลเช่นนี้ หากหลินเมิ้งหยารู้เข้าคงมิวายถูกนางหัวเราะเยาะอย่างแน่นอน
ทว่าเขามิอยากให้บุรุษใดมีที่ยืนอยู่ในสายตาของนางแม้เพียงคนเดียว
แม้จะเป็นพี่ชายแท้ๆ ก็ไม่ได้!
“ไม่รีบร้อนเพคะ ตอนนี้พวกเรามาถึงเมืองหลวงเก่าแล้ว อีกไม่นานพวกคนที่พวกเราล่อลวงไปอีกทางคงรู้ตัว ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเรายังมีเวลาอีกมากน้อยเพียงใดหรือเพคะ?”
ลูกน้องของหลงเทียนอวี้ล้วนแอบติดตามค้นหาเบาะแสของคนเหล่านั้น
ทว่าพวกกลุ่มคนที่ติดตามมาทางด้านหลังทำให้หลินเมิ้งหยาตกใจเหมือนเป็นบื้อใบ้
คนของซู่เหมยถูกทหารม้าล่อหลอกไปอีกทาง ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่ปลายแถว
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนที่แอบติดตามพวกนางมาอีกห้าถึงหกกลุ่ม
นอกจากทหารองครักษ์ของจั่วชิวเฉินแล้ว คนที่เหลือล้วนประสงค์ร้ายต่อนางทั้งสิ้น
อาจเป็นเพราะยังไม่สบโอกาส ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ลงมือทำอะไร แน่นอนว่าหลินเมิ้งหยาจึงคิดหาทางหลอกล่อพวกเขาไปอีกทาง
ดังนั้นเมื่อลองคำนวณเวลาดูแล้ว คาดว่าอีกไม่นานคนเหล่านั้นคงรู้ตัว ยิ่งไปกว่านั้นหากพวกเขาคิดจะลงมือแล้วล่ะก็ ตอนนี้ย่อมเป็นโอกาสอันดี
“น่าจะราวสามวัน แม้คนพวกนั้นจะเดินทางได้รวดเร็ว แต่เพราะมีคนรอผ่านประตูเมืองจำนวนมาก ดังนั้นด้วยความเร็วของพวกเขา คาดว่าคงต้องใช้เวลาราวสามวัน”
หลงเทียนอวี้ลองคำนวณในใจก่อนจะเอ่ยขึ้น
อันที่จริงเหตุที่พวกเขาสามารถผ่านประตูเมืองเข้ามาอย่างราบรื่นนั่นก็เพราะหลงเทียนอวี้ลงมือจัดการกับคุณชายจูอย่างโหดเหี้ยม
มิเช่นนั้นเกรงว่ากว่าพวกเขาจะเข้าเมืองหลวงเก่าได้อย่างเร็วสุดก็คงเป็นวันพรุ่งนี้
“สามวันก็เพียงพอแล้วเพคะ ไปกันเถิด พวกเราไปหาอวี้เปี่ยวเกอกับหลิวซวนดีกว่า”
หลินเมิ้งหยาคำนวณในใจ นางมีแผนการแล้ว
เวลาสามวันนี้เปรียบดั่งของล้ำค่า ดังนั้นจะเสียเวลาไปแม้เพียงเสี้ยววินาทีไม่ได้เป็นอันขาด
ส่วนความอ่อนล้าของร่างกายค่อยได้รับการฟื้นฟูในอีกสามวันก็แล้วกัน
เมื่อถึงเวลานั้นนางจะท่องเที่ยวชมวิวทิวทัศน์อันแสนงดงามของเมืองหลวงเก่าแห่งนี้โดยไม่พลาดเลยสักที่!
ท้องฟ้าเริ่มสว่างไสวอีกครา
เงาดำหลายร่างแยกย้ายหายไปจากจวนไท่จื่อ
พวกพ่อค้าริมทางรู้สึกราวกับสายลมพัดพาเอาเงาสีดำผ่านหน้าตัวเองไป
ยกมือขึ้นขยี้ตา ก่อนจะพบว่าไม่มีสิ่งใดอยู่ตรงหน้า
คงตาฝาดไปเองกระมัง….
เงาดำกระโดดขึ้นเหนือกำแพงแล้วซ่อนตัวทุกหนทุกแห่ง แต่หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง เมื่อประตูเมืองถูกเปิดออก เงาดำเหล่านั้นก็สลายตัวไปท่ามกลางแสงอาทิตย์
เมื่อความมืดมิดปกคลุมอีกครั้ง ผู้คนที่เดินขวักไขว่บนท้องถนนหายไป ประตูเมืองถูกปิดลง เงาดำเหล่านั้นพลันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งแล้วกลับเข้าไปในจวนไท่จื่อ
เงาดำทั้งหมดยืนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องอ่านหนังสือของจวนไท่จื่อ
ไร้คำพูดใดๆ เพียงหยิบจดหมายปิดผนึกจากในแขนเสื้อแล้วมอบให้อวี้อันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นจึงหายลับไปต่อหน้าทุกคน
ภายในห้องอ่านหนังสือแห่งจวนไท่จื่อ หลินเมิ้งหยานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่
นับตั้งแต่เมื่อวานจนกระทั่งตอนนี้ นางได้นอนเพียงแค่สี่ชั่วโมงเท่านั้น
ยกมือเล็กขึ้นปิดปากหาว แม้ขอบตาจะดำคล้ำ ทว่าดวงตายังคงเปล่งประกายงดงาม ไร้ซึ่งความรู้สึกง่วงงุน
“ทูลจวิ้นจู่ มีจดหมายทั้งหมดหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดฉบับ โดยมีจดหมายปิดผนึกสีแดงสามสิบห้าฉบับ ปิดผนึกสีดำหกสิบห้าฉบับ นอกจากนั้นคือจดหมายปิดผนึกสีเทาพ่ะย่ะค่ะ”
จัดวางจดหมายให้เป็นระเบียบก่อนจะเอ่ยรายงานด้วยความเคารพเลื่อมใส
หลินเมิ้งหยากวาดสายตามองจดหมายเหล่านั้น หัวคิ้วขมวดมุ่น
จดหมายสีแดงคือของกลุ่มคนผู้มีใจสวามิภักดิ์ต่อเฉินเปี่ยวเกอ สีดำคือจดหมายจากพวกขุนนางเก่า ส่วนสีเทาคือพวกคนที่วางตัวเป็นกลางโดยมิได้ฝักใฝ่ฝ่ายใด
แม้ว่าจดหมายทางฝั่งขุนนางเก่าจะไม่ใช่จำนวนที่มากที่สุด แต่ถึงกระนั้นสถานการณ์ของเฉินเปี่ยวเกอก็ไม่น่ายินดีนัก
ส่วนสิ่งที่อยู่ในจดหมายล้วนเป็นสิ่งที่หลินเมิ้งหยาสั่งให้คนไปสืบ
แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือสิ่งที่เขียนมาล้วนเป็นเรื่องหยุมหยิม ไม่มีเรื่องสลักสำคัญใดๆ บางเรื่องก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยภายในบ้านเสียด้วยซ้ำ แต่หลินเมิ้งหยากลับสั่งให้เขียนอ ออกมาอย่างชัดเจน
ดังนั้นแม้แต่หลงเทียนอวี้และจั่วชิวอวี้เองต่างก็ไม่เข้าใจว่าหลินเมิ้งหยากำลังคิดจะทำอะไรกันแน่
“ข้าเข้าใจแล้ว จงสืบต่อไป ข้าต้องการรู้ว่าพวกตระกูลใหญ่ที่มาร่วมรับชมการแข่งขันในเมืองหลวงทั้งหมดทำสิ่งใดบ้างหลังจากมาถึงที่นี่แล้ว บอกกับพวกเขาว่าไม่จำเป็นต้องบุกเข้าไปล้ วงข้อมูล แต่จะต้องบันทึกการเคลื่อนไหวทุกอย่างให้ละเอียด ห้ามพลาดไปแม้แต่น้อย!”
อวี้อันรีบออกไปทำตามคำสั่ง หลินเมิ้งหยาเปิดจดหมายปิดผนึกสีแดง หลังจากกวาดสายตาอ่านอยู่ครู่หนึ่งจึงโยนทิ้งเข้ากองไฟ
“น้องสาว นี่เจ้า…..”
ทั้งที่อุตส่าห์เพียรพยายามหาข้อมูลมาหนึ่งวันเต็ม แต่นางอ่านเพียงครู่เดียวแล้วโยนทิ้ง?
อย่าว่าแต่จั่วชิวอวี้จะนั่งไม่ติดเลย แม้กระทั่งคนสุขุมอย่างหลงเทียนอวี้ยังส่งสายตาสงสัยไปทางชายาของตนเอง
“ข้าเพียงแต่กำลังวิเคราะห์สถานการณ์เท่านั้น แต่เจ้าวางใจเถิด ของเหล่านี้ไม่มีทางสูญเปล่า ให้เวลาข้าสักหน่อยเถิด”
แม้หลินเมิ้งหยาจะเอ่ยเช่นนี้พร้อมทั้งส่งยิ้มปลอบใจพวกเขา แต่หลังจากนั้นนางยังคงกวาดสายตาอ่านจดหมายฉบับแล้วฉบับเล่าก่อนจะโยนเข้ากองไฟ
ภายในห้อง บุรุษทั้งสามเริ่มง่วงงุน พวกเขาไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่านางกำลังทำอะไร?
กลิ่นไหม้ของกระดาษคละคลุ้งทั่วห้อง ในที่สุดกระดาษแผ่นสุดท้ายก็กลายเป็นขี้เถ้า
ส่วนหลินเมิ้งหยานั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาว่างเปล่ามองทอดยาว
แต่หากสังเกตให้ดีแล้วล่ะก็จะพบว่านิ้วของนางกำลังขยับราวกับกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่