ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 17 บทที่ 484 คนเก่าแก่ในคราวนั้น
เด็กสาวชื่อว่าหมิ่นเอ๋อร์รีบยกน้ำชาพร้อมถ้วยสี่ใบเข้ามา
กลิ่นชาหอมกรุ่น เพียงได้กลิ่นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นชาชั้นดี ทว่าหลินเมิ้งหยาที่ได้กลิ่นกลับหยุดชะงัก
มุมปากยกสูง สายตาจับจ้องฟางกูนิ่ง
“ชานี้เป็นชาดี แต่ชงไม่ถูกวิธี”
เมื่อเห็นหลินเมิ้งหยาไม่ดื่ม คนอื่นอีกสองคนก็มิกล้าดื่มเข้าไป
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาได้ยินคำพูดของหลินเมิ้งหยาอย่างชัดเจน
“โอ้? คุณชายยังไม่ทันได้ดื่ม เช่นนั้นรู้ได้อย่างไรว่าเป็นชาดีเล่า?”
ฟางกูไม่เอ่ยปฏิเสธ แต่กลับยกชาตรงหน้าขึ้นจิบด้วยท่วงท่าสง่างาม
“ชาบางอย่างแม้ไม่ดื่มก็รู้ว่ากลิ่นชาไม่ถูกต้อง ชาของเจ้าใช้น้ำร้อนเดือดจัดลวกจนกลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม ดังนั้นรสชาติจึงขมฝาดยิ่งนัก เช่นนั้นจะหลงเหลือรสชาติดั้งเดิมได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้ข้าจึงบอกว่าชานี้ชงผิดวิธี”
หลินเมิ้งหยาค่อยๆ เปิดฝาถ้วยชา ผลปรากฏว่าทุกอย่างเป็นไปตามคำพูดของนาง
จั่วชิวอวี้และอวี้อันหันหน้าสบตากัน เอ๋? หรือจะชงผิดวิธีจริงๆ?
“นั่นสิ ชานี้มิควรจะชงเช่นนี้ แต่ถึงแม้จะไม่มีกลิ่นชา ทว่าบางทีอาจจะอร่อยกว่าเดิมก็ได้ คุณชายมิลองดูหน่อยหรือ?”
ฟางกูยังคงจ้องหลินเมิ้งหยาอย่างไม่ทุกข์ร้อน ทว่าอีกฝ่ายกลับแค่นหัวเราะเสียงเย็น
ดวงตาของหลินเมิ้งหยาปรากฏแววเย็นชา ทว่าน้ำเสียงกลับผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง
“ดื่ม…คงดื่มมิได้หรอก แต่ข้าสงสัยเหลือเกินว่าใครส่งเจ้ามา ซ้ำยังใส่ยาเบื่อลงในชาเหล่านี้อีก นี่พวกเจ้ากำลังดูถูกพวกข้าอย่างนั้นหรือ?”
ความจริงถูกเปิดเผย แม้หลินเมิ้งหยาจะยังนั่งด้วยท่วงท่าดั่งเดิม ทว่าสายตากลับเย็นชาเหลือประมาณ
คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงมาถึงโรงบ่อน นางก็จะถูกวางยาเช่นนี้
แต่ใครจะรู้ว่าฟางกูมิได้มีท่าทีกระสับกระส่าย มุมปากหยักยิ้มชื่นชม
“คุณชายแปลกยิ่งนัก ข้าคนนี้ชอบล้อเล่นกับผู้อื่นเช่นนี้เสมอ หมิ่นเอ๋อร์ รีบยกชาดีให้คุณชายเร็วเข้า”
ล้อเล่น? หัวใจของหลินเมิ้งหยาเย็นเฉียบ นางรู้สึกระแวดระวังมากขึ้น
จั่วชิวอวี้และอวี้อันใกล้จะระเบิดอารมณ์เต็มที สายตาคมกริบจ้องมองฟางกูเขม็ง
“ทั้งสามท่านอย่าเพิ่งเข้าใจข้าผิดเลย แม้ที่นี่จะมิใช่สถานที่ที่ดี แต่ถึงกระนั้นก็มิใช่กิจการด้านมืด เพียงแค่คุณชายท่านนี้หน้าตาคล้ายคลึงกับเพื่อนเก่าของข้ายิ่งนัก เหตุเพราะคิดถึงสหายขึ้นมา ดังนั้นจึงล้อเล่นเกินเลยไปสักหน่อย คุณชายได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย”
สมองของหลินเมิ้งหยาประมวลผล คนที่มีใบหน้าคล้ายคลึงนางเห็นจะมีแค่ท่านแม่กระมัง?
แต่นั่นก็ยี่สิบสามสิบปีล่วงมาแล้ว อีกอย่างแม้นางจะรู้จักท่านแม่ แต่นั่นก็มิได้หมายความว่านางจะมีจุดประสงค์ดี
“ในเมื่อเป็นสหายเก่า เช่นนั้นคงมิเอาเรื่องกับเจ้าแล้ว ข้าขอตัว”
หลินเมิ้งหยาผุดลุกขึ้น ทว่าฟางกูกลับเอ่ยขึ้นมาหนึ่งคำ
“จ่างกงจู่ [1] สบายดีหรือไม่?”
ร่างกายสั่นเทิ้ม หลินเมิ้งหยารู้สึกร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันทุกคนพลันตัวแข็งทื่ออยู่กับที่
“นับตั้งแต่วันที่พลัดพรากจากกัน ข้ามิได้เจอนางราวยี่สิบปีแล้ว ทว่าชั่ววินาทีที่เห็นเจ้า ข้าก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าคือบุตรีของจ่างกงจู่”
คำพูดของฟางกูทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตื่นเต้นจนร่างกายสั่นเทิ้ม
หัวใจเต้นระรัวดั่งกลอง นอกจากพี่ชายทั้งสองแล้ว ไม่มีใครรู้ตัวตนของนางมาก่อน
หันหน้ากลับมา หลินเมิ้งหยามิเอ่ยอันใด ทว่าดวงตาสีดำขลับจ้องฟางกูนิ่ง
“เหมือนเหลือเกิน เจ้ากับจ่างกงจู่เหมือนกันมากจริงๆ เมื่อหลายวันก่อนข้าได้ข่าวมาว่าลูกสาวของจ่างกงจู่กลับมายังเมืองหลินเทียนแล้ว ตอนแรกข้าไม่เชื่อ ทว่าหลังจากได้เจอเจ้า ข้าคงไม่อาจหลอกตัวเองได้ จวิ้นจู่ หนู่ปี้ขอถวายพระพรพระองค์เพคะ”
หยดน้ำตารินไหลออกจากเบ้าตาของฟางกู แม้แต่หลินเมิ้งหยาเองก็ไม่รู้ว่าควรรับมือเช่นไร ตอนแรกนางคิดว่าอีกฝ่ายต้องการทำร้ายนางเสียอีก
ทว่าตอนนี้นางกลับคุกเข่าลงบนพื้นแล้วร้องไห้ปานจะขาดใจ
“คือ…ในเมื่อเจ้ารู้จักตัวตนของข้าแล้ว เช่นนั้นเหตุใดเมื่อครู่จึงคิดวางยาทำร้ายข้าเล่า?”
หลินเมิ้งหยาไม่อาจเชื่อคำพูดของนางได้ทั้งหมด เหตุเพราะเมืองหลวงเก่าแห่งนี้มีอันตรายรอบด้าน เช่นนั้นจะนับประสาอะไรกับผู้หญิงที่อยู่ๆ ก็โผล่ออกมาบอกว่ารู้จักมารดาของนางกันเล่า
“หนู่ปี้รู้ว่าเรื่องนี้ผ่านไปนานมากแล้ว ดังนั้นจวิ้นจู่ย่อมไม่เชื่อ แต่จวิ้นจู่รู้จักของสิ่งนี้หรือไม่?”
อยู่ๆ ฟางกูก็หยิบกล่องไม้ออกจากวงแขน
จั่วชิวอวี้และอวี้อันรีบเข้ามาขวางหน้าหลินเมิ้งหยา เหตุเพราะกลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าฟางกูจะหยิบปิ่นทองอันหนึ่งออกมาจากกล่องไม้
เหตุเพราะเวลาล่วงเลยมานานมาแล้ว ดังนั้นปิ่นทองอันนี้จึงมิได้เปล่งประกายแวววาวเหมือนก่อน ทว่าหลินเมิ้งหยาจำลวดลายรูปดอกเหมยบนปิ่นอันนั้นได้เป็นอย่างดี
“หนู่ปี้เป็นหนึ่งในสาวใช้ประจำตัวของจ่างจู่ นี่คือหนึ่งในปิ่นสิบสองอันที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนสั่งให้คนทำขึ้นเพื่อมอบให้กับจ่างจู่ หนู่ปี้มีของสิ่งนี้หนึ่งชิ้น ก่อนที่จ่างจู่จะจากไปในคราวนั้น พระองค์ทิ้งปิ่นอันนี้เอาไว้ให้เป็นของที่ระลึก แม้เวลาจะล่วงเลยมานานหลายปีแล้ว แต่หนู่ปี้ยังคงเก็บมันเอาไว้ข้างกายตลอด ในที่สุดวันนี้จวิ้นจู่ก็กลับมาแล้ว หนู่ปี้…หนู่ปี้ดีใจจนไม่รู้จะกล่าวคำใดเลยเจ้าค่ะ”
ท่าทีเย็นชาของฟางกูเปลี่ยนไป นางมองหลินเมิ้งหยาด้วยความปีติยินดี
สมองอันชาญฉลาดของหลินเมิ้งหยารู้สึกสับสนเล็กน้อย
นางรับปิ่นปักผมลายดอกเหมยมาจากฟางกู หลินเมิ้งหยามองให้ละเอียดก่อนจะพบว่าลวดลายดอกเหมยของปิ่นอันนี้เหมือนกับตราสัญลักษณ์ที่เอวของนางไม่มีผิดเพี้ยน
แต่เพราะเหตุใดจึงบังเอิญเช่นนี้ เหตุใดนางจึงบังเอิญเลือกโรงบ่อนที่มีคนเก่าแก่ของท่านแม่อยู่ที่นี่เล่า?
หรือจะเป็นความประสงค์ของท่านแม่กันนะ?
“เจ้าบอกว่าเจ้าเคยรับใช้จ่างจู่ เช่นนั้นเจ้ามีหลักฐานหรือไม่?”
เมื่อเป็นเรื่องของมารดา หลินเมิ้งหยารู้สึกทำอะไรไม่ถูก
ผิดกับจั่วชิวอวี้ที่ยังคงมีท่าทางสงบนิ่ง
หลังจากความตื้นตันใจผ่านพ้นไป ฟางกูรีบเช็ดน้ำตา นางเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองบุ่มบ่ามเกินไปแล้ว
แต่เพราะได้เจอลูกสาวของเจ้านายเก่า เช่นนั้นจะมิให้นางตื่นเต้นดีใจได้อย่างไร?
รีบยันตัวลุกขึ้นจากพื้น ก่อนจะเอ่ย
“หนู่ปี้ดีใจเกินไป จวิ้นจู่เห็นเรื่องน่าขันเข้าให้แล้ว ตอนนั้นจ่างจู่พาพวกเราออกจากพระราชวังและหาทางหนีทีไล่ให้กับพวกเราแล้ว พี่น้องคนอื่นๆ ตอนนี้แต่งงานออกเรือนกันหมดแล้วเจ้าค่ะ มีเพียงหนู่ปี้เท่านั้นที่ยังมิได้ออกเรือน ตลอดหลายปีที่ผ่านมาหนู่ปี้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงเก่าเพราะหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้พบหน้าจ่างจู่อีกสักครั้ง ตอนนั้นพวกนางในที่ได้ถวายตัวเข้าวังล้วนมีเอกสารการบันทึกข้อมูลเอาไว้เป็นหลักฐาน หนู่ปี้จะรีบไปนำมันมาเดี๋ยวนี้ จวิ้นจู่วางพระทัยเถิดเพคะ”
พูดจบ ฟางกูก็หมุนตัวเข้าไปในเรือนทางด้านหลังเพื่อค้นหาหลักฐาน
ส่วนหมิ่นเอ๋อร์ที่กำลังถือถ้วยชาส่งยิ้มน้อยๆ ให้พวกเขาทั้งสาม
ชาปกติดี ตอนนี้หลินเมิ้งหยากำลังกระวนกระวายใจ เช่นนั้นจิบชาสักคำหนึ่งก็คงดี
เรื่องในคราวนี้บังเอิญเสียจนนางตั้งตัวไม่ทันแล้ว
“แม่นางคนนี้ ข้าขอถามสักหน่อยเถิด ปกติแล้วเจ้านายของเจ้าเป็นคนเช่นไร?”
หลินเมิ้งหยากระซิบถามหมิ่นเอ๋อร์เพื่อเก็บข้อมูล
ใช่ว่านางไม่เชื่อ แต่เพราะเหตุการณ์พลิกผันรวดเร็วเกินไป
“ทูลจวิ้นจู่ ปกติแล้วนายหญิงเป็นคนเงียบขรึมเจ้าค่ะ หนู่ปี้ติดตามนายหญิงมาตั้งแต่เด็ก แต่กลับไม่เคยเห็นนางมีท่าทางดีอกดีใจเช่นนี้มาก่อนเลยบางทีอาจเพราะนายหญิงของข้าและจ่างจู่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกระมัง”
หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง แม้ความสงสัยจะบังเกิดขึ้นในใจก็ตาม
แต่ว่าท่านแม่เป็นคนรอบคอบ ดูได้จากสิ่งของมีค่าของท่านแม่ถูกพวกซ่างกวนชิงแย่งชิงไปจนหมด แต่ใครจะรู้เล่าว่านางจะได้ครอบครองของที่มีค่าที่สุดเอาไว้แล้ว
ปิ่นปักผมทองสิบสองอันที่มีลวดลายดอกเหมยเหมือนกับตราสัญลักษณ์บนเอวของนาง
ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง นี่จะต้องมีความสำคัญต่อท่านแม่เป็นอย่างยิ่ง
หากดูจากอุปนิสัยของท่านแม่แล้ว คนที่จิตใจอำมหิตคิดชั่วไม่มีทางได้รับของจากท่านแม่อย่างแน่นอน
หรือว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ? ทั้งที่นางเพียงออกมาพักผ่อนหย่อนใจเท่านั้น แต่กลับพบกับสาวใช้ของท่านแม่ที่โรงบ่อน?
โชคชะตาไม่อาจอธิบายด้วยถ้อยคำพร่ำพรรณนาได้
“อวี้อัน หากฟางกูเป็นสาวใช้ประจำตัวของท่านแม่จริง เช่นนั้นพอจะมีวิธีตรวจสอบหรือไม่?”
โชคดีที่นางมีผู้รอบรู้เรื่องในวังหลวงอย่างอวี้อันอยู่
“มีพ่ะย่ะค่ะ เมืองหลินเทียนบัญญัติกฎระเบียบเอาไว้อย่างชัดเจนว่าสาวใช้จะต้องลงทะเบียนชื่อ ไม่ว่าบ้านเกิดหรือสถานที่เติบโตล้วนต้องมีบันทึกข้อมูลทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ โดยเฉพาะข้าราชบริพารที่คอยรับใช้เจ้านาย พวกเขาต้องบอกชื่อที่อยู่อาศัยให้ชัดเจน หากฟางกูนำหลักฐานออกมา เช่นนั้นหนู่ปี้จะต้องรู้อย่างแน่นอน
คำพูดของอวี้อันทำให้หัวใจของหลินเมิ้งหยาสงบลง
อันที่จริงนางยังมีความหวังเล็กๆ เก็บซ่อนเอาไว้ว่าฟางกูจะเป็นคนสนิทของท่านแม่
หากเป็นเช่นนั้น เท่านี้นางก็จะได้รู้เรื่องราวของท่านแม่มากขึ้น
ดื่มชาไปแล้วสองรอบ แม้แต่หมิ่นเอ๋อร์เองยังส่งสายตาไปทางเรือนเล็กหลังนั้น
หลินเมิ้งหยามองประตู ขนคิ้วขมวดมุ่น
“แม่นางหมิ่นเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าปกติแล้วนายของเจ้านำของมีค่าไปเก็บไว้ที่ใด?
หมิ่นเอ๋อร์รีบส่ายหน้า ที่นี่คือโรงบ่อน ฉะนั้นนายหญิงจึงต้องระมัดระวังให้มาก
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
นางรู้สึกว่าฟางกูหายไปนานมากแล้ว
“มิสู้เจ้าไปดูด้วยกันกับข้าดีหรือไม่ ข้ามิได้รู้สึกอยากละลาบละล้วงนายของเจ้า แต่พวกข้ายังมีสิ่งอื่นให้ต้องทำ หากเรื่องนี้ทำให้เจ้าลำบากใจ เช่นนั้นอีกสองสามวันพวรเราค่อยมาพบกันดีเถิด”
—————-
หมายเหตุ
[1] จ่างกงจู่ หมายถึงพระธิดาองค์โต