ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 17 บทที่ 486 ดั่งหัวใจถูกพันธนาการ
ไล่อ่านประวัติของฟางกู รู้ข้อมูลเพียงว่านางสกุลอู๋และเข้าวังตอนอายุหกขวบ
ตอนอายุสิบสามปีจึงได้มารับใช้ท่านแม่ ทว่าสามปีต่อจากนั้นท่านแม่ก็พานางออกจากวัง
เวลาสามปีกับชีวิตคนเป็นเพียงเวลาชั่วพริบตาเท่านั้น
ทว่าฟางกูกลับใช้ชีวิตของตนเองเพื่อรอคอยท่านแม่ที่เคยมีความทรงจำร่วมกับนางเพียงสามปีคนนั้น
หมิ่นเอ๋อร์เล่าว่าฟางกูมักจะนั่งอยู่ข้างเตียงพลางเหม่อมองปิ่นลายดอกเหมยอันนั้น
บางทีคงกำลังคิดถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่กับท่านแม่กระมัง
แม้สีหน้าของฟางกูจะขาวซีด แต่หลินเมิ้งหยาสั่งให้หมิ่นเอ๋อร์นำเครื่องประทินผิวมาตกแต่งใบหน้าของนางให้งดงาม
หากไม่มีบาดแผลชวนหวาดผวาที่คอ ฟางกูก็มิต่างอะไรจากคนกำลังนอนหลับสนิท
“หมิ่นเอ๋อร์ เจ้าช่วยข้าสักเรื่องได้หรือไม่? อย่าพูดกับใครเรื่องการตายของฟางกู หากมีคนถาม เจ้าจงตอบว่านางออกเดินทางไกล อีกสักพักกว่าจะกลับมา”
หลินเมิ้งหยาลุกขึ้น สายตายังคงจับจ้องฟางกูขณะกระซิบเสียงเบา
“เจ้าค่ะ”
หมิ่นเอ๋อร์ที่ยังคงมีน้ำตาไหลนองหน้าตกปากรับคำง่ายดายจนหลินเมิ้งหยารู้สึกผิดปกติ
“ช่างเถิด เจ้าไปกับพวกข้าจะดีกว่า ที่นี่เป็นสถานที่โสมม เจ้าเป็นเด็กสาวเพียงคนเดียว หากไม่มีฟางกูอยู่แล้ว เกรงว่าอาจมีปัญหาเกิดขึ้นกับเจ้าได้ เจ้าไปกับข้าก่อน เมื่อเวลาผ่านไป ปข้าจะหาสถานที่สงบสุขให้เจ้าได้ใช้ชีวิตต่อ เจ้ามีญาติหรือไม่? ข้าสามารถส่งเจ้าไปอยู่กับพวกเขาได้”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง ที่นี่ไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่รู้ว่าฟางกูใช้อะไรมาควบคุมคนเหล่านั้น แต่ที่นี่เป็นโรงบ่อน ดังนั้นการปล่อยให้หมิ่นเอ๋ อร์อยู่ที่นี่เพียงคนเดียวจึงไม่สะดวกนัก
“จวิ้นจู่อย่ากังวลไปเลย ข้าไม่มีทางทำให้พวกท่านลำบาก หากมีคนมาถาม ข้าจะไม่มีทางขายเรื่องของพวกท่านอย่างแน่นอน”
หมิ่นเอ๋อร์ฉลาดเฉลียวผิดกับที่พวกเขาคิดไว้ นางมองความคิดแกมดูแคลนของทุกคนออก
แม้แต่หลินเมิ้งหยาเองยังรู้สึกละอายจนแทบอยากจะมุดแผ่นดินหนี
“ในเมื่อท่านฟางกูจงรักภักดีต่อท่านแม่ของจวิ้นจู่เช่นนี้ ข้าเองก็จะภักดีต่อท่านฟางกูเช่นเดียวกัน ข้ารู้ว่าพวกท่านล้วนเป็นคนมีการใหญ่ให้ต้องทำ เหตุที่นายหญิงต้องตายก็ เพราะต้องการปกป้องพวกท่าน โชคดีที่ข้าเติบโตขึ้นมาในโรงบ่อน ดังนั้นข้าจึงรู้เรื่องพวกนี้อยู่บ้าง วางใจเถิด ข้าไม่มีทางขายพวกท่านอย่างแน่นอน”
เอ่ยเสียงแหบพร่า คำพูดไม่เหมือนเด็กสาวบริสุทธิ์ที่เคยผ่านความโหดร้ายของโลกใบนี้มาก่อน
หลินเมิ้งหยามิอาจปฏิเสธได้ว่าเหตุผลที่นางต้องการพาหมิ่นเอ๋อร์ไปก็เพราะกลัวว่านางจะแพร่งพรายความลับของตนเอง
แต่เมื่อถูกนางจับได้เช่นนี้ ใบหน้าของนางจึงอดที่จะรู้สึกร้อนผ่าวไม่ได้
“พวกข้าเชื่อใจเจ้า เช่นนั้นพวกข้าจะนำร่างของฟางกูไป เจ้าต้องระมัดระวังตัวด้วย หากภายภาคหน้าเจอเรื่องลำบาก เจ้าจงนำปิ่นลายดอกเหมยของฟางกูมาแสดงเพื่อขอเข้าพบข้าที่จวนไท่จื อได้ทุกเมื่อ”
หลินเมิ้งหยามอบปิ่นลายดอกเหมยให้หมิ่นเอ๋อร์
ทางฝั่งของจั่วชิวอวี้และอวี้อันหาผ้าสะอาดมาผืนหนึ่งและห่อร่างของฟางกูเอาไว้
หมิ่นเอ๋อร์มองหลินเมิ้งหยา ดวงตาสีแดงก่ำบวมเป่งจับจ้องมองร่างของฟางกู
“ไม่จำเป็นเจ้าค่ะ ของสิ่งนี้เป็นของสำคัญของนายหญิงฟางกู ข้าไม่อาจเอาไปได้ แม้ข้าจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนสังหารนายหญิง แต่ข้าขอให้ท่านรับปากข้าว่าจะหาตัวฆาตกรจนพบแล้วล้าง งแค้นให้นางด้วย”
มองดวงตามุ่งมั่นของหมิ่นเอ๋อร์ หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง
เมื่อได้เห็นนาง หลินเมิ้งหยารู้สึกเหมือนเห็นตัวเองในอดีต
ทว่านางเป็นผู้สังหารศัตรูด้วยน้ำมือของตนเอง แต่หมิ่นเอ๋อร์กลับฝากความหวังนั้นไว้ที่ผู้อื่น
ผงกศีรษะรับคำ มิใช่เพื่อสัญญากับหมิ่นเอ๋อร์ แต่นางจะต้องหาตัวคนร้ายออกมาให้ได้
เมื่อเห็นอีกฝ่ายตกปากรับคำ หมิ่นเอ๋อร์หยักยิ้ม
หลินเมิ้งหยากู่ร้องในใจ ก่อนจะรีบยื่นมือเข้าไปจับข้อมือของหมิ่นเอ๋อร์
แต่สายไปแล้ว ปลายมีดคมกริบแทงทะลุหัวใจของหมิ่นเอ๋อร์
“อย่านะ!”
หลินเมิ้งหยาส่งเสียงร้องตะโกนจากหัวใจ แม้แต่หลงเทียนอวี้เองก็ไหวตัวไม่ทัน
มองหมิ่นเอ๋อร์ที่เพิ่งจะขอร้องหลินเมิ้งหยาทรุดตัวลงไปกองกับพื้น
ส่วนหลินเมิ้งหยาที่จับข้อมือของนางเอาไว้ก็ล้มลงไปกับอีกฝ่ายด้วย
“หมิ่นเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงโง่เขลาเช่นนี้! เร็วเข้า รีบเอายาห้ามเลือดมา ข้าจะช่วยนาง! ข้าต้องช่วยนาง!”
ทว่าช้าไปแล้ว เงาแห่งความตายปกคลุมใบหน้านวลของหมิ่นเอ๋อร์
หลินเมิ้งหยาเป็นหมอ นางไม่มีทางไม่รู้ว่าหมิ่นเอ๋อร์ที่แทงมีดลงไปยังตำแหน่งหัวใจไม่มีทางรอดแล้ว
แม้แต่เทคโนโลยีในสมัยปัจจุบันเองก็คงมิอาจช่วยชีวิตนางเอาไว้ได้
แล้วจะนับประสาอะไรกับเหตุการณ์ในยุคนี้
“อย่า…อย่าเสียเวลาเลย จวิ้นจู่…มีเพียงคนตายเท่านั้น…จึงจะไม่อาจทรยศต่อท่านได้…จำ…จำเรื่องที่รับปากข้าเอาไว้ให้ดี”
ความเจ็บปวดทำให้หมิ่นเอ๋อร์พูดออกมาไม่เป็นประโยค
หลินเมิ้งหยาใช้มือปิดบาดแผลของนาง แต่ไม่ว่านางจะพยายามยับยั้งเช่นไร แต่โลหิตสีแดงสดก็ยังทะลักออกมาดั่งสายน้ำ
“ข้าไม่ลืม ข้าจะล้างแค้นแทนฟางกู เจ้าอดทนไว้ ข้าจะรักษาเจ้าเอง ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
แต่ไม่ว่าหลินเมิ้งหยาจะเป็นหมอที่เก่งกาจเพียงใด ทว่าชีวิตของหมิ่นเอ๋อร์ใกล้จะดับสูญเต็มที
เพียงได้ยินนางเอ่ยว่าจะแก้แค้นแทนฟางกู อยู่ๆ หมิ่นเอ๋อร์ก็หยักยิ้ม
ในที่สุดชีวิตของเด็กสาวคนนี้ก็จบลงด้วยความโล่งใจ
หลินเมิ้งหยารู้สึกได้ว่าร่างของนางกำลังเย็นลง
ตั้งแต่ออกจากโรงบ่อน หลงเทียนอวี้ก็อุ้มนางเอาไว้ในวงแขนตลอดเวลา
แม้จะกลับถึงจวนไท่จื่อแล้ว แต่นางยังคงเหม่อลอย
จั่วชิวอวี้และอวี้อันนำร่างของหมิ่นเอ๋อร์และฟางกูไปวางในสถานที่สงบ
ทว่าสายตาของหลินเมิ้งหยายังคงทอดยาวอย่างไร้จุดหมายปลายทาง
ความตาย สำหรับหลินเมิ้งหยาเป็นเพียงคำจำกัดความที่นางแทบไม่รู้จัก
แต่ถึงกระนั้นนางก็เคยพบเจอกับความโศกเศร้าและผิดหวังกับคำนี้มาแล้ว
ทว่าคนรอบตัวที่นางใส่ใจล้วนจากไปต่อหน้าต่อตานางดั่งฟองอากาศ
หลงเทียนอวี้มองหลินเมิ้งหยาด้วยสายตาเป็นกังวล แม้นางมักจะแสดงท่าทางเหมือนมิแยแสสิ่งใด แต่อันที่จริงนางเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของทุกคนมาก
โดยเฉพาะสองนายบ่าวฟางกูและหมิ่นเอ๋อร์ อย่าว่าแต่หลินเมิ้งหยาเลย แม้แต่เขาเองก็อดที่จะใจสั่นไหวมิได้
แต่หลงเทียนอวี้กลัวเหลือเกินว่านางจะโยนความรับผิดชอบทั้งหมดให้ตัวเอง
นับตั้งแต่การตายของเยว่ถิง หัวใจของหลินเมิ้งหยาก็มีปีศาจแฝงตัวอยู่ในใจแล้ว
นางมักคิดเสมอว่าตนเองนำพาความโชคร้ายมาสู่ทุกคน ดังนั้นนางจึงยอมปล่อยเสี่ยวอวี้และไล่ป๋ายซูไป
ครั้นเมื่อป๋ายซ่าวได้รับบาดเจ็บ เขาเห็นท่าทางบ้าคลั่งของนาง
หากยังมีอีกครั้งแล้วล่ะก็ ปีศาจร้ายในตัวของนางอาจตื่นขึ้น เกรงว่าหลินเมิ้งหยาคงถลำลึกและมิอาจออกมาได้
หลงเทียนอวี้เกิดความคิดที่ว่าหลินเมิ้งหยาไม่น่าเป็นคนฉลาดและมีความสามารถมากถึงเพียงนี้เลย
หากนางยังสติฟั่นเฟือน เช่นนั้นนางก็คงไม่ต้องคิดอะไรมาก
ตอนนี้ไม่มีใครสามารถช่วยนางได้อีกแล้ว
เมื่อครู่ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร หลินเมิ้งหยาก็ไม่ตอบสนอง ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงคุ้มครองนางอยู่ข้างๆ และมองนางด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยเท่านั้น
ทว่าในทางตรงกันข้าม ความตายของฟางกูทำให้ปีศาจร้ายในหัวใจของหลินเมิ้งหยาถูกปลุกขึ้นมา แต่การตายของหมิ่นเอ๋อร์ทำให้นางได้สติ
ฟางกูยอมตายเพื่อปกป้องตนเอง ส่วนหมิ่นเอ๋อร์ยอมตายเพื่อฟางกู
พวกนางล้วนมีทางเลือก แต่กลับตัดสินใจที่จะจบชีวิตลง
หลินเมิ้งหยาไม่เคยเข้าใจความคิดเช่นนี้ จนกระทั่งตอนนี้นางก็พูดไม่ออก
แน่นอนว่านางมีส่วนรับผิดชอบต่อการตายของพวกนาง
แต่เพราะนางมีความสามารถไม่เพียงพอและมิอาจหักห้ามจิตใจของมนุษย์ ดังนั้นเหตุการณ์น่าเวทนาเช่นนี้จึงเกิดขึ้น
หากนางยังคงดำดิ่งอยู่กับความรู้สึกผิด เช่นนั้นคนรอบกายนางจะต้องบาดเจ็บล้มตายอีกเท่าไร?
อำนาจ ตำแหน่ง นางไม่เคยสนใจสิ่งเหล่านี้ แต่มันคือวิธีที่จะสามารถปกป้องคนของตนเองได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจะยังต้องคิดสิ่งใดอีก?
หากวันหนึ่งนางสามารถยืนหยัดต่อหน้าพวกเขาได้โดยมิจำเป็นต้องให้ใครคอยปกป้อง เช่นนั้นความตายจะมิใช่ฝันร้ายของนางอีกต่อไป
หลินเมิ้งหยารู้สึกได้ว่าตนเองต่างไปจากแต่ก่อน ทว่ากระทั่งนางเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งใดกันแน่ที่เปลี่ยนไป
เมื่อออกจากระบบเซินหนงและกลับมายังโลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง ร่องรอยแห่งความเย็นชาพลันหายไปจากดวงตา
“เป็นอย่างไรบ้าง? รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”
หลงเทียนอวี้จ้องมองลึกลงในแววตาของนาง ไร้ร่องรอยของความเจ็บปวดอีกต่อไป
โทสะเจิดจ้าในแววตาของนางอีกครั้ง หัวใจที่ถูกแขวนอยู่กลางอากาศพลันร่วงหล่นลงพื้น
แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงมีความกังวลอยู่หลายส่วน เหตุเพราะกลัวว่านางจะคิดไม่ได้
“ไม่เป็นไรเพคะ ร่างของฟางกูและหมิ่นเอ๋อร์เป็นเช่นไรบ้าง? หม่อมฉันว่าพวกเราหาสถานที่เหมาะสมแล้วฝังพวกนางทั้งสองเถิด”
หลินเมิ้งหยาแสดงสีหน้าสงบนิ่ง ราวกับกำลังคุยเรื่องคอขาดบาดตายกับหลงเทียนอวี้
อีกฝ่ายชะงัก ท่าทางสุขุมสงบนิ่งและมีสติในการจัดการเช่นนี้เป็นหลินเมิ้งหยาไม่ผิดแน่
ทว่าความสุขุมของนางในเวลานี้ทำให้หลงเทียนอวี้ประหลาดใจไม่น้อย
“พระองค์มองหม่อมฉันเช่นนี้ด้วยเหตุใดหรือเพคะ? หรือจะให้หม่อมฉันร้องห่มร้องไห้แสดงความเสียใจต่อพวกนาง? หม่อมฉันจะไม่ทำเช่นนั้น น้ำตามีไว้ไหลตอนฝังร่างศัตรูลงดินได้เท่านั้น ต ตอนนี้หม่อมฉันอยากหาตัวฆาตกรออกมาเพื่อชำระหนี้แค้นแทนพวกนางเพคะ”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยอย่างมีเหตุผลจนหลงเทียนอวี้จับความผิดปกติไม่ออก
บางทีนางอาจกำจัดปีศาจร้ายในใจได้แล้วกระมัง
ยืดเส้นยืดสาย หลินเมิ้งหยาเหม่อมองท้องฟ้า ย่ำค่ำแห่งรัตติกาลมาเยือนแล้ว