ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 17 บทที่ 490 ลอบโจมตี
หลินเมิ้งหยาไม่อยากทำให้คนอื่นต้องตื่นตระหนก นางพยุงเย่เข้าไปในห้องของตน
ท่ามกลางแสงเทียน นางเพิ่งรู้ว่าเย่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
เสื้อผ้าขาดวิ่น บาดแผลทั้งหมดล้วนเกิดจากอาวุธทั้งสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่นางสำรวจบาดแผลแล้ว นางจึงรู้ว่าอาวุธเหล่านั้นเคลือบยาพิษเอาไว้
โชคดีที่นางเคยมอบยาแก้สารพัดพิษให้แก่เย่และหลงเทียนอวี้ มิเช่นนั้นป่านนี้เย่คงสิ้นชีพอยู่ที่นั่นแล้ว
“พวกเราไปพบกับคนที่ท่านอ๋องพามาด้านนอกประตูเมือง แต่ใครจะรู้ว่าทันทีที่พวกคนเหล่านั้นจากไปก็มีคนบุกเข้ามาโจมตีพวกเรา แม้องครักษ์ของท่านอ๋องจะพยายามต่อต้าน แต่สุดท้ายแล้ว วท่านอ๋องก็เพลี้ยงพล้ำแล้วถูกคนพวกนั้นจับตัวไป ข้าได้รับคำสั่งจากท่านอ๋อง ดังนั้นจึงใช้พลังกุยซี [1] หลบเลี่ยงการตรวจลมหายใจของพวกเขามาได้”
หลินเมิ้งหยานำยาอีกหลายชนิดมาให้เย่กิน ดังนั้นอาการของเขาจึงดีขึ้น
เรื่องที่หลงเทียนอวี้ถูกลักพาตัวไปทำให้หลินเมิ้งหยาแทบสิ้นสติ
“ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
แม้หลินเมิ้งหยาจะนั่งอยู่ ทว่าแววตากลับมืดลง
ลมหายใจติดขัด สายตาจับจ้องเย่ที่ได้รับบาดเจ็บนิ่ง
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ พวกมันไม่กล้าทำร้ายท่านอ๋อง”
เย่ส่ายหน้าปฏิเสธขณะเอ่ยตอบ
ฝ่ามือกำแน่น แม้หลินเมิ้งหยาจะมีท่าทีสงบนิ่ง แต่ร่างกายที่แข็งเกร็งทำให้อีกฝ่ายรู้ว่านางกำลังร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง
พยายามปลอบโยนตัวเอง นางจะร้อนใจไม่ได้ นางจะว้าวุ่นไม่ได้ นางจะต้องสงบนิ่ง มิเช่นนั้นหลงเทียนอวี้อาจได้รับบาดเจ็บ
“จากที่เจ้าพูดคนพวกนั้นเพียงแค่ต้องการพาตัวท่านอ๋องไปเท่านั้นใช่หรือไม่? นอกจากเจ้าแล้วยังมีใครรอดชีวิตอีกหรือไม่?”
เย่ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงส่ายหน้า
เหตุที่เขาสามารถเอาชีวิตรอดมาได้ หนึ่งก็เพราะใช้วิชาการหายใจแบบเต่า สองก็เพราะบาดแผลที่เขาได้รับล้วนถูกพิษฝังเอาไว้
คาดว่าคนอื่นคงไม่โชคดีเท่าเขา
“บัดซบ!”
หลินเมิ้งหยาสบถเสียงเบา นางเดาเอาไว้อยู่แล้วว่าหากหลี่หยวนส่งคนมาสอดแนมภายในจวนได้ เช่นนั้นการเคลื่อนไหวของหลงเทียนอวี้คงตกอยู่ในสายตาของพวกเขาแต่แรกแล้ว
แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเพราะเหตุใดพวกเขาจึงต้องการลักพาตัวหลงเทียนอวี้ไป?
“พระชายา ตอนนี้ท่านอ๋องตกอยู่ในอันตราย พระองค์ได้โปรดออกคำสั่งด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ร่างกายของหลิงเย่เกินขีดจำกัดแล้ว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังส่งเสียงร้อนรนออกมา
หลงเทียนอวี้มีความสำคัญยิ่ง แม้แต่หลินเมิ้งหยาเองก็ร้อนใจจนแทบจะทำอะไรไม่ถูกแล้ว แต่ถึงกระนั้นนางก็พยายามระงับความรู้สึกของตนเอง
เพียงแต่…ชุดสวยงามหรูหราของนางบัดนี้ถูกนิ้วมือเรียวยาวดั่งหยกขยำจนยับย่น
“เจ้าพักฟื้นก่อนเถิด อย่าให้ใครเห็นการมีอยู่ของเจ้าเป็นอันขาด ข้าจะคิดหาวิธีช่วยหลงเทียนอวี้เอง”
แม้หลิงเย่จะร้อนใจ แต่ตอนนี้ความหวังเดียวของเขาก็คือพระชายา
ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในที่สุดเขาก็มิอาจทานทนได้อีกต่อไป เพียงพริบตาเดียวดวงตาก็เหลือกขึ้น ก่อนที่ทั้งร่างจะร่วงลงไปกองกับเตียง
แม้เตียงนอนจะเปรอะเปื้อนเพราะเลือดของหลิงเย่
แต่หลินเมิ้งหยาไม่สนใจ ตอนนี้นางอยากจะโบยบินไปอยู่ข้างกายหลงเทียนอวี้เหลือเกิน
ทว่าความเป็นจริงทำให้นางต้องทำแผลเพื่อรักษาอาการของเย่ก่อน
คาดว่าคนที่หลงเทียนอวี้พามาด้วยคงมอดม้วยหมดแล้ว คนของจั่วชิวอวี้เองก็กำลังจับตามองหลี่หยวน
ตอนนี้นางต้องอาศัยเพียงพละกำลังของตัวเอง
หลินเมิ้งหยาถอนหายใจ ก่อนจะลุกขึ้นทำแผลให้หลิงเย่ด้วยแขนข้างเดียว
ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเหลือกขึ้นจนไม่รู้ว่ายังมีสติอยู่หรือไม่ แต่หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ เกรงว่าเลือดคงไหลหมดตัว
ปิดดวงตาทั้งสองข้างลง ใช้ผ้าเช็ดใบหน้าที่ขาวซีดเสียยิ่งกว่ากระดาษ
หลินเมิ้งหยาพบความลับหนึ่งเข้าโดยมิได้ตั้งใจ ดูเหมือนว่าใบหน้าของเขาจะเป็นของปลอม
เอื้อมมือไปดึงบาดแผลบนใบหน้าของเขาออก
หน้ากากหนังบางๆ หลุดออกจากใบหน้าของเขา
ใบหน้าภายใต้หน้ากากแผ่นนั้นขาวซีด แต่หลินเมิ้งหยาที่กำลังมองอยู่ถึงกับตื่นตะลึง
เป็นไปได้อย่างไร…
ขนตางอนยาวสะท้อนแสงเทียนจนเกิดเป็นเงา ดั้งโด่ง กลีบปากบางไร้สีเลือด
ใบหน้าภายใต้หน้ากากของหลิงเย่เหมือนกับใบหน้าของหลงเทียนอวี้ถึงแปดส่วน
แม้นางจะไม่มีทางจำฟู่จวินของตนเองผิดไป แต่หากคนที่ไม่รู้จักหลงเทียนอวี้ดีพอได้เห็น รับรองว่าพวกเขาจะต้องจำผิดคนอย่างแน่นอน
เมื่อเทียบกับใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาของหลงเทียนอวี้แล้ว ใบหน้าของหลิงเย่มิได้อำมหิตเหมือนกับหลงเทียนอวี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่คมเข้มเท่าฟู่จวินของนาง
ใบหน้าของเย่ทำให้หลินเมิ้งหยาอึ้งงันเล็กน้อย
แต่ถึงกระนั้นก็ยังค่อยๆ ถอดเสื้อท่อนบนของเขาออก ก่อนจะสำรวจบาดแผลของอีกฝ่าย
มองดูคราบเลือดบนผิวขาวซีด เหตุเพราะฤทธิ์ของยาพิษ ดังนั้นบาดแผลจึงกลายเป็นสีแดงเข้ม
หลินเมิ้งหยาไม่มีทางเลือก นางทำได้เพียงโปะยาบริเวณบาดแผลของเขา
โชคดีที่ได้รับบาดเจ็บเพียงบริเวณผิวหนังเท่านั้น มิได้บาดเจ็บลึกถึงกระดูก มิเช่นนั้นคงมิอาจช่วยเขาเอาไว้ได้
พยายามพันแผลให้เขา ไม่เพียงเหนื่อยแทบขาดใจ แต่กว่านางจะทำแผลเสร็จ ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว
หอบหายใจหนัก เหงื่อผุดเต็มหน้าผาก
พวกสาวใช้ที่เตรียมเข้ามาปรนนิบัติหลินเมิ้งหยาล้วนถูกไล่ออกไปจนหมด
หรี่ตาลง ก่อนจะนั่งสัปหงกบนเก้าอี้
ในที่สุดก็เกิดการเคลื่อนไหวขึ้นบนเตียง
ดวงตาแดงก่ำ ทว่าขอบตาดำคล้ำของหลินเมิ้งหยาเบิกกว้างแล้วจ้องมองชายที่กำลังขยับตัวอยู่บนเตียง
“อึก...”
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น แม้ยารักษาบาดแผลของท่านอาจารย์จะสามารถทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาได้ แต่ฤทธิ์ของยารุนแรงมากเสียจนไม่น่าอภิรมย์
โดยเฉพาะบาดแผลที่ถูกอาบด้วยยาพิษเช่นนี้ รับรองว่าความเจ็บปวดจะต้องทวีคูณอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกันหลิงเย่ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดที่ยากจะรับไหว
“อย่าขยับ หากต้องการสิ่งใดจงบอกข้า กว่าจะทำให้เลือดของเจ้าหยุดไหลได้ไม่ง่ายเลย อย่าทำให้แผลเปิดอีก”
แม้หลิงเย่จะรู้สึกเจ็บปวดจนอยากตาย แต่เมื่อได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนของหลินเมิ้งหยา การกระทำของเขาจึงหยุดลง
ครู่ต่อมาจึงยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตนเอง แต่เมื่อสัมผัสผิวเนื้อที่แตกต่างไปจากเดิม เขาจึงแสดงอาการกระวนกระวายขึ้นมา
แต่ถึงกระนั้นก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น
“ข้าเข้าใจได้ พวกคนมีอำนาจส่วนใหญ่มักเลี้ยงดูคนที่หน้าตาท่าทางคล้ายกันเอาไว้ หนึ่งเพื่อเป็นตัวแทนของตัวเอง สองเพื่อลดปัญหายุ่งยาก”
หลินเมิ้งหยาเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน ดังนั้นความอึดอัดจึงมลายหายไป
หลังจากได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา หลินเมิ้งหยาก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดเมื่อก่อนชิงหูจึงมักเรียกเขาว่าเจ้าหน้าอัมพาต
หากใบหน้าของคนที่ต้องสวมใส่หน้ากากหนังเป็นเวลานานไม่เป็นอัมพาตก็คงแปลก
“ทูลจวิ้นจู่ ผู้อาวุโสแห่งหอป๋ายเฉาส่งชุดทางการมาให้พระองค์และท่านอ๋อง เชิญพระองค์ลองชุดสักหน่อย หากไม่พอดี หนู่ฉายจะสั่งให้ไปแก้พ่ะย่ะค่ะ”
เสียงของอวี้อันดังขึ้นจากนอกประตู
หัวคิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดมุ่น นางเพิ่งจำได้ว่าหลงเทียนอวี้ต้องไปร่วมงานการแข่งขันด้วยกันกับนาง
แต่ตอนนี้อีกฝ่ายเป็นใครนางยังไม่รู้ นอกเสียจากว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายปล่อยตัวหลงเทียนอวี้ออกมาก่อน มิเช่นนั้นคงไม่ทันการ
อยู่ๆ สายตาก็หยุดลงที่ร่างของหลิงเย่
ถอนหายใจ ดูเหมือนต้องใช้วิธีลอบเปลี่ยนคานเป็นเสาเสียแล้ว
“เอาเข้ามาเถิด ท่านอ๋องยังไม่ตื่น เจ้าวางไว้ที่หน้าประตูก็พอ”
หลิงเย่เงยหน้ามองพระชายาด้วยความสงสัย
อยู่ๆ ก็นึกถึงความน่าจะเป็นบางอย่างขึ้นมาได้ ดังนั้นสีหน้าจึงไม่เป็นธรรมชาตินัก
ขณะเดียวกัน หลินเมิ้งหยาหยิบชุดทั้งสองขึ้นมาแล้วหมุนตัวกลับเข้าห้อง
ชุดทางการของเมืองหลินเทียนแตกต่างจากต้าจิ้น ชุดถูกทอขึ้นด้วยเส้นไหมสีขาวและใช้ดิ้นทองปักลายก้อนเมฆ
นอกจากความน่าเกรงขามแล้ว ยังเปี่ยมไปด้วยความสง่างาม
“เจ้าช่วยข้าลองหน่อยเถิด หลงเทียนอวี้น่าจะตัวใหญ่กว่าเจ้าเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสามารถปรับแก้ได้”
หลินเมิ้งหยาหยิบชุดบุรุษออกมาก่อน แล้วส่งให้หลิงเย่
“คือ…พระชายา เกรงว่าจะไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้พระองค์ควรคิดหาวิธีช่วยท่านอ๋องกลับมา หาใช่ทำให้กระหม่อมกลายเป็นท่านอ๋อง”
หลินเมิ้งหยาถอนหายใจ สายตามองทางชุดเหล่านั้น ก่อนจะส่งสายตาช่วยไม่ได้
“เจ้าคิดว่าข้าไม่ร้อนใจหรือ? เจ้าลองตรองดูเถิด ข้าเกือบถูกลักพาตัวไปในจวนไท่จื่อ ส่วนพวกเจ้าเองก็ถูกโจมตี ซ้ำท่านอ๋องยังถูกลักพาตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เจ้าคิดหรือว่าเรื่องน นี้เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ”
หลินเมิ้งหยาเป็นคนละเอียดรอบคอบ เพียงนางไตร่ตรองดูก็สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้
การลักพาตัวนางและหลงเทียนอวี้เกิดขึ้นในเวลาติดๆ กัน
เมื่อลองโยงเรื่องทั้งหมด เป้าหมายของอีกฝ่ายก็ปรากฏขึ้นลางๆ
“พระชายาหมายความว่า…”
“มีคนคิดอยากใช้ตัวตนของพวกข้า ข้าคิดว่าพวกเขาไม่ได้ต้องการหุ่นเชิดแต่เพียงเท่านั้น ในมือของพวกเขาจะต้องกุมความลับบางอย่างเอาไว้ หากข้าและหลงเทียนอวี้ตกอยู่ในเงื้อมมือขอ องพวกเขา เช่นนั้นพวกข้าคงต้องทำตาม หากข้าและหลงเทียนอวี้ต่างเพลี้ยงพล้ำทั้งคู่ เช่นนั้นเจ้าคิดว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์อะไร?”
หลิงเย่ไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายของพระชายา
“นั่นก็คือ…ตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดแห่งหอป๋ายเฉา!”
หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง อันที่จริงนางคิดในแง่ที่เลวร้ายกว่านั้น
แต่ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน ดังนั้นจึงทำได้เพียงคาดเดาเท่านั้น
“ข้าเข้าใจแล้ว”
หลิงเย่รับชุดทางการในมือหลินเมิ้งหยาไป จากนั้นจึงใส่ชุดด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก หลินเมิ้งหยาเปิดประตูเดินออกไป
บรรยากาศยามเช้าทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า
นับตั้งแต่วันที่มาถึงเมืองหลวงเก่า ร่างกายของนางดีขึ้นกว่าเดิมมาก
เดินไปในนั่งบนเก้าอี้หินในสวนป่าไผ่ ในขณะที่ไม่มีใครเห็น นางจึงแสดงความอ่อนแอออกมา
หลงเทียนอวี้…พระองค์อยู่ที่ไหน?
หยาดน้ำตารินไหลอาบแก้ม หลินเมิ้งหยาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดในหัวใจ
————-
หมายเหตุ
[1] พลังกุยซี คือวิธีการหายใจแบบเต่า