ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 17 บทที่ 491 สำรวจจุดเกิดเหตุ
ในใจของหลินเมิ้งหยา หลงเทียนอวี้เปรียบดั่งผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกเรื่อง
ไม่ว่านางทำสิ่งใด ไม่ว่านางอยู่ที่ไหน หลงเทียนอวี้มักจะปรากฏตัวออกมาเสมอ
จากนั้นเขามักจะดันตัวนางไปไว้ทางด้านหลังเพื่อกำบังแดดฝนให้นาง
ทว่าเมื่อหลงเทียนอวี้ตกอยู่ในอันตราย นางกลับไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้เลย
การให้หลิงเย่ปลอมตัวเป็นหลงเทียนอวี้เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่สามารถใช้ได้ชั่วคราว ยิ่งไปกว่านั้นหลินเมิ้งหยายังรู้ดีว่าวิธีนี้อาจทำให้หลงเทียนอวี้เสี่ยงอันตรายมากขึ้น
ในช่วงเวลาการแข่งขัน นางอาจใช้ข้ออ้างว่าหลงเทียนอวี้ไม่สบายได้
ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดคนเหล่านั้นจึงจับตัวหลงเทียนอวี้ไป
หน้าประตูห้อง หลิงเย่สวมใส่ชุดสีขาว คิ้วขมวดแน่นเป็นปม
มองดูใบหน้าเรียวรูปไข่ที่ดูเหมือนหลงเทียนอวี้ถึงแปดส่วน อยู่ๆ สมองของหลินเมิ้งหยาก็จุดประกาย
หงอวี้เคยเล่าว่าคนเหล่านั้นต้องการเก็บนางเอาไว้เพื่อชี้ตัวอันเล่อจวิ้นจู่ต่อหน้าผู้อาวุโสแห่งหอป๋ายเฉา
แต่แผนการกลับรั่วไหลเสียก่อน โอกาสสำเร็จจึงมีน้อยนัก
ทว่าที่นี่คือเมืองหลินเทียน คนที่สามารถยืนยันตัวตนของนางได้มีเพียงเฉินเปี่ยวเกอ อวี้เปี่ยวเกอและหลงเทียนอวี้!
นางเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดอีกฝ่ายจึงลักพาตัวหลงเทียนอวี้ไป
เมื่อไม่มีอ๋องอวี้ ก็ไม่มีชายาอวี้
กลับกัน หากอ๋องอวี้ยืนยันตัวตนของใคร คนผู้นั้นย่อมเป็นชายาอวี้!
ทว่าหลินเมิ้งหยาที่คิดออกแล้วกลับต้องเงียบลงเพราะความเป็นจริงในเวลานี้
ไม่ถูกต้อง ตามอุปนิสัยของหลงเทียนอวี้ อย่าว่าแต่บังคับเขาให้บอกว่านางไม่ใช่ชายาอวี้เลย
แม้เขาจะถูกจับตัวไป คาดว่าเขาคงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหนีออกมาอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นคนเหล่านั้นยังคิดจะจับตัวนางไปก่อน จากนั้นจึงจับตัวหลงเทียนอวี้
หากพวกเขาเป็นพวกเดียวกัน แสดงว่าเป้าหมายของพวกเขามิใช่นาง
“เย่ เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้าขอถามเจ้าหน่อยว่าคนที่โจมตีพวกเจ้ามีสัญลักษณ์อะไรหรือไม่? อย่างเช่นสัญลักษณ์ที่เจ้าสามารถจำได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังระบุตัวตนของอีกฝ่ายได้?”
มองดูสีหน้าร้อนใจของพระชายา หลิงเย่ไม่กล้าพิรี้พิไร
หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาที่ยังคงจดจำได้ แต่เพราะยามนั้นมืดยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นยังเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้น เขาจึงมิอาจจำสิ่งใดได้
“ช่างเถิด พวกเราไปดูกันอีกหนหนึ่งแล้วกัน หากข้าเดาไม่ผิด คนพวกนั้นจะต้องยังไม่จัดการศพอย่างแน่นอน ข้าจะไปหาจั่วชิวอวี้และหลิวซวน เจ้ารอที่นี่สักครู่”
พูดจบ หลินเมิ้งหยาก็วิ่งออกไปจากห้อง
ทิ้งหลิงเย่ที่มีใบหน้าฉงนเอาไว้เบื้องหลัง
พระชายาคิดอะไรได้อย่างนั้นหรือ?
ปฏิกิริยาตอบสนองของจั่วชิวอวี้แตกต่างจากหลินเมิ้งหยาโดยสิ้นเชิง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าองครักษ์เงาประจำตัวของหลงเทียนอวี้จะมีหน้าตาคล้ายคลึงกับผู้เป็นนายเช่นนี้
ชำเลืองมองใบหน้าของหลิงเย่อยู่หลายหน แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สนใจความใคร่รู้ของเขา จั่วชิวอวี้จึงก้าวเข้าไปจ้องหน้าเขาอย่างเปิดเผย
“เจ้าไม่ใช่พี่น้องของหลงเทียนอวี้จริงหรือ? หรือจะเป็นลูกลับๆ? ญาติก็ไม่ใช่หรือ?”
หลิงเย่ส่ายหน้า เขาเป็นเด็กกำพร้าเท่านั้น
หากมิใช่เพราะมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับท่านอ๋อง ท่านอาจารย์คงไม่เก็บเขาไว้สั่งสอนวิชาอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ เจ้าเลิกพินิจพิเคราะห์ได้แล้ว บนโลกใบนี้มีคนหน้าตาคล้ายคลึงกันมากมาย อีกอย่างเจ้าเองก็รู้จักฮ่องเต้แห่งต้าจิ้นดีมิใช่หรือ พระองค์มิได้มักมากถึงเพียงนั้น เหตุที่ข้า าตามเจ้ามาที่นี่ก็เพราะข้าอยากให้เจ้าดูแลอาการของเย่ มิใช่พาเจ้ามาสืบสาวหารากเหง้าของเขา”
หลินเมิ้งหยาถลึงตาใส่จั่วชิวอวี้ นางเพิ่งพบว่านอกจากเรื่องตำราแพทย์และยาสมุนไพรแล้ว บุรุษผู้นี้ยังสนอกสนใจเรื่องซุบซิบนินทาไม่น้อย
ถ้าหากเย่เป็นพี่น้องของหลงเทียนอวี้จริง คาดว่าหลงเทียนอวี้คงไม่ปล่อยให้เขาเป็นเพียงองครักษ์เงาอย่างแน่นอน
งานนี้เป็นงานอันตราย บางทีอาจถูกคมหอกคมดาบของใครเข้าก็ได้
เท่าที่ดูจากทัศนคติที่หลงเทียนอวี้มีต่อหลงชิงหาน เขาไม่มีทางให้พี่น้องมารับเคราะห์ร้ายแทนตนเองอย่างแน่นอน
หลิวซวนขี่ม้าด้วยตนเองและรับผิดชอบเฝ้าระวังการเคลื่อนไหวด้านนอก
ผลปรากฏว่าแม้ระหว่างทางจะพบพวกลอบสังเกตการณ์ค่อนข้างมาก แต่คนเหล่านั้นก็ทำเพียงมองจากระยะไกล
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงยังสถานที่ที่หลงเทียนอวี้ถูกลอบโจมตี
ที่นั่นเป็นป่าที่ไม่กว้างแต่ค่อนข้างลึกลับแห่งหนึ่ง ในช่วงเวลากลางวันมีเพียงแสงสลัว เมื่อมองจากภายนอกจึงมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ลึกไปข้างใน
ทว่าตั้งแต่เดินทางเข้ามาในป่าแห่งนี้ กลิ่นคาวเลือดทำให้คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดมุ่น
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ แม้จะยังไม่เห็นศพ แต่ก็คิดว่าห่างไปอีกไม่ไกล
เมื่อรถม้าแล่นมาถึงใจกลางป่า ศพสวมชุดดำจำนวนหนึ่งกองระเนระนาดเต็มพื้น
“จวิ้นจู่ จวิ้นจู่ ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าหลิวซวนเคร่งขรึม องครักษ์รีบเข้ามาล้อมตัวพวกหลินเมิ้งหยาเพื่อป้องกันอันตราย
หยิบดาบของตนมาถือไว้มั่น เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีคนซุ่มโจมตี เขาจึงพาหลินเมิ้งหยาออกมา
“ศพเริ่มอ่อนตัวลงแล้ว รอยเขียวช้ำก็เริ่มกระจายตัวแล้วด้วย ดูเหมือนคนเหล่านี้จะตายเมื่อคืน ลองนับจำนวนดูทีว่ามีทั้งหมดกี่ศพ”
หลินเมิ้งหยาย่อตัวลงแล้วพลิกขาของศพดูขณะออกคำสั่ง
หลิงเย่และจั่วชิวอวี้ต่างคุ้นชินกับท่าทางแปลกประหลาดเช่นนี้ของนางแล้ว
แต่หลิวซวนที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกรู้สึกประหลาดใจอยู่หลายส่วน
หากเขารู้ว่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัยหลินเมิ้งหยาได้เกรด A ทั้งหมดในวิชาการผ่าศพ ดวงตาของเขาจะหลุดออกจากเบ้าหรือไม่?
คนอื่นๆ พากันนับศพแล้วขนมาวางตรงหน้าหลินเมิ้งหยา
นางตรวจสอบสภาพศพทุกร่าง โดยไม่ปล่อยให้จุดสำคัญหลุดรอดไปแม้แต่จุดเดียว
“จวิ้นจู่ หากทำเช่นนี้หลักฐานบางอย่างอาจหายไปนะพ่ะย่ะค่ะ”
หลิวซวนเอ่ยขัดขึ้นมาอย่างไม่ค่อยพอใจ ทว่าหลินเมิ้งหยากลับปรายตามองเขาหนหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
“ที่นี่หาใช้สถานที่เกิดเหตุ ศพพวกนี้ล้วนถูกย้ายมาจากที่อื่น ยิ่งไปกว่านั้นข้าจดจำรายละเอียดทุกหย่อมหญ้าของบริเวณนี้เอาไว้แล้ว”
หลินเมิ้งหยามิได้คุยโวโอ้อวด เมื่อมีระบบเซินหนงคอยช่วยเหลือ แม้แต่แมลงวันยังถูกนางจดจำเอาไว้ในสมอง
“พระองค์บอกว่าไม่ใช่สถานที่เกิดเหตุ? นี่หมายความว่าอย่างไร?”
หลิวซวนไม่เข้าใจความคิดของอันเล่อจวิ้นจู่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย เหตุเพราะเขาเองก็เป็นมือหนึ่งในการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุเช่นเดียวกัน
ทั้งต้นไม้ใบหญ้าที่นี่ล้วนมีร่องรอยการต่อสู้ทั้งสิ้น
“ที่นี่ยังอำพรางได้ไม่ดีพอ เจ้าลองดูให้ดี ร่องรอยบนต้นไม้เหล่านี้ไม่เหมือนร่องรอยที่เกิดจากการต่อสู้ แต่เป็นร่องรอยที่เกิดจากการจงใจสร้างหลักฐานมากกว่า จงหยิบดาบมาสักเล่มห หนึ่งเถิด ใต้เท้าหลิวและเปี่ยวเกอช่วยให้ความร่วมมือสักหน่อย”
จั่วชิวอวี้มองหน้าหลินเมิ้งหยาด้วยสีหน้าขมขื่น จากนั้นจึงหันไปส่งยิ้มทุกข์ระทมให้หลิวซวน
ทว่าเขาเหมือนคนเป็นใบ้ที่พูดอะไรไม่ออก
“อีกเดี๋ยวเจ้าลองไล่ฆ่าเขา จากนั้นเจ้าจงหลบให้ดี จากนั้นลองดูว่าจะเกิดร่องรอยเช่นไร”
หลินเมิ้งหยายืนนิ่งอยู่ด้านข้างเพื่อรอดูละครฉากสนุก ยิ่งไปกว่านั้นยังส่งสายตาปลอบประโลมจั่วชิวอวี้
ทว่าหลิวซวนกลับแสดงได้สมจริงสมจังยิ่งนัก
ดังนั้นเมื่อหลินเมิ้งหยาร้องบอกว่าเริ่มได้ ดาบเล่มยาวคมกริบจึงพุ่งไปทางคอของจั่วชิวอวี้ทันที
เพื่อให้ความร่วมมือกับหลินเมิ้งหยา จั่วชิวอวี้จึงรีบหนีเอาชีวิตรอด
หลังจากเสียงร้องโหยหวนสิ้นสุดลง ในที่สุดพวกเขาก็ทำภารกิจที่หลินเมิ้งหยามอบหมายให้สำเร็จ
“เจ้าจะบั่นคอข้าจริงๆ หรือ!”
จั่วชิวอวี้ร้องไห้โดยไร้น้ำตา สายตาจ้องดาบตรงหน้าเขม็ง ขนแขนลุกชันเพราะความหวาดกลัว
“จวิ้นจู่อนุญาตแล้ว”
หลิวซวนเช็ดดาบของตนเองด้วยท่าทางนิ่งเฉย ดาบเล่มนี้ต้องสกปรกและเสียคมไปเล็กน้อย
“เลิกวิวาทกันได้แล้ว พวกเจ้ามาดูนี่ เมื่อครู่หลิวซวนต้องการบั่นคอจั่วชิวอวี้ ดังนั้นรอยฟันจึงลึกมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังเงื้อดาบขึ้นฟันจากด้านบนลงด้านล่างซึ่งเป็นตำแหน่งล ลำคอของอวี้เปี่ยวเกอพอดิบพอดี เจ้าลองมองตำแหน่งที่คนเหล่านั้นทิ้งไว้ให้ดี ไม่เพียงตำแหน่งเท่านั้นที่ต่ำยิ่ง แต่รอยดาบยังเป็นรอยตื้นๆ ใต้เท้าหลิวลองฟันต้นไม้อย่างไม่ตั้ งใจดูสักต้นเถิด”
หลิวซวนพยักหน้า จากนั้นจึงเงื้อมือฟันดาบลงบริเวณต้นไม้ที่อยู่ใกล้กับจั่วชิวอวี้
ผลปรากฏว่ารอยดาบต่ำลงไปมาก
นี่เป็นปกติวิสัยของคนทั่วไป หากมิได้มีแก่ใจจะสังหารผู้อื่นแล้วล่ะก็ พวกเขาจะมิออกแรงที่ข้อมือมากนัก
ยิ่งไปกว่านั้นดาบเหล่านี้ย่อมมีน้ำหนักมาก ตำแหน่งที่วาดมือออกไปจึงค่อนข้างต่ำ
ตอนแรกคิดว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุ แต่ใครจะรู้เล่าว่าแท้จริงแล้วเป็นการจัดฉาก
ขณะที่จั่วชิวอวี้กำลังร้องตะโกนว่าจะแก้แค้นทั้งที่มีใบหน้าขาวซีด หลินเมิ้งหยาก็เดินตรงเข้ามาหาหลิงเย่
ดวงตากลมโตเปล่งประกายราวหยดน้ำเจือความสงสัยอยู่หลายส่วน
“เย่ เจ้ามั่นใจอย่างนั้นหรือว่าพวกเจ้าถูกลอบโจมตีที่นี่?”
สีหน้าของหลิงเย่ไม่น่ามอง แต่ถึงกระนั้นก็ผงกศีรษะลง
ไม่ผิดแน่ ความทรงจำของเขาบอกว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นที่นี่
ทว่าแม้หลินเมิ้งหยาจะไม่พูดเตือนสติ เขาก็รู้สึกได้ว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่เขาไม่รู้จัก
“เจ้ามั่นใจหรือว่าถูกทำร้ายที่นี่? ลองคิดดูให้ดี พวกเจ้าเป็นคนสังหารพวกเขาอย่างนั้นหรือ?”
ใบหน้าหลินเมิ้งหยาเคร่งขรึม หัวคิ้วหลิงเย่ขมวดมุ่น
ความทรงจำเมื่อคืนค่อยๆ ผุดขึ้นมาในสมอง
ไม่ผิดแน่ เขาติดตามท่านอ๋องมาที่ป่านอกเมือง จากนั้น…จากนั้น…
“หลิงเย่ จงดึงความทรงจำที่แท้จริงของเจ้าออกมา!”
เสียงตะคอกทำให้ความทรงจำในหัวของหลิงเย่ชัดเจนขึ้น
ภาพความวุ่นวายเมื่อคืนผุดขึ้นมาทีละน้อย
จากนั้นก็ยิ่งขยายวงกว้างมากขึ้น ในที่สุดภาพเหตุการณ์เมื่อคืนก็ระเบิดออกมา
ความทรงจำที่แท้จริงผุดขึ้นในสมอง
“พวก…พวกเราถูกทำร้ายที่บ้านของจูฉีหยุนพ่ะย่ะค่ะ! ข้า…ข้าถูกคนใช้กระจกบานหนึ่งส่อง จากนั้นก็มิอาจขยับตัวได้อีก!”
สมองของหลิงเย่รู้สึกเจ็บปวดจนยากจะรับไหว