ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 17 บทที่ 481 รู้เขารู้เรา
หากเป็นคนปกติธรรมดาทั่วไปคงรู้สึกเวียนศีรษะหลังจากรับข้อมูลมากมายที่เงาดำเหล่านั้นหามาให้ใส่สมองในคราวเดียว
ทว่าสมองของหลินเมิ้งหยามีระบบระดับเทพอย่างระบบเซินหนงคอยช่วย
ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ขนาดตำราชิงเจิงผู่ที่ว่าซับซ้อนยังถูกวิเคราะห์ออกมาได้ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ
เช่นนั้นจดหมายเพียงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดฉบับคงสามารถวิเคราะห์ออกมาได้ในเวลาเพียงชั่วพริบตา
เหตุเพราะระบบเซินหนงกำลังประมวลผลในสมอง ดังนั้นสายตาของนางจึงเลื่อนลอยและมองไม่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า
มือซ้ายแบออก อันที่จริงนางกำลังควบคุมระบบในสมอง
ทุกคนเขียนรายงานมาตามคำสั่งของนาง ดังนั้นจึงมิได้มีเพียงข้อมูลผิวเผินเท่านั้น
พวกเขาเขียนว่าในหนึ่งวันคนเหล่านั้นกินอยู่ที่ไหน แม้แต่นิสัยใจคอของคนรับใช้ อายุและสภาพแวดล้อมภายนอกเองก็บรรยายมาอย่างละเอียด
ข้อมูลของคนเหล่านั้นปรากฏต่อสายตาของนางอย่างครบถ้วน
หลินเมิ้งหยาพยายามอ่านวิเคราะห์ให้เร็วที่สุด ก่อนจะมีแผนบางอย่างเกิดขึ้นในใจ
นานกว่านางจะมีสติกลับมายังโลกใบเดิมอีกครั้ง ยกมือขึ้นลูบดวงตา ก่อนจะถอนหายใจ
“เป็นอะไรไป? มีตรงไหนไม่สบายหรือไม่?”
น้ำเสียงเจือความเอาใจใส่ หลินเมิ้งหยาเงยหน้าก่อนจะเห็นใบหน้าเป็นกังวลของหลงเทียนอวี้
“ไม่เป็นอะไรเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่คิดอะไรนิดหน่อยเท่านั้น”
หลินเมิ้งหยารู้สึกผิดในใจอยู่หลายส่วน เรื่องบางเรื่องนางคงมิอาจพูดให้เขาฟังได้ตลอดชีวิต
ดูเหมือนนางต้องพยายามหลีกเลี่ยงพฤติกรรมแปลกประหลาดของตนเองจากสายตาของพวกเขาแล้ว
มิเช่นนั้นพวกคนที่เป็นห่วงนางจะต้องคิดว่านางป่วยอย่างแน่นอน
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว น้องสาว ตกลงเจ้าสั่งให้คนไปสืบเรื่องขนไก่เปลือกกระเทียม [1] เช่นนี้มาด้วยเหตุอันใดกัน? หรือเจ้ามีแผน?”
จั่วชิวอวี้อยากรู้จนทนไม่ไหวแล้วว่าตกลงหลินเมิ้งหยาคิดจะทำอะไรกันแน่
“รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง หากอยากชนะการแข่งขันในคราวนี้ เช่นนั้นพวกเราต้องรู้ไพ่ตายของคนเหล่านั้น เจ้าลองตรองดูให้ดี นอกจากพวกผู้อาวุโสเหล่านั้นแล้ว คาดว่าคง งมีม้ามืดอีกจำนวนไม่น้อย หากพวกเราสามารถใช้โอกาสนี้มาพลิกการแข่งขันจะยิ่งมีโอกาสชนะมิใช่หรือ?”
หลินเมิ้งหยาพูดมีเหตุผล แต่จั่วชิวอวี้กลับพบว่านางยังมิได้ตอบคำถามของเขาเลยแม้แต่น้อย
ขณะที่คิดจะถามกลับ หลินเมิ้งหยาอ้างว่าเหนื่อยและต้องการพักผ่อน
แม้จะสนใจใคร่รู้เป็นอย่างมาก แต่เพราะนางมีเทพเซียนอย่างหลงเทียนอวี้คอยคุ้มกันอยู่ อย่าว่าแต่จะเค้นถามเลย เพียงร้องเรียกเพื่อรั้งนางเอาไว้ ดวงตาสีดำขลับคมกริบคู่นั้นก็ตวัด ขวับมาจ้องเขา สุดท้ายเขาทำได้เพียงหดคอลงและไม่กล้าปริปากอีก
มองตามทั้งสองที่เดินจากไปอย่างไม่อยากตัดใจ
ความกังวลของจั่วชิวอวี้ยังคงไม่หายไป
“วางใจเถิด ในเมื่อจวิ้นจู่เอ่ยเช่นนี้แล้ว นางจะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน พวกเราเชื่อใจนางเถิด”
หลิวซวนที่ดูเหตุการณ์โดยไม่พูดอะไรตั้งแต่ต้นจนจบตบบ่าจั่วชิวอวี้
แม้สายตาจะสับสน แต่ถึงกระนั้นก็เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น
“เจ้าเชื่อว่าญาติผู้น้องของข้ามีวิธีรับมือกับเรื่องนี้จริงหรือ?”
จั่วชิวอวี้ไม่เข้าใจอยู่บ้าง ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา แม้หลิวซวนกับหลินเมิ้งหยาจะมิได้มีความสัมพันธ์เลวร้ายต่อกัน แต่ถึงกระนั้นก็มิได้ดีเท่าที่ควร
แต่เหตุใดเขาจึงเอ่ยว่าเขาเชื่อใจหลินเมิ้งหยากัน?
“รอดูก่อนเถิด แอ่งน้ำนิ่งแห่งนี้มีเพียงนางเท่านั้นที่กวนได้”
สายตาของหลิวซวนเจือไว้ซึ่งความหวัง
หันมามองจั่วชิวอวี้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงราบเรียบระคนข่มขู่
“ก่อนหน้านั้นฮ่องเต้ส่งคนนำพระราชโองการลับมาให้ข้า ข้อความเขียนเอาไว้ว่าให้ข้าหาคนที่เหมาะสมเข้าไปร่วมการแข่งขันในคราวนี้ ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าไม่อยากเข้าร่วมการแข่งขัน นในคราวนี้จริงหรือ?”
คำตอบติดอยู่ในลำคอของจั่วชิวอวี้
อันที่จริงเขาเคยพูดเรื่องนี้แล้วเมื่อตอนที่ถึงเมืองชิงหยวน
ทว่าตอนนั้นหลิวซวนมิอาจสั่นคลอนการตัดสินใจของเขาได้ ไม่ว่าจะข่มขู่หรือสรรเสริญก็ตาม
แต่หลังจากที่มาถึงเมืองหลวงและได้เห็นพวกคนที่ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับฮวงซงแล้ว การตัดสินใจของจั่วชิวอวี้จึงเริ่มเปลี่ยนไป
เขาใช้ชีวิตอย่างอิสระมาโดยตลอด คราวนี้หากมิใช่เพราะหลินเมิ้งหยาต้องการเดินทางมาขอสมุนไพร เขาคงไม่กลับมายังบ้านเกิดเมืองนอนง่ายๆ
แต่ถึงกระนั้นเขาก็เป็นคนเมืองหลินเทียนคนหนึ่ง บางทีวิธีการหนีเช่นนั้นอาจเป็นความเห็นแก่ตัวจนเกินไป
ทว่า…….
“ช่างเถิด ข้าไม่อยากบังคับเจ้าแล้ว ข้าคิดว่าจวิ้นจู่และฮ่องเต้จะต้องมีแผนอย่างแน่นอน การลงทะเบียนจะครบกำหนดในวันพรุ่งนี้แล้ว ต่อให้เจ้าอยากเข้าแข่งขันก็คงไม่ทันแล้ว รีบไปนอน นพักผ่อนเถิด คาดว่าอีกสองสามวันข้างหน้าคงไม่สบายนัก”
หลิวซวนจ้องจั่วชิวอวี้ สายตาเผยให้เห็นความผิดหวัง
ภายในห้องอ่านหนังสือเหลือเพียงจั่วชิวอวี้คนเดียว
มองห้องอ่านหนังสือที่ว่างเปล่า เปลวไฟที่เผากระดาษจดหมายยังคงสว่างไสว
ขณะเดียวกันหัวใจของเขาก็ยุ่งเหยิงกระสับกระส่าย
การสืบข่าวยังคงดำเนินต่อไป โชคดีที่มีคนแปลกหน้ามากมายในเมืองหลวงเก่า ดังนั้นแม้พวกเงาดำเหล่านั้นจะถูกพบแต่ก็มิถูกสงสัย
ไม่ว่าขุนนางหรือราษฎรล้วนเร่งเดินทางมายังเมืองหลวงเก่าแห่งนี้
การแข่งขันทางการแพทย์เปรียบดั่งการไล่ล่าแสวงหาอำนาจของพวกคนมีอำนาจ แต่สำหรับราษฎรแล้วมันคืองานรื่นเริงที่หาได้ยากยิ่ง
หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ภายในจวนไท่จื่อและรับข้อมูลที่ลูกน้องส่งมาให้จำนวนนับไม่ถ้วน
วันนี้ล่วงเลยมาเป็นวันที่สอง พวกตระกูลมหาอำนาจต่างมาถึงเมืองหลวงแล้ว
แม้แต่อ๋องชิ่งแห่งเมืองอวี้หลงเองก็พาคุณชายคนนั้นมายังเมืองหลวงเก่าด้วย
แต่เขากลับมิกล้ามาหาเรื่องนาง
ล้อเล่นหรือไร การกระทำเล็กๆ ของอ๋องชิ่งถือว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมายบ้านเมือง ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงกลืนความเจ็บใจลงท้องและยังมิวายส่งของขวัญมาให้นางด้วย
มองดูกองผ้าไหม ผ้าต่วนและกล่องเครื่องประดับล้ำค่า หลินเมิ้งหยาพลิกดูเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามอวี้อันหนึ่งคำ
“ปกติแล้วอ๋องชิ่งเป็นคนใจกว้างเช่นนี้หรือ?”
อวี้อันเป็นคนมีความรู้รอบด้าน ดังนั้นจึงรีบตอบทันที
“ทูลจวิ้นจู่ อ๋องชิ่งขึ้นชื่อเรื่องความตระหนี่ ตอนที่ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ เขาส่งเพียงรูปปั้นหยกมาให้หนึ่งชิ้นเท่านั้น แต่เพราะจวิ้นจู่เปรียบดั่งอัญมณีล้ำค่าแห่งเมืองหลินเทียน ดังนั้นของเหล่านี้จึงมินับว่ามากมายอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
หลินเมิ้งหยามองตาอวี้อัน ก่อนจะหันกลับมามองของขวัญของตนเอง
ของเหล่านี้มิได้มีปัญหาอะไร มิเช่นนั้นคงไม่มีโอกาสส่งมาถึงมือของนาง
แต่ตอนที่นางอยู่ในเมืองอวี้หลงก็ได้สร้างปัญหาไม่ใหญ่ไม่เล็กเอาไว้ให้อ๋องชิ่ง
เหตุใดคนตระหนี่ถี่เหนียวและหยาบกระด้างไร้สมองจึงมอบของขวัญมากมายให้นางกันเล่า?
ย่อมมีจุดประสงค์แอบแฝงอย่างแน่นอน!
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกคนสนิทของอ๋องชิ่งเป็นคนเช่นไร?”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยถาม อวี้อันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยตอบ
“ฝ่าบาทเคยรับสั่งว่าอ๋องชิ่งเป็นคนชอบคุยโวโอ้อวด ดังนั้นคนสนิทของเขาจึงเป็นพวกประจบสอพลอ แต่เมื่อหลายปีก่อนมีจอมวางแผนผู้หนึ่งเข้าไปอยู่ในจวนอ๋อง ข้าน้อยได้ยินฝ่าบาทเล่า าว่าจอมวางแผนผู้นั้นมิใช่คนธรรมดา เขาได้รับความสำคัญจากอ๋องชิ่ง แต่คนผู้นั้นชอบออกเดินทางท่องเที่ยว อ๋องชิ่งส่งคนไปคุ้มครองเขาไม่น้อย ดังนั้นจึงไม่มีใครเคยเห็นหน้าตาของเขาเ เลยแม้แต่คนเดียว”
ต้องแบบนี้สิจึงจะถูกต้อง คำบอกเล่าของอวี้อันคลายความสงสัยให้แก่หลินเมิ้งหยา
เหตุที่อ๋องชิ่งแย่งชิงบัลลังก์จากเฉินเปี่ยวเกอไม่สำเร็จก็เพราะเขาเป็นคนสะเพร่าและเอาแต่ใจ
หากมิใช่เพราะได้รับการชี้แนะจากจอมวางแผนคนนั้น เช่นนั้นเขาคงมิอาจครองอำนาจของเมืองอวี้หลงได้
แต่เขาเองก็มีข้อบกพร่อง เหตุเพราะเขาไม่ยินยอมฟังคำชี้แนะทั้งหมดของจอมวางแผนคนนั้น
มิเช่นนั้นเฉินเปี่ยวเกอคงมิอาจได้ครองบัลลังก์ง่ายๆ
“เอาล่ะ เก็บของพวกนี้ไปเถิด จากนั้นค่อยสั่งให้คนนำไปขาย จำเอาไว้ว่าอย่าเอะอะเรื่องนี้เป็นอันขาด แต่ถึงกระนั้นก็อย่าเก็บให้เป็นความลับ”
หลินเมิ้งหยาออกคำสั่ง อวี้อันจึงรีบไปทำตาม
คนรับใช้เข้ามายกของออกไป หลงเทียนอวี้เดินเข้ามาภายใน
“ข้าบอกให้เจ้าพักผ่อนมิใช่หรือ? เหตุใดจึงยังยุ่งวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้เล่า?”
หัวคิ้วหลงเทียนอวี้ขมวดมุ่น หลายวันมานี้สีหน้าของหลินเมิ้งหยาไม่สู้ดีนัก
แม้จั่วชิวอวี้และนางจะบอกว่าไม่มีปัญหาอะไร แต่หลงเทียนอวี้ยังคงไม่สบายใจ
ดังนั้นหลังจากจัดการธุระเสร็จแล้ว เขาจึงรีบกลับมายังจวน
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหญิงสาวที่ตนเองบรรจงห่มผ้าห่มให้จะฝืนลุกขึ้นมาทำเรื่องเหล่านี้
เมื่อไหร่นางจะรู้จักทะนุถนอมร่างกายของตนเองบ้าง
“หม่อมฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ เพคะ พระองค์ต่างหากที่ไม่เห็นแม้แต่เงาตั้งแต่เช้า บอกมาเถิด พระองค์หลงเสน่ห์หญิงงามในเมืองหลวงเก่าแห่งนี้ใช่หรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาส่งเสียงออดอ้อนระคนเง้างอน หลงเทียนอวี้จึงมิอาจว่ากล่าวนางได้อีก
มองมือเล็กที่จับชายเสื้อของเขาด้วยท่าทางเหมือนภรรยาเอกจอมราวี
เขาจึงทำได้เพียงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างกายนาง
“ไม่หรอก ข้าเพียงแค่ออกไปทำธุระเท่านั้น”
มองท่าทางซื่อตรงทั้งยังทำอะไรไม่ถูกของเขา หลินเมิ้งหยาหลุดขำพรืด
มือเล็กยกขึ้นลูบชายเสื้อที่ถูกบิดม้วนจนยับของเขา หลินเมิ้งหยาจึงผันตัวมาเป็นภรรยาเอกแสนปรานี
นางชอบเวลาที่เขาเอ็นดูนาง หลินเมิ้งหยาไม่รู้ตัวเลยว่านางกลายเป็นสาวน้อยขี้อ้อนในสายตาเขาไปเสียแล้ว
“หม่อมฉันรู้สึกว่าช่วงนี้เหตุการณ์ไม่ปกตินัก พระองค์ต้องระมัดระวังตัวด้วยนะเพคะ ที่นี่หาใช่ต้าจิ้น หากมีคนล่วงรู้ฐานะของพระองค์ เป็นไปได้ว่าอาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมาได้”
หลงเทียนอวี้กุมมือเล็กของนางทั้งสองข้าง ทั้งที่อ่อนนุ่มขาวนวลเนียนเหมือนกัน แต่มือข้างขวาของนางกลับอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง
—————
หมายเหตุ
[1] เรื่องขนไก่เปลือกกระเทียม หมายถึง เรื่องเล็กน้อย เรื่องหยุมหยิม