ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 17 บทที่ 483 โรงบ่อนเหิงหยุน
“ข้าไม่อยากบังคับเจ้า ก่อนมาที่นี่เฉินเปี่ยวเกอเลือกคนเอาไว้แล้ว เมื่อใดที่เรื่องในคราวนี้จบลง เจ้าสามารถกลับไปยังต้าจิ้นกับพวกเราได้ อย่างน้อยที่นั่นก็ไม่มีผู้ใดบังคับ ให้เจ้าต้องรับผิดชอบหน้าที่ใดๆ”
หลินเมิ้งหยาหลุบตาต่ำ ท่าทางสงบนิ่งราวกับมิสนใจคำตอบของจั่วชิวอวี้
ทว่ายิ่งนางเอ่ยเช่นนี้ จั่วชิวอวี้ก็ยิ่งรู้สึกทุกข์ใจ
ความรู้สึกผิดกดทับเขาจนหนักอึ้ง
นิ่งเงียบอยู่นานกว่าจะถอนหายใจอย่างขมขื่น
“ข้าจะไป”
หลินเมิ้งหยาเลิกคิ้วขึ้นสูง ดวงตาฉายแววประหลาดใจ
“ว่าอย่างไรนะ?”
จั่วชิวอวี้ตัดสินใจแล้ว เขาไม่อยากหนีภาระหน้าที่ของตนอีกต่อไป
“ข้าบอกว่าข้าจะไปเข้าร่วมกันแข่งขัน อีกอย่างข้าอยากขอให้เจ้าช่วยข้าด้วย พวกเราจะต้องชนะให้ได้ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่ทำให้ฮวงซงไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง”
หลินเมิ้งหยาก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มจากจั่วชิวอวี้
“เจ้าต้องไตร่ตรองให้ดี หากพวกเราเข้าร่วมการแข่งขันในคราวนี้ หลงเทียนอวี้และข้าล้วนสามารถกลับไปตอนไหนก็ได้ แต่หากเจ้าชนะ เช่นนั้นอย่าว่าแต่เมืองหลินเทียนเลย แม้แต่เมืองหลว วงเก่าเองเจ้าก็คงกลับออกไปได้ยากแล้ว ชีวิตอิสระของเจ้าจะหมดไป ชีวิตจะมีแต่ปัญหารุมเร้า เจ้าเตรียมใจเอาไว้พร้อมแล้วหรือไม่?”
สิ่งที่หลินเมิ้งหยาเอ่ยออกมาล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น
ทว่าจั่วชิวอวี้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะเข้าร่วมการแข่งขันในคราวนี้
มองท่าทางมุ่งมั่นของเขา หลินเมิ้งหยาจึงวางใจไปหนึ่งเปลาะ
“แต่…แต่ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้จะลงชื่อก็สายไปเสียแล้ว เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีเล่า? เฮ้อ ข้าผิดเอง หากข้าคิดได้เร็วกว่านี้ก็คงดี”
จั่วชิวอวี้รู้สึกหงุดหงิดใจอยู่หลายส่วน เขาเพิ่งนึกได้ว่าการแข่งขันครานี้จำเป็นต้องสมัครก่อน
“โอ้ ไม่ต้องกังวล เฉินเปี่ยวเกอสามารถช่วยได้แน่นอน ข้าคิดว่าการที่ฮ่องเต้จะใส่ชื่อผู้เข้าแข่งขันสักคนหนึ่งคงมิใช่เรื่องยาก”
ใช้ถ้วยชาปกปิดรอยยิ้มของตนเอง อันที่จริงนับตั้งแต่วันที่มาถึงเมืองหลวง หลินเมิ้งหยาก็แอบบอกให้หลิวซวนนำตราประจำตัวของจั่วชิวอวี้ไปลงชื่อสมัครเข้าแข่งขันแล้ว
จั่วชิวอวี้ผู้น่าสงสารไม่รู้เลยว่าอันที่จริงเขาตกหลุมพรางของพวกนางเข้าให้แล้ว
“ทูลจวิ้นจู่ พวกคนด้านนอกรายงานว่าคนเหล่านั้นเข้ามาในเมืองหลวงเก่าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
อยู่ๆ อวี้อันก็ส่งเสียงรายงานขึ้นมากะทันหัน ทว่าคำกล่าวของเขาหาใช่ข่าวดีแต่อย่างใด
มาเร็วเหลือเกิน เร็วยิ่งกว่าการคาดคะเนของหลงเทียนอวี้เสียอีก
แต่ในเมื่อพวกเขาอุตส่าห์มาแล้ว เช่นนั้นนางก็ไม่ควรหลบซ่อนตัวไม่ยอมให้เห็นหน้ามิใช่หรือ?
“ดี ข้าเข้าใจแล้ว จริงสิ เมืองหลวงเก่าแห่งนี้มีโรงบ่อนอยู่หรือไม่?
คำถามของหลินเมิ้งหยาทำให้คนอีกสองคนในห้องรู้สึกประหลาดใจ
โรงบ่อน? นี่ไม่เหมือนงานอดิเรกของหลินเมิ้งหยาเลยแม้แต่น้อย
“มีพ่ะย่ะค่ะ แต่เพราะเมืองหลวงเก่ามีคนแปลกหน้ามากเกินไป ดังนั้นโรงบ่อนจึงคลาคล่ำไปด้วยนักพนัน จวิ้นจู่มีฐานะสูงศักดิ์ เกรงว่าสถานที่เช่นนั้นจะมิปลอดภัย”
อวี้อันเอ่ยโน้มน้าว ก่อนมาถึงที่นี่ฮ่องเต้กำชับนักกำชับหนาว่าจะต้องรับใช้จวิ้นจู่ให้ดี
โรงบ่อนเป็นสถานที่โสมม หากจวิ้นจู่เสด็จไปคงมิวายทำให้พระองค์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง
“ช่วยไม่ได้ เช่นนั้นข้าปลอมตัวเป็นบุรุษก็แล้วกัน พวกเจ้ารอข้าสักครู่ อีกเดี๋ยวพวกเราออกไปเที่ยวเล่นกันเถิด”
พูดจบหลินเมิ้งหยาก็เดินเข้าห้องของตนเองไปเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าบุรุษ
ทิ้งอวี้อันและจั่วชิวอวี้ที่กำลังมองตามนางตาค้างไว้ทางด้านหลัง
หากเกิดเรื่องมิคาดฝันขึ้น เช่นนั้นพวกเขาทั้งคู่คงมิอาจรับผิดชอบไหว
ทว่าเมื่อได้เห็นใบหน้ายิ้มระรื่นของหลินเมิ้งหยาหลังจากเปลี่ยนเป็นชุดอย่างคุณชายแล้ว พวกเขาทำได้เพียงเดินตามหลังนางเงียบๆ และกลายเป็นคนคุ้มกันของนางไปโดยปริยาย
ออกจากจวนไท่จื่อ เมื่อเดินทางมาถึงถนนสายที่สอง ผู้คนก็เริ่มหนาตาขึ้น
แถบที่พักอาศัยของพวกเขาล้วนเป็นจวนของขุนนางสูงศักดิ์ ดังนั้นชาวบ้านธรรมดาจึงไม่ผ่านเส้นทางนั้น
โรงบ่อนและร้านเหล้าตั้งอยู่บนถนนที่มีความครึกครื้นสองสามสาย
หากมิใช่เพราะจั่วชิวอวี้และอวี้อันยืนขนาบซ้ายขวาเพื่อปกป้องดูแลหลินเมิ้งหยาแล้วล่ะก็ เกรงว่าแค่จะก้าวเดินยังยาก
“คนเยอะถึงเพียงนี้เชียว? ดูเหมือนการแข่งขันวิชาแพทย์ในคราวนี้จะมีความสำคัญต่อเมืองหลินเทียนอย่างยิ่ง”
หลินเมิ้งหยาบ่นพึมพำ นางเพิ่งเคยเห็นภาพบรรยากาศครึกครื้นเช่นนี้เป็นครั้งแรก
หากเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ใดสักเหตุการณ์หนึ่งก็คงเป็นเหตุการณ์ตอนเดินทางท่องเที่ยวช่วงฤดูใบไม้ผลิกระมัง
ตอนนั้นมิได้เห็นวิวทิวทัศน์เลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ได้เห็นคือศีรษะของคนเสียส่วนใหญ่ หากเป็นโรควิตกจริต เกรงว่าคงทรมานจนแทบอยากตายเลยทีเดียว
“ใช่แล้ว คุณชายกล่าวได้ถูกต้อง พวกเราคนเมืองหลินเทียนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันในคราวนี้ คุณชาย พวกเรากลับกันเถิดขอรับ ที่นี่มีคนมากเกินไป เกรงว่าจะไม ม่ปลอดภัย”
อวี้อันยื่นมือออกไปกันผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาเพื่อป้องกันอันตรายให้กับหลินเมิ้งหยา อีกทั้งยังเอ่ยวิงวอนขอร้องเจ้านายของตนเองด้วย
ทว่าหางตาของหลินเมิ้งหยากลับมองเห็นโรงบ่อนที่ซ่อนอยู่ในตรอกแห่งหนึ่งเสียก่อน
เดินนำลูกสมุนทั้งสองของตนเอง เพียงไม่นานพวกเขาทั้งสามก็มาถึงหน้าประตูโรงบ่อน
“ที่นี่แหละ ไปกันเถิด พวกเราเข้าไปดูกัน”
ที่ประตูบานใหญ่ด้านบนเขียนเอาไว้ว่า “โรงบ่อนเหิงหยุน”
ผ้าสีน้ำเงินเข้มบดบังสายตาของคนภายนอก
หลินเมิ้งหยาก้มๆ เงยๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตัดสินใจได้
ดูเหมือนโรงบ่อนแห่งนี้จะใหญ่ที่สุดในบรรดาโรงบ่อนทั้งหมด
ยิ่งไปกว่านั้นหลินเมิ้งหยายังพบว่าคนที่เดินเข้าออกที่นี่ล้วนเป็นพวกคนสวมใส่เสื้อผ้าหรูหราราคาแพง
ปกติแล้วคนเหล่านี้ล้วนมีพื้นฐานทางครอบครัวที่ดี
นางไม่เคยสนใจเงินทองที่ได้มาจากการพนันเหล่านั้น
เพียงเดินผ่านเข้าประตูไป เสียงโห่ร้องจากการได้และเสียเงินดังขึ้นกระแทกหู
กิจการที่นี่รุ่งเรืองยิ่งนัก มีทั้งไพ่ทั้งน้ำเต้า การพนันเกือบทุกรูปแบบ
แต่แน่นอนว่าโรงบ่อนที่นี่ก็เหมือนโรงบ่อนทั่วไปที่มีทั้งคนกำลังยิ้มกว้างเพราะความยินดีและคนที่กำลังขมวดคิ้วเป็นปมเพราะความหงุดหงิด
หลินเมิ้งหยากวาดตามองด้วยความประหลาดใจ ส่วนอีกสองคนจ้องนางเขม็งแล้วเดินตามอย่างกระชั้นชิด
พวกเขาทั้งสามแต่งตัวธรรมดา ทว่านักพนันแห่งนี้แตกต่างจากที่อื่น เหตุเพราะคนที่นี่ล้วนเป็นลูกเศรษฐีมีเงินทอง
ไม่นานดวงตาคมกริบคู่หนึ่งก็จับจ้องพวกเขาทั้งสาม
หลินเมิ้งหยาบังเอิญยืนอยู่ที่โต๊ะด้านข้างพอดี สายตาของนางจ้องมองถ้วยลูกเต๋านิ่ง
“เปิดเลย เปิดเลย เปิดเลย หนึ่ง สอง สี่ เล็ก”
มีคนซื้อทั้งใหญ่และเล็ก แต่เห็นได้ชัดว่ามีคนซื้อใหญ่มากกว่าเล็กน้อย
ขณะเดียวกันสายตาของพวกเขาจับจ้องเงินของตนเองที่ตกอยู่ในมือของผู้อื่นเสียแล้ว
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับแสดงสีหน้าประหนึ่งรู้อยู่ก่อนแล้ว
มิได้มีท่าทางประหลาดใจ ราวกับว่าเดาเอาไว้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้
“ดูเหมือนหัวใจของคุณชายท่านนี้จะมีต้นไผ่ [1] เช่นนั้นไม่ลองร่วมเล่นกับคุณชายท่านอื่นดูสักตาเล่า?”
สุ้มเสียงอ่อนหวานมีมารยาทดังขึ้นด้านหลังหลินเมิ้งหยา
หลินเมิ้งหยาผินหน้าไปมองก่อนจะได้เห็นใบหน้างดงามมีเสน่ห์
นางอายุราวสามสิบปี สวมชุดสีขาว ศีรษะปักปิ่นเงินลวดลายธรรมดา ดวงตาเรียวยาว ริมฝีปากแย้มยิ้มกว้าง
แม้จะเป็นใบหน้าธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ทั่วไป แต่เมื่ออยู่ที่นี่กลับงดงามกว่าโลกภายนอก
แม้จะเป็นสตรี แต่นักพนันล้วนให้ความเคารพนางเป็นอย่างยิ่ง
แม้แต่เจ้ามือของโต๊ะนี้ยังผงกศีรษะให้นางด้วยความเคารพนบนอบ
หลินเมิ้งหยาเข้าใจได้ในทันที หากนางมิใช่เถ้าแก่ของที่นี่ เช่นนั้นก็คงเป็นคนสำคัญคนหนึ่ง
“ฮูหยินล้อเล่นแล้ว ข้าเป็นเพียงคุณชายจากถิ่นทุรกันดาร ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาถึงที่นี่เพื่อเปิดตามองโลกภายนอกได้”
หลินเมิ้งหยาแสดงท่าทีมีมารยาทกลับไป เหตุเพราะผู้มีอำนาจในโรงบ่อนแห่งนี้ได้จะต้องมิใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
“คุณชายถ่อมตัวเกินไปแล้ว การออกจากเรือนมิใช่เรื่องง่าย ทุกคนมาเพื่อแสวงหาความสุขกันทั้งนั้น เพียงข้าได้เห็นคุณชายครั้งเดียวก็รู้สึกถูกชะตายิ่งนัก ที่นี่มีคนมากมาย เกรงว่าจ จะทำให้ท่านมัวหมอง เช่นนั้นไปด้านหลังโถงกับข้าดีหรือไม่ ที่นั่นสงบเงียบ อีกทั้งยังสนุกกว่าที่นี่มาก คุณชายคิดเห็นเช่นไร?”
หัวใจของหลินเมิ้งหยาร้องเตือน ทว่าหางตากลับเหลือบไปเห็นคนที่มีใบหน้าคุ้นเคยสองสามคนเดินผ่านประตูเข้ามาแล้ว
มิอาจสนใจอะไรได้มากนัก หลินเมิ้งหยารีบหยักยิ้มพลางเอ่ย
“ข้าเองก็หวังเช่นนั้น เชิญฮูหยินนำทางเถิด”
อีกฝ่ายแย้มยิ้มแล้วเดินนำทางคนทั้งสามด้วยตัวเอง
หางตาเหลือบมองพวกคนเหล่านั้นที่ถูกชายร่างกำยำดักหน้าเอาไว้ที่ประตู
หลังจากนางผ่านเข้ามายังห้องด้านหลังและพบว่าตนเองสลัดพวกคนเหล่านั้นพ้นแล้ว นางจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาก
คิดไม่ถึงเลยว่าพวกคนเหล่านั้นจะมีความกล้าถึงเพียงนี้
เมื่อก่อนพวกเขาทำเพียงสังเกตการณ์ในระยะไกลและโผล่หางออกมาให้เห็นบางส่วน
ทว่าตอนนี้พวกเขาถึงขั้นรีบปีนข้ามกำแพงและมองข้ามความหวาดกลัว ก่อนจะติดตามนางจนถึงที่นี่
แต่นี่มิได้หมายความว่านางปลอดภัยแล้ว
กวาดตามองไปรอบๆ ตอนแรกนางคิดว่าสตรีนางนี้จะพาตนเองไปยังห้องพนันลับ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะพาพวกเขามายังสวนด้านหลัง
เมื่อเทียบกับความเอะอะวุ่นวายด้านหน้า ทางด้านหลังเงียบสงบกว่ามาก
“เชิญคุณชายนั่งก่อนเถิด หมิ่นเอ๋อร์ยกน้ำชา”
ภายในสวนสี่เหลี่ยมที่ถูกเก็บกวาดเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน สตรีผู้นั้นพาพวกเขาทั้งสามมานั่งที่โต๊ะหินกลางลาน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงมีมารยาท
หลินเมิ้งหยาสบตากับบุรุษทั้งสอง พวกเขาทำได้เพียงระมัดระวังและคอยดูว่าผู้หญิงคนนี้มีแผนการอะไร
“คุณชายคิดมากเกินไปแล้ว จริงสิ ข้าชื่อฟางกู ข้าเป็นผู้ดูแลโรงบ่อนเหิงหยุนแห่งนี้ ข้าคิดว่าคุณชายกับข้ามีชะตาต่อกัน ดังนั้นจึงเชิญท่านมาที่นี่ หวังว่าสหายของท่านจะอภัยใ ให้ข้าด้วย”
—————
หมายเหตุ
[1] หัวใจมีต้นไผ่ หมายถึงคนที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็สำเร็จ