ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 17 บทที่ 489 ใจคนยากแท้หยั่งถึง
การปรากฏตัวของหลินเมิ้งหยาทำให้คนเหล่านั้นตัวสั่นเทิ้ม
จิตใจของนางผิดแผกแปลกประหลาด ซ้ำวิธีลงมือยังโหดเหี้ยมอำมหิต
ภาพเหตุการณ์ของชายคนนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในสมองของพวกเขา
เวลานี้นางปรากฏตัวพร้อมรอยยิ้มอีกครา ท่าทางประหนึ่งคนเชือดหมูที่กำลังประเมินหมูในอวยอย่างพวกเขา
ไม่ บางทีคำว่าเพชฌฆาตฝีมือฉกาจอาจเหมาะสมกับสถานการณ์เช่นนี้มากกว่า
“อย่ากลัวไปเลย ในมือของพวกเจ้าทุกคนล้วนกำสิ่งที่ข้าสนใจใคร่รู้อยู่ แน่นอนว่าข้าไม่มีทางทำร้ายพวกเจ้าง่ายๆ อย่างแน่นอน พวกเจ้าสามารถนำสิ่งเหล่านั้นมาเป็นทุนในการต่อรองราคา ากับข้าได้”
คิดไม่ถึงเลยว่าคำแรกที่นางพูดคือการสอนวิธีเอาตัวรอดจากเงื้อมมือของนาง
มิใช่การขู่บังคับเพื่อล้วงเอาข้อมูล แต่ถึงกระนั้นการกระทำของนางเช่นนี้กลับทำให้พวกเขาไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของอีกฝ่าย
“น่าเสียดาย….”
หลินเมิ้งหยาพลิกลิ้น อยู่ๆ แววตาก็ฉายแววลำบากใจ
“น่าเสียดายที่ผู้ได้รับโอกาสนั้นมีเพียงคนเดียว ส่วนคนอื่นข้ายินดีที่จะให้พวกเจ้าได้เป็นมนุษย์ลองยาของข้า”
มือซ้ายแบออก ยาลูกกลอนเม็ดกลมหลากสีสันหกลูกนอนนิ่งอยู่ในฝ่ามือของนาง
ขณะเดียวกันหัวใจของชายทั้งเจ็ดล้วนสั่นระรัวดั่งกลอง
ตอนนั้นสหายที่เคยกินเคยนอนกับพวกเขากินยาเม็ดหนึ่งเข้าไปแล้วกลายเป็นคนเสียสติแทบจะทันที
ได้ยินมาว่าพวกแพทย์พิษมักจะเลี้ยงมนุษย์ลองยาเอาไว้
เกรงว่าสิ่งที่ต้องเจอจะต้องทรมานเป็นอย่างยิ่ง
“ข้าไม่รีบ พวกเจ้าเองก็ไม่ต้องรีบเช่นเดียวกัน แต่ทันทีทีพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก เช่นนั้นพวกเจ้าต้องเลือกแล้วว่าใครจะเป็นผู้อยู่รอดคนนั้น พวกเจ้าค่อยๆ เลือก ข้ารอได้ ”
อวี้อันสั่งให้คนยกโต๊ะเก้าอี้คอยท่าอยู่นานแล้ว หลินเมิ้งหยานั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่วงท่าสง่างาม ยาเม็ดกลมกลึงหลากสีถูกวางลงบนถาดใบหนึ่ง
เม็ดยาหลากสีบนถาดสีขาวหยกท่ามกลางแสงเทียนช่างน่าพิศวงเป็นอย่างยิ่ง
มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีโอกาสรอด ดังนั้นบรรยากาศจึงอึมครึมขึ้นมา
เมื่อโอกาสรอดอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าใครก็รู้สึกหวั่นไหว
ยิ่งไปกว่านั้นนางประกาศชัดเจนแล้วว่าคนที่เหลือทั้งหกจะต้องกินยา
ความรู้สึกหวาดกลัวคืบคลานเกาะกุมจิตใจของพวกเขาทีละน้อย
“อย่าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะหลอกพวกเราได้! พี่น้องเอ๋ย พี่ใหญ่ขอล่วงหน้าไปก่อนแล้ว!”
เสียงแข็งกร้าวเย็นชาดังขึ้น หลินเมิ้งหยาหันไปมองใบหน้าถมึงทึงของชายร่างกำยำคนนั้น
รนหาที่ตาย? ล้อเล่นหรือไร ขณะที่ชายคนนั้นคิดจะกัดลิ้นฆ่าตัวตาย ร่างกายของเขาพลันอ่อนยวบลงจนไร้เรี่ยวแรง
“หากพวกเจ้าคิดจะตาย เช่นนั้นก็คงตายไปนานแล้วไม่มีทางที่จะแสดงละครแสดงจงรักภักดีต่อหน้าข้า ข้าไปตรวจประวัติของพวกเจ้าหมดแล้ว พวกเจ้าไม่มีคนสนิท เป็นเพียงมือสังหารแห่งยุทธภพ พที่ถูกจ้างวานด้วยเงินเท่านั้น แน่นอนว่าหากเจ้าอยากแสดงความจงรักภักดีต่อนายของเจ้าก็ย่อมได้ ข้าไม่คิดห้ามอยู่แล้ว เข้ามา ตัดลิ้นและป้อนยาให้เขา”
น้ำเสียงของหลินเมิ้งหยายังคงราบเรียบไม่รีบร้อน คนทั้งเจ็ดเคยไล่ต้อนนางจนกระทั่งจนมุมมาก่อน ส่วนพวกที่ถูกนางวางยาจนตายเหล่านั้นต้องการเพียงจะจับนาง แต่มิได้คิดทำร้ายนาง
ยิ่งไปกว่านั้นองครักษ์ของนางคงมิได้มีเพียงคนของหลี่หยวน
แต่ไม่ว่าจะเป็นคนของฝ่ายใด สุดท้ายพวกจั่วชิวอวี้ก็สามารถสังเกตเห็นได้ไม่ยาก
เหตุเพราะหลี่หยวนแอบช่วยเหลือพวกคนเหล่านี้ ดังนั้นการสืบสวนจึงต้องทำอย่างละเอียดรอบคอบ
วิธีที่ดีที่สุดสำหรับผู้อยู่เบื้องหลังคือการจ้างคนแปลกหน้าในยุทธภพ หนึ่งเพราะแม้จะถูกจับ แต่ก็มิอาจสืบสาวราวเรื่องได้ สองเพราะหากคิดจะกำจัดทิ้งในภายหลังก็จะไม่ถูกตรวจสอบ
เคลื่อนไหวหนึ่งครั้งแต่ได้ความปลอดภัยถึงสองอย่าง คนฉลาดมักจะทำเช่นนี้
ในบรรดาคนเหล่านี้อาจมีคนที่รับผิดชอบหน้าที่จับตามองและรับคำสั่งของผู้ว่าจ้างก็เป็นได้
พวกสี่คนที่ตายไปแล้วและชายที่กลายเป็นบ้าจะต้องมิใช่ผู้รับคำสั่งโดยตรงจากผู้ว่าจ้างอย่างแน่นอน
เหตุเพราะคนผู้นั้นยังต้องกลับไปส่งข่าวให้เจ้านายของตนเสียก่อน
ก่อนหน้านี้หลินเมิ้งหยาขังพวกเขาเอาไว้ในโรงเก็บฟืนอยู่นานสองนาน คาดว่าตอนนี้ยาร่วนจินซานจะต้องออกฤทธิ์แล้วอย่างแน่นอน
คาดว่าพวกเขาคงไม่มีเรี่ยวแรงจะกัดฟันหนีตายอีกต่อไปแล้ว
ฤทธิ์ของยาแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่าง ไม่นานร่างของคนทั้งเจ็ดก็ร่วงลงกับพื้น
ชายที่เมื่อครู่คิดจะชิงกัดลิ้นฆ่าตัวตายหดตัวอยู่ด้านในสุดด้วยสีหน้าหวาดผวา
จ้องมองยาในถาดด้วยสายตาหวาดกลัวและพยายามออกแรงดิ้นหนีฝ่ามือขององครักษ์ทั้งสอง
ตอนแรกหลินเมิ้งหยาคิดจะทำให้เขาตกใจแต่เพียงเท่านั้น แต่เมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของเขา มุมปากพลันหยักยิ้มกว้าง ก่อนจะโบกมือแล้วเอ่ย
“พอได้เห็นท่าทางของเจ้าเช่นนี้ ข้าไม่อยากทำให้เจ้าต้องลำบากแล้ว ข้าเป็นคนใจอ่อน คราวนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก็แล้วกัน”
เมื่อองครักษ์ทั้งสองได้ยินก็ปล่อยมือ การแสดงแมวไล่จับหนูจึงหยุดลง
ทว่าพวกเขากลับเข้าใจท่าทางเอาแต่ใจของหลินเมิ้งหยาดี
นางมิได้สนใจความเป็นความตายของคนเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย แต่เหตุที่นางยั้งมือก็เพราะต้องการให้พวกเขาเข่นฆ่ากันเอง
ปฏิบัติตามความพึงพอใจของนาง ถึงอย่างไรความตายของคนเหล่านี้ก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
ร่างกายอ่อนยวบยาบ หัวใจเปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวัง
อันที่จริงหลินเมิ้งหยามิได้ทำอะไร นางเพียงแค่ใช้หลักจิตวิทยาเท่านั้น
ความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง
สมองที่กำลังสับสนนำพามาซึ่งการทรยศและใส่ร้ายกันและกัน
“จวิ้นจู่! ข้าจะพูด…ข้าจะพูดหมดทุกอย่าง ได้โปรดให้โอกาสข้าด้วย”
เริ่มมีคนร้องขอชีวิตแล้ว ปฏิกิริยาตอบสนองที่หลินเมิ้งหยาคาดการณ์เอาไว้จึงเริ่มต้นขึ้น
“ไอ้คนทรยศ…ข้าจะฆ่าเจ้า!”
มีคนจงรักภักดีโต้แย้งขึ้นมาแล้ว แม้จะส่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก แต่ถึงกระนั้นก็ยังพยายามปกป้องผลประโยชน์ของผู้เป็นนาย
แน่นอนว่ายังมีพวกที่นอนดูอยู่เฉยๆ ด้วยสายตาเย็นชาเพื่อรอจังหวะที่อีกฝ่ายพลาด
“น้องชาย….ปกติข้าดีต่อเจ้ามิใช่หรือ พวกเรามาร่วมมือกัน…บางที…จวิ้นจู่อาจปล่อยพวกเราทั้งหมดไป”
การร่วมมือกันชั่วคราวนำมาซึ่งความวุ่นวาย
คนทั้งเจ็ดเริ่มส่งเสียงโต้เถียงกัน พวกเขามิต่างไปจากพวกนางกำนัลที่ชอบวิวาทกันในวังหลวงเลยแม้แต่น้อย
“ได้ ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าสักเล็กน้อย ข้าอยากรู้ว่าใครเป็นคนส่งพวกเจ้ามา”
เมื่อโอกาสมาถึงแล้วจึงมีคนร้องตะโกนออกมาเพราะกลัวหลินเมิ้งหยาจะไม่พอใจ
“เรื่องนี้พวกเราหารู้ไม่พ่ะย่ะค่ะ พวกเรารู้แค่ว่าหลังจากจับตัวจวิ้นจู่ได้แล้วให้พาจวิ้นจู่ไปส่งที่วัดเฉิงฮวงทางฝั่งทิศตะวันตกของเมือง!”
เมื่อครู่ยังเรียกแทนกันเองว่าพี่น้อง แต่เมื่อสบโอกาส คนที่ปากไวกว่าจึงรีบตอบ ส่วนอีกคนทำได้เพียงจ้องด้วยความโมโห
แม้มือและเท้าจะถูกมัด แต่ก็ยังมิวายออกแรงเฮือกสุดท้ายกระโจนใส่อีกฝ่าย
“วัดเฉิงฮวง?”
หลินเมิ้งหยาส่งสายตาให้อวี้อัน เขาจึงรีบถอนตัวออกไป
แม้ภาพตรงหน้าจะวุ่นวาย แต่ก็น่าขันยิ่งนัก
คนทั้งเจ็ดที่ถูกมัดเหมือนบ๊ะจ่างใช้ร่างกายกระแทกกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
แม้ใบหน้าจะแดงก่ำ ขนาดจะส่งเสียงยังต้องออกแรง
ความเคียดแค้นบังเกิดขึ้นในใจของคนเหล่านี้
หลินเมิ้งหยารู้ดีว่าหากเรี่ยวแรงของพวกเขากลับมา เช่นนั้นสงครามเลือดคงเริ่มต้นขึ้น
“ข้าเหนื่อยแล้ว พระอาทิตย์ใกล้จะขึ้นเต็มที ข้าจะขอถามพวกเจ้าอีกหนึ่งคำ นอกจากพวกเขาทั้งสอง ยังมีใครคิดจะเสนอตัวอีกหรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาที่เคยมีท่าทีสนุกสนานแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
ลุกขึ้นพร้อมทั้งเอ่ยอย่างหมดความอดทน
ความวุ่นวายพลันหยุดลง แต่ละคนล้วนมีความคิดของตนเอง
“ก็ได้ ในเมื่อไม่มี เช่นนั้นก็ทำอย่างที่ข้าบอก เข้ามา พาพวกเขาออกไป ส่วนคนอื่นให้กินยาคนละเม็ด”
ออกคำสั่งเสียงเย็น ครู่ต่อมาคนที่เหลือทั้งห้าหวาดผวาจนปัสสาวะราด
จากนั้นชายสามคนรีบโขกศีรษะต่อหน้าหลินเมิ้งหยา
“ได้ ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้า เช่นนั้นจงเขียนสิ่งที่พวกเจ้ารู้ทั้งหมดลงในกระดาษ แน่นอนว่าหากพวกเจ้าเขียนออกมาไม่เหมือนกัน พวกเจ้าทั้งห้าจะต้องถูกลงทัณฑ์ แต่หากเขียนเหมือนกัน เช ช่นนั้นคนที่เขียนไม่เหมือนจะต้องถูกลงทัณฑ์ เอาพวกเขาไป ห้ามมิให้คุยกันอีก”
ใบหน้าที่มีความหวังของชายทั้งห้าพลันเปลี่ยนไป
พวกเขาหันหน้ามองกันเลิ่กลั่กและภาวนาให้มีคนเขียนเหมือนกับตัวเอง
แต่ก่อนที่พวกเขาจะจากไป ชายที่ถูกจับกรอกยาทั้งสองถูกหลินเมิ้งหยาสะกดจิตจนกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดผวา
เสียงกรีดร้องน่าสังเวช ภาพความเจ็บปวดที่ความตายยังไม่น่ากลัวเท่าวนเวียนอยู่ในสมองของพวกเขา
“จวิ้นจู่ หนู่ฉายส่งคนไปที่วัดเฉิงฮวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่พบความผิดปกติใดๆ”
ทันทีที่หลินเมิ้งหยาเดินออกจากโรงเก็บฟืน อวี้อันก็เข้ามากระซิบข้างหูของนาง
“ข้าก็เดาเอาไว้แล้ว พวกเขาค่อนข้างระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก คาดว่าพวกเขาจะต้องมีสัญญาณในการนัดหมายอย่างแน่นอน เจ้าจงสั่งให้คนคอยจับตามองจวนไท่จื่อและวัดเฉิงฮวง โดยเฉพาะคนที เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ละแวกนั้นในระยะสามเดือนที่ผ่านมาด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ตอนนี้ยังมิอาจทำอะไรหลี่หยวนได้ เช่นนั้นนางคงต้องจัดการคนรอบตัวเขาก่อน
อวี้อันรีบออกไปทำตามคำสั่ง ทว่ายังไม่ทันที่หลินเมิ้งหยาจะกลับไปที่ห้องของตนเอง เงาดำร่างหนึ่งที่คุ้นเคยพลันปรากฏตัวต่อหน้านาง
“เย่! ทำไมเจ้า….เจ้าได้รับบาดเจ็บ! เกิดอะไรขึ้น?”
เงาดำตรงหน้าคือองครักษ์เงาประจำตัวหลงเทียนอวี้ ทว่าตอนนี้ชุดสีดำสนิทของเขาเปียกชุ่ม
หลินเมิ้งหยาได้กลิ่นคาวเลือดจากร่างของเขา ก่อนจะพบว่าร่างของเย่ท่วมไปด้วยเลือด
“ท่านอ๋องถูกโจมตีแล้วลักพาตัวไป พระชายาได้โปรดช่วยท่านอ๋องด้วย!”
หลินเมิ้งหยาเข้าไปประคองเย่ แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะได้รับข่าวร้ายเช่นนี้
“เจ้าว่าอะไรนะ? ท่านอ๋องถูกลักพาตัว! เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”