ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 17 บทที่ 493 ผู้อาวุโสทั้งห้า
สถานที่แข่งขันถูกจัดขึ้นในบริเวณหอป๋ายเฉาและสถานที่ว่างโดยรอบ
แม้จะเป็นเพียงสถานที่ชั่วคราว แต่ก็มิได้จัดแบบเรียบง่ายจนเกินไป
สิ่งของที่ใช้ในรอบคัดเลือกและที่นั่งสำหรับรับชมมีมากกว่าสถานที่จัดการแข่งขันจริงมาก
นอกจากหลินเมิ้งหยาและจั่วชิวอวี้ที่นั่งอยู่บนที่นั่งชั้นสองแล้ว ขุนนางคนอื่นล้วนนั่งอยู่ชั้นล่าง
ท่ามกลางสายตาของทุกคน หลินเมิ้งหยาและจั่วชิวอวี้นั่งลงเคียงข้างกันในตำแหน่งที่นั่งของตนเอง
นางสามารถเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างภายในสถานที่จัดการแข่งขันจากตรงนี้ แต่เพราะมีม่านไข่มุขบังเอาไว้ ดังนั้นคนภายนอกจึงมองสิ่งที่อยู่ภายในได้ไม่ชัดนัก
“พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด จวิ้นจู่และจวิ้นอ๋องมิชอบให้ใครรบกวน”
อวี้อันในชุดสีดำกลายเป็นผู้ช่วยมือหนึ่งของหลินเมิ้งหยา
ไล่นางกำนัลทุกคนออกไปแล้วปลดเปลื้องม่านไข่มุกลง ในที่สุดสองพี่น้องก็มีพื้นที่ส่วนตัวชั่วคราว
“เจ้าเห็นคนของสกุลจูแล้วหรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาไม่คุ้นหน้าขุนนางเหล่านี้ แต่โชคดีที่มีผู้รอบรู้ทุกสิ่งอย่างอวี้อัน
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นแล้ว ใต้เท้าจูอยู่ด้านล่าง ส่วนหลานชายข้างกายเขาคือคนที่ใต้เท้าจูส่งเข้าแข่งขัน”
อวี้อันชี้ตำแหน่งที่นั่งของสกุลจูให้หลินเมิ้งหยาดู
เหตุเพราะอยู่ห่างกันไม่ไกลนัก ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงเห็นใบหน้าท่าทางของจูฉีหยุนและหลานชายได้อย่างชัดเจน
อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่าจูฉีหยุนเป็นยอดนักแสดงคนหนึ่ง
ทั้งที่ลูกชายในสายเลือดของตนเองเพิ่งตายจากไป แต่เขาสามารถส่งยิ้มให้กับผู้อื่นได้โดยไม่เผยพิรุธออกมาเลยแม้แต่น้อย
ผิดกับชายหนุ่มหน้าอ่อนด้านข้างของเขาที่เริ่มนั่งไม่ติดพื้น
“ถ่ายทอดคำสั่งของข้า จงจับตาดูพวกเขาเอาไว้”
ไม่มีทางที่นางจะไม่เป็นห่วงหลงเทียนอวี้ แต่หลินเมิ้งหยาเข้าใจสถานการณ์ในเวลานี้ดี
การที่จูฉีหยุนกล้าลงมือกับหลงเทียนอวี้อย่างอุกอาจ แสดงว่าเขาต้องมั่นใจในแผนการของตนเองเป็นอย่างมาก
เสียงคำนับดังขึ้นที่ด้านนอก ท่ามกลางเสียงกลองที่ดังอึกทึก ในที่สุดการแข่งขันอย่างเป็นทางการก็เริ่มต้นขึ้น
หอป๋ายเฉาตั้งอยู่ภายในเมืองหลวงเก่า เหตุเพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงผู้ครอบครองอำนาจครั้งใหญ่ ดังนั้นประตูแห่งความลับจึงถูกเปิดออก
หลินเมิ้งหยาเคยถามจั่วชิวเฉินว่าเพราะเหตุใดฮ่องเต้ในยุคนี้จึงอนุญาตให้สร้างหอป๋ายเฉาที่มีความงดงามวิจิตรตระการตาเทียบเท่าพระราชาวังด้วย
เมื่อเทียบกับกระเบื้องสีเขียวแดงของพระราชวัง กระเบื้องของหอป๋ายเฉาถูกสร้างด้วยสีขาวและเขียว
รูปแบบการสร้างสง่างามมีชีวิตชีวามากกว่าพระราชวังที่ค่อนข้างอึมครึม
ทอดสายตามองยาว พระราชวังในเมืองหลวงเก่าคล้ายกับสถานที่นัดพบของเหล่ามังกรบิน
ทว่าหอป๋ายเฉากลับเหมือนต้นสมุนไพรมีชีวิต ไร้ซึ่งความหรูหรา เห็นจะมีมากสุดคือความเรียบง่ายแต่สง่างาม
เฉินเปี่ยวเกอเล่าว่าหอป๋ายเฉาถูกสร้างขึ้นโดยผู้ลึกลับคนหนึ่ง แม้เวลาจะผ่านมาหลายร้อยปี แต่กลับมิมีใครกล้าบูรณะเปลี่ยนแปลง
คนออกแบบค่อนข้างน่าพิศวง คาดว่าตอนออกแบบหอป๋ายเฉา คนผู้นั้นคงอยากเตือนทุกคนว่าอย่าลุ่มหลงในอำนาจ
สิ่งเดียวที่ต้องทำคือการศึกษายาสมุนไพรและวิชาการแพทย์
แต่น่าเสียดายที่คนรุ่นต่อมาทำให้หอป๋ายเฉาต้องมัวหมองเพราะความปรารถนาของตัวเอง
หลินเมิ้งหยารู้สึกเสียดายยิ่งนัก หวังเหลือเกินว่าอวี้เปี่ยวเกอจะได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดอย่างราบรื่น
หากเป็นเขา คาดว่าสถานที่ซึ่งเดิมสร้างขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากจะต้องสงบสุขไปอีกหลายสิบปีอย่างแน่นอน
“การแข่งขันคัดเลือกตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดแห่งหอป๋ายเฉาเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้!”
เสียงสุขุมเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น เจ้าของเสียงเดินผ่านเวทีสีแดงที่ถูกสร้างขึ้นชั่วคราวไป
จากนั้นผู้ชมในหอป๋ายเฉาจำนวนมากก็นั่งลง
หลินเมิ้งหยาสอดส่ายสายตามองทางเหล่าหมอหลวงฝึกหัดในชุดสีขาวก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ
พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นเจ้าภาพ การที่เดินทางมาเข้าร่วมรับชมการแข่งขันเป็นคนสุดท้ายย่อมมิใช่สิ่งผิด
แต่เมื่อครู่การแสดงความเคารพกลับยิ่งใหญ่กว่านางและจั่วชิวอวี้มาก
สิ่งนี้มิต่างอันใดจากการดูถูกเหยียดหยามพวกเขาทั้งสอง เหตุเพราะจั่วชิวอวี้หาใช่เพียงผู้เข้าแข่งขันธรรมดา แต่เขามีฐานะเป็นถึงจวิ้นอ๋องแห่งเมืองหลินเทียน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็ นตัวแทนของฮ่องเต้
เพียงเท่านี้ก็เห็นได้แล้วว่าฐานะของพวกเขาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แม้จะเป็นเพียงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่หลินเมิ้งหยาและจั่วชิวอวี้ต่างได้กลิ่นของความไม่ชอบมาพากล
“พวกเขาคือพวกผู้อาวุโสที่มีอิทธิพลต่อหอป๋ายเฉา ฮึ มิเพียงแก่แล้วแก่เลยแต่เพียงเท่านั้น แต่ยังรับลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังชอบกลั่นแกล้งรังแกผู้น้อย”
จั่วชิวอวี้ส่งเสียงดูแคลน อันที่จริงผู้อาวุโสแห่งหอป๋ายเฉามิได้มีเพียงความสามารถที่โดดเด่นเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่นอาจารย์ของจั่วชิวอวี้ เขาเป็นถึงหมอในตำนาน แต่เพราะไร้อำนาจและคนสนับสนุน ดังนั้นจึงมิอาจยืนหยัดต่อไปได้ หอป๋ายเฉาจึงมีเพียงผู้อาวุโสที่มีชื่อเสียงเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีอคติกับพวกผู้อาวุโสที่ได้ตำแหน่งมาโดยความประพฤติมิชอบเหล่านี้เป็นอย่างมาก
“อย่าร้อนใจไป ละครเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น รอดูก่อนเถิด”
หลินเมิ้งหยากลับมิกังวล แม้การที่จั่วชิวอวี้เข้าร่วมการแข่งขันจะทำให้พวกเขารู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก แต่หอป๋ายเฉามิใช่เหล็กเพียงเส้นเดียวอีกต่อไปแล้ว
ตลอดหลายปีมานี้เฉินเปี่ยวเกอต้องเสียแรงไปไม่น้อย แม้จะมิอาจทำลายพวกเขาได้ แต่เฉินเปี่ยวเกอก็พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะทำลายความอยุติธรรมเหล่านี้
ผู้อาวุโสสูงสุดหายตัวหลายหลายปีแล้ว หากเขายังมีชีวิตอยู่ คาดว่าอายุก็คงจะครบร้อยปีแล้ว
ดังนั้นการส่งต่ออำนาจจึงเป็นเรื่องที่สมควร
ยิ่งไปกว่านั้นการจากไปอย่างกะทันหันของท่านแม่ทำให้คนเหล่านี้สบโอกาส
เท่าที่ดูจากข้อมูลที่นางได้รับและสิ่งที่พวกญาติผู้พี่เล่า คนที่มีโอกาสสืบทอดตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดคือหนึ่งในห้าคนนี้
หนึ่งในนั้นคนที่มีอำนาจอ่อนแอที่สุดชื่อว่าฉางเทียนหัว
ปีนี้เขาอายุห้าสิบแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็เป็นยุคทองของเขา
วิชาการแพทย์ค่อนข้างโดดเด่น เขาเป็นคนที่หลินเมิ้งหยามาหาเพื่อขอให้ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บที่ไหล่ขวา
ทว่าเขาเป็นคนหัวรั้น แต่กลับชื่นชอบวิชาการแพทย์มากกว่าการแสวงหาอำนาจ ดังนั้นเฉินเปี่ยวเกอจึงมักแอบมาหว่านล้อมเขา อีกทั้งเขายังเป็นตัวเลือกสุดท้ายของเฉินเปี่ยวเกออีกด้วย ย
หลินเมิ้งหยามองเห็นอย่างชัดเจน ฉางเทียนหัวนั่งอยู่ด้านนอกสุด เมื่อเทียบกับผู้อาวุโสอีกสี่คน เขาเหมือนคนแก่ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
แม้ร่างกายจะซูบผอม ทว่าภายใต้ใบหน้าถมึงทึงนั้นเปี่ยมไปด้วยความมั่นคงและโอบอ้อมอารี
มิพูดคุยกับใครเป็นการส่วนตัว ยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนเป็นส่วนเกิน
ด้านข้างฉางเทียนหัวคือผู้ชายที่มีลักษณะค่อนข้างหยิ่งผยอง
ชายคนนี้มีหน้าที่ดูแลยาสมุนไพรทั้งหมดชื่อว่าเฉียนอวี้หมิง
แม้สีหน้าท่าทางจะเหมือนคนซื่อสัตย์ภักดี แต่อันที่จริงแล้วเขาเป็นคนที่มีด้านมืดมากที่สุด
เขาดูแลยาสมุนไพรมาหลายปี มิรู้ว่ายาเหล่านั้นรั่วไหลออกไปภายนอกมากน้อยเพียงไหน
อันที่จริงสกุลเฉียนเป็นสกุลสูงศักดิ์ แม้ภายนอกจะยิ่งใหญ่ แต่ภายในกลับกลวงโบ๋
คาดว่าเฉียนอวี้หมิงคงทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดที่มีเพื่อหล่อเลี้ยงสกุลเฉียนกระมัง
แต่น่าเสียดายที่เฉินเปี่ยวเกอมักสร้างความวุ่นวายให้กับพวกเขา
หากยังไม่กำจัดเห็บหมัดเหล่านี้ออกไป คาดว่าหอป๋ายเฉาคงมิมีวันสงบสุข
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นเป้าหมายที่หลินเมิ้งหยาให้ความสำคัญเป็นพิเศษอีกด้วย
เมื่อเทียบกันแล้ว ความหลงใหลในเงินทองของนางลึกซึ้งกว่าเขาเป็นร้อยเท่า
ส่วนคนที่นั่งอยู่ตรงกลางคือตาแก่ที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่ยอมลงโลงเสียทีนามว่าหนานรุ่ย
ผู้อาวุโสเหล่านี้ล้วนให้ความเคารพเขาเป็นอย่างมาก ดวงตาคู่นั้นมักมีเปล่งประกายแวววาวเสมอ
ชายคนนี้คือศิษย์ผู้น้องของผู้อาวุโสสูงสุดคนก่อน ทั้งสองต่อสู้กันมาห้าสิบกว่าปีแล้ว
พวกเขาเริ่มต้นจากการเป็นลูกศิษย์ตัวเล็ก ๆ จวบจนกระทั่งตอนนี้
เฉินเปี่ยวเกอเล่าว่าคนผู้นี้จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนัก พวกหลินเมิ้งหยาต้องระมัดระวังให้ดี
ยิ่งไปกว่านั้นคนที่เฉินเปี่ยวเกอส่งเข้าไปสอดแนมนามว่าหลี่หยวนยังเป็นลูกศิษย์ของเขา
มองดูตาเฒ่าที่อยู่ในวัยไม้ใกล้ฝั่งเต็มที เขาไม่แม้แต่จะมองคนรุ่นหลังอยู่ในสายตา ราวกับว่าหัวใจของเขาคิดหวังเพียงการกอบโกยเงินทองเข้าหาตนเองแต่เพียงเท่านั้น
ส่วนอีกสองคนที่เหลือเป็นพี่น้องกัน
คนหนึ่งชื่อตวนมู่หยาง ส่วนอีกคนชื่อว่าตวนมู่หยิน
แน่นอนว่าพวกเขาย่อมมีลักษณะนิสัยเหมือนกับชื่อของตนเอง
คนหนึ่งฉุนเฉียวง่าย อีกคนอ่อนโยน
พวกเขาสองพี่น้องรับผิดชอบหน้าที่ดูแลลูกศิษย์และหมอทุกคน ดังนั้นอำนาจจึงมีมากล้นฟ้า
ทว่าพวกเขาสองพี่น้องมิได้มีใจสมัครสมานสามัคคีกันเท่าไรนัก ดังนั้นเฉียนอวี้หมิงและหนานรุ่ยจึงสามารถเข้ามาแทรกแซงได้
ชื่อของพวกเขาทั้งห้าที่ถูกวางเรียบกันบนเวทียิ่งใหญ่อลังการกว่าของพวกหลินเมิ้งหยามาก
“อีกเดี๋ยวก็จบแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปพบกับผู้อาวุโสฉาง ฮวงซงเคยเกริ่นเรื่องนี้ไปก่อนหน้านั้นแล้ว คาดว่าเขาจะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าอย่างแน่นอน”
แม้จั่วชิวอวี้จะรู้สึกตื่นเต้น แต่เพราะมีญาติผู้น้องอย่างหลินเมิ้งหยานั่งอยู่ด้วย ดังนั้นเขาจึงต้องแสร้งแสดงท่าทางสงบนิ่ง
นอกจากฉางเทียนหัวแล้ว ผู้อาวุโสคนอื่นล้วนมีความหลังกับเขาทั้งสิ้น
หรืออาจพูดว่าพวกเขาล้วนมีความแค้นฝังหุ่นต่อกัน
“อวี้เปี่ยวเกอเป็นอะไรไป?”
หลินเมิ้งหยาสัมผัสได้ถึงความกดดันของจั่วชิวอวี้ แม้คนเหล่านั้นจะน่ารังเกียจ แต่ก็มิน่าส่งผลทำให้จั่วชิวอวี้มีอาการเปลี่ยนไปเช่นนี้
ผงะเล็กน้อย จั่วชิวอวี้มองหน้าน้องสาวตนเอง ก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่มีอะไร”
เรื่องบางเรื่องเขาไม่ควรบอกหลินเมิ้งหยาจะดีกว่า ตอนนี้นางมีเรื่องรบกวนใจมากพอตัวแล้ว เรื่องนี้เขาควรแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
แม้หลินเมิ้งหยาจะรู้สึกเป็นห่วง แต่จั่วชิวอวี้เป็นคนรู้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ
หันหน้ากลับไปมองเวทีอีกครั้ง การแข่งขันรอบคัดเลือกแบ่งออกเป็นสามหัวข้อ
หัวข้อแรกคือการหายาสมุนไพรสี่ชนิดจากยาสมุนไพรหนึ่งพันชนิดภายในเวลาที่กำหนด
ก่อนการแข่งขันจะจบลง พวกเขาต้องหายาสมุนไพรทั้งสี่ชนิดออกมาให้ถูกต้อง แต่ทุกคนจะต้องรู้ก่อนว่ามิใช่เรื่องง่ายเลยที่จะแยกกลิ่นยาสมุนไพรทั้งพันชนิดออกขณะที่พวกมันถูกผสมเข้ าด้วยกัน
นี่เป็นเงื่อนไขที่เข้มงวดของหอป๋ายเฉา หากคนเป็นหมอมิอาจแยกยาสมุนไพรที่ต้องใช้ได้ เช่นนั้นจะสามารถรักษาคนไข้ได้อย่างไร
ท่ามกลางสายตาของทุกคน มีคนยกโต๊ะกลมเข้ามาสิบกว่าตัว
มีกล่องไม้สีเหลืองสิบสองกล่องวางเอาไว้ข้างโต๊ะ
ภายในน่าจะเป็นชื่อยา หลังจากวางกล่องลงบนตำแหน่งที่ถูกต้องแล้ว จากนั้นจึงมี