ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 17 บทที่ 492 สกุลจูที่น่าสงสัย
จั่วชิวอวี้ประคองร่างหลิงเย่ให้พิงกับรถม้า
ไม่ง่ายเลยที่ลมหายใจจะกลับมาเป็นปกติได้อีกหน ในที่สุดความทรงจำที่แท้จริงของหลิงเย่ก็ปรากฏจนครบถ้วน
“ทันทีที่พวกเราออกจากจวนไท่จื่อก็มีคนนำจดหมายฉบับหนึ่งมามอบให้ท่านอ๋อง หลังจากท่านอ๋องอ่านจบก็พาข้าไปยังจวนของคนที่ชื่อว่าจูฉีหยุน แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ท่านอ๋อง กับพวกเขาทะเลาะกันอย่างหนัก จากนั้นอยู่ๆ ก็มีคนปรากฏที่ด้านหน้าของข้า เขาใช้กระจกบานหนึ่งส่องข้า จากนั้นข้าก็หมดสติ”
คำบอกเล่าของหลิงเย่ทำให้ทุกคนมีสีหน้าไม่น่ามอง
สำหรับหลินเมิ้งหยา จูฉีหยุนเป็นชื่อที่นางไม่รู้จัก
หันไปมองจั่วชิวอวี้และหลิวซวน หลังจากพวกเขาทั้งสองสบตากันแล้ว จั่วชิวอวี้จึงเอ่ย
“จูฉีหยุนคือบิดาของคุณชายจูที่ถูกพวกเราสั่งสอนด้านหน้าประตูเมือง เขามีตำแหน่งต้าซือหม่า1ของกรมขุนนาง”
ที่แท้ก็เป็นบิดาของคุณชายจู เท่านี้ก็มีเบาะแสเพิ่มเติมแล้ว
คุณชายจูโดนสั่งสอนอย่างน่าเวทนา ดังนั้นจูฉีหยุนจึงคิดแก้แค้นแทนบุตรชายและทำตามแผนการของตนในคราวเดียวกัน
แต่เหตุใดพวกเขาจึงต้องสร้างเรื่องทั้งหมดนี้ด้วยเล่า?
“ทูลจวิ้นจู่ ตอนนี้ตรวจสอบทุกอย่างหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ พวกเขาล้วนตายในดาบเดียว ยิ่งไปกว่านั้นคนพวกนี้ยังไร้วิทยายุทธ์”
คำพูดของอวี้อันเป็นไปตามที่หลินเมิ้งหยาคาดการณ์เอาไว้แล้ว
ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นเพื่อสร้างความสับสนให้พวกนาง
“น้องสาว เจ้าคิดว่าทำไมพวกเขาต้องใช้แผนนี้ด้วยเล่า?”
แม้แต่คนฉลาดอย่างจั่วชิวอวี้เองก็สับสนทำอะไรไม่ถูก
จูฉีหยุนจับตัวหลงเทียนอวี้ไป ซ้ำยังทำให้หลิงเย่กลับมารายงานความเท็จอีก พวกเขาลงทุนลงแรงมากถึงเพียงนี้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเท่านั้นหรือ?
“แน่นอนว่าเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของพวกเรา หากข้าเดาไม่ผิด คนที่ลักพาตัวหลงเทียนอวี้และคิดจะจับตัวข้าจะต้องมีสองฝ่าย เย่ถูกวิชาสะกดจิตขั้นสูง เหตุเพราะเมื่อหลงเทียนอวี้ ตกอยู่ในอันตราย เย่จะต้องเข้าไปช่วยนายของตนเองทันที ดังนั้นจึงตกหลุมพรางเข้า”
ด้วยเหตุนี้หลินเมิ้งหยาจึงสามารถคลายการสะกดจิตของหลิงเย่ได้อย่างง่ายดายเพราะนางมีระบบเซินหนงช่วยส่งคลื่นไฟฟ้าเข้าไปกระตุ้นสมองของอีกฝ่าย
กอปรกับจิตใจแน่วแน่มั่นคงของเขา ดังนั้นเขาจึงสามารถเอาชนะการสะกดจิตได้
หลินเมิ้งหยากวาดตามองอีกหนหนึ่ง เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีเบาะแสเพิ่มเติม พวกเขาจึงพากันกลับไปยังจวนไท่จื่อ
เรื่องราวซับซ้อนกว่าที่นางคิดไว้มาก
ภายในห้อง หลินเมิ้งหยาไล่ดูภาพเหตุการณ์ในสถานที่เกิดเหตุ
นางมักรู้สึกว่ามีมือที่มองไม่เห็นคอยบงการเรื่องเหล่านี้
เริ่มตั้งแต่เชื้อพระวงศ์แห่งต้าจิ้นและเรื่องราวมากมายที่ฮองเฮาและไท่จื่อลงมือทำ
ความอันตรายเปรียบดั่งเงาตามตัว เมื่อลองหวนนึกดูตอนนี้ก็อดที่จะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเหลือเชื่อไม่ได้
เรื่องเหล่านี้ทำให้นางรู้สึกทำอะไรไม่ถูก แม้จะอยากจับจุดให้ชัดเจนแต่ก็มิอาจทำได้
หากมีใครหรือคนบางกลุ่มคอยบงการอยู่เบื้องหลังแล้วล่ะก็ นางเองก็อดที่จะรู้สึกกลัวไม่ได้
“จวิ้นจู่ คนที่ออกไปสืบข่าวกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้อันเดินเข้ามายืนตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“โอ้? เป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินเมิ้งหยาหันไปมองเขา อยู่ๆ ก็รู้สึกกระวนกระวายใจ
“คนที่ออกไปสืบข่าวรายงานว่าหลังจากคุณชายจูกลับไป เหตุเพราะบาดแผลไม่อาจรักษาได้จึงสิ้นชีพไปในที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของอวี้อันราวกับสายฟ้าฟาด
ตายไปแล้ว? เป็นไปได้อย่างไร?
หากมองจากบาดแผลของคุณชายจู คาดว่ารักษาเพียงไม่กี่วันก็หายแล้ว
แล้วเหตุใดเขาจึงตายได้เล่า?
“ตายตั้งแต่เมื่อไหร่? เหตุใดพวกเราจึงไม่ได้รับข่าวนี้?”
“เมื่อคืนก่อนพ่ะย่ะค่ะ เหตุเพราะใต้เท้าจูปิดข่าวเอาไว้ คนจึงรู้ไม่มาก คนที่พระองค์ส่งไปล้วนแตกกระเจิงกลับมา ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้”
พอนางส่งคนไป คุณชายจูก็ตายทันที?
บังเอิญถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
หลังจากเข้าเมืองมา นางส่งคนไปสืบข่าวที่จวนจู ตอนนั้นคนของนางกลับมาส่งข่าวว่าเขาไม่เป็นอะไร แล้วเหตุใดวันนี้จึง…….
“รีบนำข่าวไปบอกจั่วชิวอวี้และหลิวซวน กำชับพวกเขาให้เตรียมการรับมือให้ดี”
อวี้อันรีบนำข่าวไปรายงาน เขาทิ้งหลินเมิ้งหยาเอาไว้เพียงลำพัง
เพราะเหตุนี้สกุลจูจึงลงมือกับหลงเทียนอวี้
ที่แท้ก็อยากฆ่าทุกคนเพื่อแก้แค้น!
ทั้งที่บาดแผลของคุณชายจูดีขึ้นแล้วแท้ๆ แต่เพราะเหตุใดในช่วงเวลาเพียงแค่คืนเดียวจึงสิ้นชีพลงได้?
ยิ่งไปกว่านั้นสกุลจูยังปิดข่าวเอาไว้ เรื่องนี้น่าสงสัยยิ่งนัก
หากนางเดาไม่ผิดแล้วล่ะก็ คาดว่าวันงานแข่งขันนางจะต้องถูกสกุลจูหาเรื่องอย่างแน่นอน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ก็ดี! นางเองก็อยากรู้ว่าสกุลจูจะพูดอะไร
การแก้แค้นหลงเทียนอวี้ของสกุลจูปลุกเพลิงพิโรธในหัวใจหลินเมิ้งหยาเข้าแล้ว
อรุณรุ่งวันการแข่งขัน เมืองหลวงเก่ากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ทันทีที่ยามอิ๋น2 มาถึง เหล่าราษฎรก็รีบเข้าไปหาที่นั่งที่เหมาะสมในการรับชมการแข่งขัน
ยามเหม่า3 องครักษ์เริ่มสำรวจเส้นทางที่สำคัญ
ถนนหนทางทั่วทุกมุมต้องสะอาดสะอ้าน ห้ามมิให้มีขยะหรือสิ่งแปลกปลอม
หลังจากสำรวจครบทั้งสามครั้งแล้วจึงเปิดประตูต้อนรับองครักษ์รักษาการเข้าเมือง
ถนนทุกสายล้วนถูกคุ้มกันอย่างเข้มงวด ราษฎรเดินทางได้เพียงบริเวณด้านข้างทั้งสองฝั่งเท่านั้น ไม่นานสองข้างทางก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คน
ถนนทุกสายเริ่มตั้งแต่ประตูเมืองไปจนถึงสถานที่จัดงานแน่นแออัด
ยามเฉิน4 เกี้ยวของแต่ละตระกูลก็เดินทางออกจากจวน
แน่นอนว่ามีคนมาแจ้งล่วงหน้าแล้ว คนที่มีฐานะด้อยกว่าจึงต้องออกจากจวนก่อน
เกี้ยวขนาดเล็กใช้เพียงสองคนหาบเท่านั้น เกี้ยวเล็กหลายหลังทยอยถูกหาบขึ้นไปบนถนน
เส้นทางของพวกขุนนางทั้งหลายมีการจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่เหมือนกับเส้นทางของราษฎร ยิ่งไปกว่านั้นองครักษ์รักษาการยังเข้ามาดูแลความปลอดภัย ดังนั้นไม่นานขบวนเกี้ยวจึงมาถึงหน้าประตูห หอป๋ายเฉา
นอกจากขุนนางขั้นสามขึ้นไป คนอื่นๆ ต้องลงจากเกี้ยวที่หน้าประตู
บริเวณสนามแข่งได้ตระเตรียมที่นั่งเอาไว้แล้ว อีกทั้งยังมีคนของหอป๋ายเฉาในชุดสีฟ้าอ่อนเข้ามานำทาง
แม้จะมีคนแน่นขนัด แต่กลับไม่เห็นการทะเลาะเบาะแว้งใดๆ
เมื่อพบกับคนรู้จัก พวกเขาล้วนแวะทักทายซึ่งกันและกัน หรือไม่ก็มีร้องเรียกชื่อเสียงดัง แต่นี่หาใช่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดภายในงาน
หลังจากเกี้ยวเล็กแวะส่งคนและจากไปแล้ว ต่อมาคือเกี้ยวสีแดงและม่วงที่มีเพียงขุนนางขั้นสามขึ้นไปเท่านั้นจึงจะมีได้
คนเหล่านี้มิได้ปรากฏตัวต่อหน้าราษฎรในเมืองหลวงเก่าบ่อยนัก ดังนั้นเมื่อพวกเขาปรากฏตัวออกมา เสียงร้องประกาศชื่อจากขันทีจึงดึงดูดความสนใจของทุกคน
แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่โดดเด่นที่สุดในงานก็ยังไม่ใช่พวกเขา
ไม่นานนักเกี้ยวสีเหลืองทองสองหลังก็เคลื่อนขบวนเข้ามา
เกี้ยวสีเหลืองอร่ามดั่งทอง มีคนหาบถึงแปดคน สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของเชื้อพระวงศ์ ผู้หาบเกี้ยวล้วนเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงกัน
ครู่ต่อมาเหล่าราษฎรรีบหมอบตัวลงเพื่อต้อนรับ
แม้แต่ขุนนางที่เข้าไปภายในแล้วยังต้องลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับเพื่อทำการต้อนรับ
“เซิ่นจวิ้นอ๋องเสด็จ…”
“อันเล่อจวิ้นจู่เสด็จ….”
ชื่อทั้งสองแสดงให้เห็นถึงฐานะที่แตกต่างกัน ปฏิกิริยาตอบสนองของราษฎรย่อมแตกต่างจากเวลาที่เห็นพวกขุนนางใหญ่
เกี้ยวถูกหาบผ่านประตูหอป๋ายเฉาเข้าไปโดยไม่มีใครคัดค้าน ทว่าสายตาหลายคู่จับจ้องมองไปยังเกี้ยวทั้งสองเขม็ง
“ลดเกี้ยว…”
ขันทีร้องประกาศ สายตาทุกคู่เพ่งไปทางเกี้ยวทั้งสอง
ร่างทั้งสองเดินลงจากเกี้ยวด้วยท่วงท่าสง่างาม
ใบหน้าของคนทั้งสองละม้ายคล้ายคลึงกัน อีกทั้งยังงดงามน่าเคารพ สายตาของพวกเขากวาดมองทั่วทุกบริเวณ
“ถวายพระพรเซิ่นจวิ้นอ๋อง…”
“ถวายพระพรอันเล่อจวิ้นจู่…”
เสียงแสดงความเคารพดังแซ่ซ้อง เหล่าราษฎรต่างคุกเข่าลงกับพื้นแล้วส่งเสียงสรรเสริญอย่างต่อเนื่อง
เสียงอบอุ่นไม่ดังหรือเบาจนเกินไปเอ่ยด้วยท่าทางสงบนิ่ง ราวกับคุ้นชินกับสิ่งเหล่านี้แล้ว
“ลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยเซิ่นจวิ้นอ๋อง…”
“ขอบพระทัยจวิ้นจู่….”
ทุกคนลุกขึ้นจากพื้น สายตาหันไปมองคนทั้งคู่
ฝ่ายบุรุษสวมชุดทางการสีเหลือง ปกคอเสื้อปักลายพยัคฆ์สี่กรงเล็บท่าทางน่าหวั่นคร้าม
สายคาดเอวประดับหยก ด้านล่างห้อยหยกแกะสลักลายมังกร
เส้นผมตรงยาวถูกรวบเอาไว้แล้วครอบด้วยมงกุฎทอง ใจกลางมงกุฎคือไข่มุกสีขาวเม็ดใหญ่
ใบหน้างดงามดั่งหยก ขนคิ้วเรียงสวย เมื่อเทียบกับความสง่างามของชุดแล้ว ท่วงท่าของเขาสง่างามกว่ามาก
ความน่าเกรงขามติดตัวมาแต่กำเนิด แม้สีหน้าจะอ่อนโยน แต่กลับไม่มีใครกล้าดูถูก
เมื่อเทียบกับเหล่าคุณชายสูงศักดิ์แล้ว เขาโดดเด่นกว่ามาก
กอปรกับฐานะสูงศักดิ์ของเจ้าตัว ไม่รู้ว่ามีหญิงสาวมากน้อยเพียงใดกำลังหมายปองเขาอยู่
“เชิญจวิ้นจู่”
สตรีที่ได้รับการเอาอกเอาใจจากบุรุษผู้นี้ย่อมมีฐานะไม่ธรรมดา
มิใช่เพียงใบหน้างดงามล่มเมือง แม้แต่ชาติกำเนิดยังสะกดสายตาทุกคู่มิให้เคลื่อนคล้อยออกจากนางได้
บุตรสาวเพียงคนเดียวของจ่างจู่เป็นจวิ้นจู่น้อยเพียงพระองค์เดียวที่มีสายเลือดของราชวงศ์
เพียงเท่านี้นางก็กลายเป็นที่เล่าขานของคนเมืองหลินเทียนแล้ว
ชุดทางการสีขาวสะอาดตางามสง่ายาวระพื้น เอวบางผูกด้วยเข็มขัดทอง ศีรษะประดับมงกุฎบุปผาที่สรรค์สร้างจากอัญมณีและไข่มุก รูปหงส์กระพือปีกตรงกลางขยับไหวเมื่อเส้นผมที่ถูกรวบสูง งของนางขยับเขยื้อน
ท่วงท่าสุขุม มุมปากแย้มยิ้มน้อยๆ พองาม
งดงามกว่าใครในแผ่นดิน คือคำจำกัดความที่เหมาะกับหญิงสาวผู้นี้ที่สุด
แววตาอ่อนโยนกวาดมองทุกคน เหล่าชายหนุ่มที่ยังมิได้ออกเรือนหรือแม้แต่คนที่ออกเรือนไปแล้วล้วนรู้สึกเสมือนถูกฟ้าผ่า พวกเขาอดที่จะรู้สึกคลั่งไคล้นางมิได้
“ขอบพระทัยเพคะ”
น้ำเสียงอ่อนหวานที่แม้แต่ภูผายังสะท้านหยกยังสะเทือนเปล่งพ้นริมฝีปากบาง
แต่เมื่อทุกคนเห็นทรงผมของนางแล้ว พวกเขาจึงจำได้ว่าอันเล่อจวิ้นจู่แห่งเมืองหลินเทียนผู้นี้มีเจ้าของแล้ว
ด้วยเหตุนี้หลงเทียนอวี้จึงมีศัตรูเพิ่มขึ้นจำนวนไม่น้อยก็เพราะนาง
ขณะเดียวกันหลินเมิ้งหยามิอาจรู้สึกผ่อนคลายได้เหมือนอย่างท่าทีที่แสดงออก
ความทรงจำของหลิงเย่เมื่อคืนทำให้นางล้มเลิกแผนการเปลี่ยนคานเป็นเสา
ดังนั้นวันนี้นางกับจั่วชิวอวี้จึงต้องรับมือด้วยตนเองแล้ว
—————–
หมายเหตุ
[1] ต้าซือหม่า คือตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุด
[2] ยามอิ๋น คือช่วงเวลา 03:00 – 04:59
[3] ยามเหม่า คือช่วงเวลา 05:00 – 06:59
[4] ยามเฉิน คือช่วงเวลา 07:00 – 08:59