ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 17 บทที่ 487 นรกหลายขุม
หากคิดจะฝังร่างฟางกูและหมิ่นเอ๋อร์ตอนนี้ เกรงว่าจะทำให้คนที่จับตามองพวกเขาอยู่ตื่นตระหนกอย่างแน่นอน
ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงต้องจำใจรักษาร่างของสตรีที่น่าสงสารแต่ควรค่าแก่การเคารพทั้งสองเอาไว้ภายในห้องเย็นของจวนไท่จื่อก่อน
หลินเมิ้งหยามีท่าทีใจเย็นจนหลงเทียนอวี้และพวกจั่วชิวอวี้รู้สึกประหลาดใจ
หลังจากจัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หลินเมิ้งหยากลับไปยังห้องอ่านหนังสืออีกครั้งเพื่อวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ภายในสวนนอกห้องอ่านหนังสือ หลงเทียนอวี้จ้องมองเงาที่ไม่ขยับเขยื้อนหลังบานหน้าต่างด้วยสายตาเป็นกังวล
“เจ้ากำลังเป็นห่วงนางอย่างนั้นหรือ?”
น้ำเสียงสุขุมถามขึ้น หลงเทียนอวี้รู้ได้ทันทีว่านั่นเป็นเสียงของคนที่กำลังกังวลเช่นเดียวกันอย่างจั่วชิวอวี้
แม้หลงเทียนอวี้จะไม่ตอบ ทว่าใบหน้าเคร่งขรึมของเขาเป็นคำตอบให้จั่วชิวอวี้เป็นอย่างดี
“จะว่าไปก็แปลก ข้าเคยเชื่อมาเสมอว่าโรคภัยบนโลกใบนี้ล้วนมียารักษา แต่อาการป่วยใจกลับไร้หนทางรักษาเลยแม้แต่น้อย”
ใบหน้าหล่อเหลาของจั่วชิวอวี้สะท้อนความละอายใจ
บางทีเขาอาจกำลังรู้สึกผิดที่ตนเองและฮวงซงชักนำหลินเมิ้งหยาเข้าสู่กองเพลิงในคราวนี้
“นาง…จะต้องคิดได้”
หลงเทียนอวี้เชื่อมั่นในตัวหลินเมิ้งหยา
นางเป็นคนฉลาด สักวันหนึ่งนางจะต้องก้าวผ่านความเจ็บปวดได้
“อืม หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น จริงสิ เรื่องที่เจ้าคุยกับฮวงซงเอาไว้เป็นเช่นไร?”
เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเมิ้งหยา จั่วชิวอวี้มักแสดงท่าทางโง่เขลาอยู่เสมอ
เขามักจะปล่อยให้นางรังแกเพื่อทำให้นางอารมณ์ดี
ถ้าหากคนที่เติบโตมาในวังหลวงตั้งแต่วัยเยาว์เช่นเขาเป็นเพียงคนใสซื่อไร้เดียงสา เช่นนั้นเขาคงไม่มีชีวิตรอดจนถึงทุกวันนี้
ดวงตาสงบนิ่งคมกริบสะท้อนภาพจั่วชิวเฉินในแววตา
“ทั้งหมดราบรื่นดี วันที่เจ้ากลายเป็นผู้อาวุโสแห่งหอป๋ายเฉา วันนั้นจะเป็นวันกวาดล้าง”
เก็บซ่อนความรู้สึกลึกซึ้งระหว่างชายหญิงไว้ในใจ ร่างสูงโปร่งงดงามดั่งหยกของหลงเทียนอวี้สะท้อนความเย็นชาผ่านทางสีหน้า
เขาในเวลานี้มิต่างอันใดจากเทพเจ้าแห่งความโชคร้ายซิวหลัว ไม่ว่าใครก็มิอาจรอดพ้นจากกับดักที่เขาวางเอาไว้ได้
กลิ่นคาวเลือดได้ปลุกสัตว์ร้ายเหล่านั้นให้ตื่นขึ้นมาแล้ว
ส่วนหลงเทียนอวี้เปรียบเสมือนราชาของพวกปีศาจร้าย
การเข่นฆ่าได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!
หลินเมิ้งหยาออกจากระบบเซินหนง ก่อนถอนหายใจยาว
ข้อมูลทั้งหมดสรุปเสร็จเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้ก็ถึงวันของการแข่งขันแล้ว
แม้จั่วชิวอวี้จะได้รับอภิสิทธิ์พิเศษจากฮ่องเต้จึงได้เข้าร่วมการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ แต่เพราะพวกเขาล้วนเป็นเชื้อพระวงศ์ ดังนั้นพรุ่งนี้จึงต้องเดินทางไปเข้าร่วมชมการแข่งขันด้วย
เมื่อถึงเวลานั้นสงครามการปะทะคารมคงเริ่มต้นขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้นหลินเมิ้งหยาไม่อยากเป็นเต่าที่หดหัวอยู่แต่ในกระดอง ถึงอย่างไรเรื่องของคุณชายจูก็สร้างความตื่นตระหนกให้คนหมู่มากแล้ว
หากยังไม่เคาะภูเขาเขย่าพยัคฆ์ต่อ เกรงว่าคนเหล่านั้นคงมองว่าพวกนางเป็นเพียงลูกพลับนิ่มที่สามารถรังแกได้ง่ายๆ
เปลวเทียนสั่นไหว อวี้อันที่ยุ่งมาตลอดทั้งวันอ้าปากหาว
ทว่าสายตายังคงไม่กล้าละออกจากอันเล่อจวิ้นจู่
ไม่นานเสียงเอะอะพลันดังขึ้นที่ด้านนอก
หลินเมิ้งหยาและอวี้อันถูกเสียงนั้นทำให้ตื่นตระหนก หลังจากสบตากันแล้ว ทั้งคู่รีบวิ่งผลุนผลันออกจากห้องอ่านหนังสือ
แสงจากคบเพลิงส่องสว่างไปทั่วทั้งบริเวณ
ยังไม่ทันที่หลินเมิ้งหยาจะขยับตัวเข้าไปใกล้ นางก็ได้เห็นคนชุดดำกลุ่มหนึ่งยืนอยู่กลาง แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของหลงเทียนอวี้และจั่วชิวอวี้
“เชิญจวิ้นจู่รอที่นี่ก่อนสักครู่ หนู่ฉายจะไปสอบถามเองพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้อันดันตัวหลินเมิ้งหยาเข้าไปหลบในที่ลับตาคนเพื่อให้นางซ่อนตัว
ส่วนตนเองพุ่งขึ้นไปข้างหน้าแล้วสอบถามอย่างละเอียด เมื่อเขาหันหลังกลับ เหตุการณ์พลันเปลี่ยนแปลงกะทันหัน
อยู่ๆ ชายชุดดำสองสามคนที่อยู่ตรงกลางก็กระโดดขึ้นสูง สายตาเหลือบไปเห็นใบมีดคมกริบกำลังจะฟันลงกลางหลังของอวี้อัน
ราวกับชายหนุ่มร่างบางคนนี้มีตาหลัง ชั่วพริบตาเดียวเขาก็เอี้ยวตัวหลบการโจมตีของคนเหล่านั้น
ครู่ต่อมาพวกองครักษ์ชุดดำไหวตัวทันจึงรีบพุ่งตัวเข้าไปโจมตีคนเหล่านั้น หลังจากปะทะกันสองสามหน สุดท้ายก็จับตัวคนสอดแนมได้
แต่ขณะเดียวกันหลินเมิ้งหยากลับตกเป็นเป้าไปเสียแล้ว
คนชุดดำที่แอบซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ พุ่งเข้าไปหาหลินเมิ้งหยา
อวี้อันร้อนใจเป็นอย่างมาก แม้จะอยากเข้าไปปกป้องก็ไม่ทันเสียแล้ว
คิดไม่ถึงเลยว่าคนชุดดำสี่คนจะเข้าไปล้อมตัวหลินเมิ้งหยาเอาไว้ ทว่าครู่ต่อมาเสียงแผดร้องพลันดังขึ้น ก่อนที่ร่างทั้งสี่จะร่วงลงไปกองกับพื้น
“พวกเจ้าบังอาจเข้าใกล้ข้าอย่างนั้นหรือ!”
เสียงเย็นเฉียบทำให้หัวใจของพวกเขาสั่นสะท้าน
ท่ามกลางความมืด แสงสีม่วงและเขียวเปล่งประกายระยิบระยับ หลินเมิ้งหยาสาวเท้าออกมาทีละก้าว
ใบหน้านวลสีขาวอมชมพู ริมฝีปากสีสดดั่งสีเลือด เส้นผมสีดำขลับมีที่ติดผมสีเงินหนีบเอาไว้
ชุดสีแดงทับทิมมีบางส่วนกลายเป็นสีม่วง แขนขาวนวลเรียวยาว ทว่าเล็บมือกลับมีสีประหลาดไป
ดวงตาดำขลับดั่งนิลเย็นชาดุจน้ำแข็ง จิตสังหารแผ่ซ่านจนศัตรูขนลุกชัน
“จวิ้นจู่เป็นอะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ขณะเดียวกันอวี้อันเก็บท่าทางเป็นกังวลที่แสดงออกมาแล้วเข้ามายืนข้างกายหลินเมิ้งหยา
ภายในห้องโถง อันที่จริงองครักษ์ทางฝั่งหลินเมิ้งหยามิได้มากฝีมือ แต่พวกคนสอดแนมเหล่านั้นกลับตัวสั่นงันงก
ราวกับสาวงามผู้ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดคนนี้สามารถปลิดลมหายใจของพวกเขาได้ทุกเมื่อ
แม้แต่พวกที่กำลังพยายามต่อสู้กับเหล่าองครักษ์เองก็นึกหวาดกลัวจับใจ
พวกองครักษ์อาศัยจังหวะนี้รวบตัวพวกคนสอดแนมจนสำเร็จ
อาวุธถูกโยนออกไป คนสอดแนมทั้งแปดถูกทหารองครักษ์จ่อมีดไว้ที่คอจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้
หลินเมิ้งหยามองพวกเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทว่าสายตากลับเย็นชาดุจน้ำแข็ง
“ใครส่งพวกเจ้ามา?”
เอ่ยถามเสียงเย็น เพียงได้เห็นดวงตาสีดำดั่งนิลคู่นั้น พวกคนสอดแนมที่ถูกฝึกมาอย่างดีรู้สึกราวกับถูกสะกด
พวกเขาไม่อาจรู้เลยว่าที่จริงแล้วหลินเมิ้งหยากำลังเปิดการใช้งานฟังก์ชั่นการสะกดจิตของระบบเซินหนงอยู่
แม้จะไม่สามารถทำให้พวกเขาตกอยู่ในภาวะถูกสะกดอย่างสมบูรณ์แบบได้ แต่เมื่อมีกลิ่นมี่ทัวบนร่างของนางคอยช่วยเหลือ จิตวิญญาณของพวกเขาจึงล่องลอย
“พวกเราคือ…คนที่ใต้เท้าหลี่หยวนส่งมา…”
คนสอดแนมที่มีท่าทางไม่เอาถ่านเท่าไรเอ่ยออกมาด้วยท่าทางราวกับถูกสะกด
หลินเมิ้งหยาเบนสายตาไปมองเขา
“จริงหรือ?”
อีกฝ่ายมีท่าทางเหม่อลอยราวกับถูกนางสะกดโดยสมบูรณ์แบบแล้ว
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับเหยียดยิ้ม ฝ่ามือแบออก ยาลูกกลอนสีแดงดั่งโลหิตถูกยัดเข้าไปในปากของชายคนนั้น
วินาทีต่อมา ชายที่มีท่าทางเหม่อลอยเมื่อครู่พลันได้สติ
เขาพยายามคายยาเม็ดนั้นออกมา แต่หลินเมิ้งหยากลับออกแรงบังคับให้เขากลืนมันลงไป
หลินเมิ้งหยารู้ฤทธิ์ของยาชนิดนี้ดี เหตุเพราะมันคือยาที่ท่านอาจารย์ปรุงขึ้นก่อนจะเสียสติ
ครู่ต่อมา ชายคนนั้นมีท่าทางเหมือนคนถูกปล้นวิญญาณ ดวงตาเลื่อนลอย น้ำลายไหลย้อยลงพื้น
หลินเมิ้งหยากระตุกยิ้มเย็น ขยับเท้าเข้าใกล้ชายคนนั้น ดวงตาสีดำขลับจ้องตาของอีกฝ่ายนิ่ง
“คนโกหกต้องตกนรก!”
เสียงแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบดังลอดออกจากกลีบปากบาง ทว่าคนที่อยู่บริเวณรอบๆ กลับได้ยินอย่างชัดเจน
อยู่ๆ ชายที่มีอาการเหม่อลอยคนนั้นก็แผดเสียงร้องน่าเวทนาออกมา
สีหน้าหวาดกลัว ซ้ำยังเกลือกกลิ้งร้องห่มร้องไห้บนพื้น
ท่าทางน่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง ทว่าร่างกายกลับไม่ปรากฏบาดแผลใด
หลังจากกระเสือกกระสนอยู่ครู่หนึ่ง ลมหายใจของเขาก็เริ่มแผ่วเบา
น้ำตายังคงไหลนองหน้า สีหน้าหวาดกลัวสุดขีด แม้จะยังไม่ตาย แต่เขาก็กลายเป็นคนพิการไปเสียแล้ว
“หาที่โยนเขาทิ้งไปเถิด เขากลายเป็นบ้าไปแล้ว ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป ต่อไปจะเป็นใครดีนะ?”
กลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งโชยมาจากร่างของชายที่นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น
คนที่เหลือเริ่มตัวสั่นงันงก ทั้งที่เมื่อครู่ชายคนนั้นยังปกติดีอยู่แท้ๆ แต่เวลาเพียงชั่วอึดใจเขาก็เสียสติไปแล้ว
แม้ชายคนนั้นจะมิใช่คนไร้หัวใจก็ตาม แต่พวกเขาก็รู้จักคนคนนั้นดี
ทว่าตอนนี้เขาถูกอันเล่อจวิ้นจู่ทำให้กลายเป็นบ้า สิ่งนี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่าการฆ่าพวกเขาให้ตาย
“เจ้านี่มิได้แกล้งทำหรอก หากพวกเจ้าไม่เชื่อ เช่นนั้นจะลองดูก็ได้”
หลินเมิ้งหยาไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะหลอกตนเอง ยาชนิดนี้ชื่อว่าหมีหุนตาน มันสามารถทำลายสติสัมปชัญญะของคนได้
ปกติแล้วยานี้มิได้ออกฤทธิ์เร็วถึงเพียงนี้ แต่เพราะนางใช้กลิ่นมี่ทัวและคลื่นสะกดจิตเข้าช่วย ดังนั้นมันจึงสามารถสะกดจิตชายคนนั้นได้ง่ายๆ
ขณะที่ศึกษาระบบเซินหนง อาจารย์เคยบอกว่าสมองของมนุษย์คืออวัยวะที่ซับซ้อนที่สุด
ตามทฤษฎีแล้ว มนุษย์ด้วยกันสามารถส่งผ่านคลื่นสะกดจิตให้อีกฝ่ายได้ แต่ด้วยเทคโนโลยีในตอนนี้มิเอื้ออำนวย ดังนั้นนางจึงใช้ระบบเซินหนงเข้าช่วย
เมื่อครู่นางฉายภาพลวงผ่านทางจอประสาทตา
พูดง่ายๆ ก็คือนางส่งที่ตนเองคิดเข้าไปฉายในสมองของอีกฝ่าย
หรืออาจพูดได้อีกอย่างก็คือสิ่งที่อีกฝ่ายเห็นเกิดขึ้นจากการสะกดจิต
มันคือนรกหลายขุมที่พวกเขาไม่อาจทนเห็นได้จนพ่ายแพ้ไปในที่สุด
หากเขามิได้โกหกหลินเมิ้งหยา เกรงว่าเขาคงไม่ต้องพบจุดจบอันน่าสังเวชเช่นนี้
ดวงตาคู่สวยกวาดมองคนเหล่านั้น เชื่อว่าภาพเหตุการณ์เมื่อครู่โหดเหี้ยมมากพอที่จะทำให้นางได้รู้ความจริงแล้ว
“พวกเจ้าอย่าได้รนหาที่ตายเชียว แม้พวกเจ้าจะตาย ข้าก็ยังสามารถขุดศพของพวกเจ้ามาหาคำตอบที่ข้าต้องการได้อยู่ดี เข้ามา นำตัวพวกเขาไปขังไว้”