ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 17 บทที่ 494 การแข่งขันรอบคัดเลือก
ยาสมุนไพรหนึ่งพันชนิดผสมคละเคล้าเข้าด้วยกันภายในกล่องไม้ทั้งสิบสองใบ
ทุกโต๊ะมีผู้เข้าแข่งขันยืนล้อมรอบสามคน โดยแต่ละคนจะต้องเลือกยาสมุนไพรสี่ชนิดออกมา จากนั้นก็ใส่ลงในกล่อง สุดท้ายจึงนำขึ้นไปบนเวทีเพื่อให้ผู้อาวุโสทั้งห้าตรวจสอบ
แม้จะฟังดูง่าย แต่กลับเป็นเรื่องที่ทำได้ยากยิ่ง
อย่าว่าแต่การแยกยาแต่ละชนิดออกเลย ยาสมุนไพรเหล่านั้นคล้ายคลึงกันค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะคัดสรรยาออกมาเพียงแค่ไม่กี่ชนิด
“เปิดกล่อง!”
ลูกศิษย์ผู้รับหน้าที่สังเกตการณ์ในการแข่งขันร้องประกาศ จากนั้นกล่องทั้งสิบสองใบจึงถูกเปิดออก
ท่ามกลางสายตาของผู้ชม ยาสมุนไพรเหล่านั้นล้วนถูกผสมคละเคล้ากันอยู่ภายใน
พวกลูกศิษย์ค่อยๆ หยิบก้อนยาสมุนไพรก้อนหนึ่งออกมา จากนั้นจึงวางลงบนโต๊ะกลม
“คิดไม่ถึงเลยว่าพวกผู้อาวุโสเหล่านั้นจะยอมตัดใจกรีดเลือดกรีดเนื้อของตนเองเช่นนี้ ยาเหล่านั้นเป็นยาดีที่ต้องแลกมาด้วยเงินมหาศาล”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยด้วยความเสียดาย นางกับจั่วชิวอวี้คิดเห็นเช่นเดียวกัน ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน
เหตุเพราะยาบางชนิดจำต้องหลบเลี่ยงแสงแดด ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องหลีกเลี่ยงความชื้น
การนำออกมาตากแดดตากลมเช่นนี้ กอปรกับถูกพลิกไปมาอย่างน่าอดสู นอกจากฤทธิ์ของยาจะเสื่อมลงแล้ว ตัวยายังมิอาจนำกลับไปเก็บได้เหมือนเดิมด้วย
“หากดูจากนิสัยของเฉียนอวี้หมิงแล้วล่ะก็ คาดว่ายาเหล่านี้คงไม่ถูกนำกลับมาใช้อีกแล้ว เขาเป็นคนรักษาหน้าของตนเอง หากเป็นเขา เขาต้องทำลายมันทิ้งอย่างแน่นอน”
สีหน้าจั่วชิวอวี้ไม่น่ามอง อย่าว่าแต่เงินมากมายที่นำมาใช้จ่ายในการสร้างสถานที่แข่งขันแห่งนี้เลย แม้แต่ยาเหล่านั้นที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บของคนป่วยได้ เขากลับนำมันมาเป ป็นเพียงเครื่องมือ คาดว่ายาเหล่านี้คงเป็นยาของหอป๋ายเฉาที่เขาเก็บเอาไว้
“นี่เป็นยันต์สั่งตายของเขา ไม่ช้าก็เร็วมันจะกลายเป็นหลักฐานเอาผิดเขา”
ยิ่งมองจากมุมนี้หลินเมิ้งหยายิ่งเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดเฉินเปี่ยวเกอจึงต้องการกำจัดพวกโลภมากเหล่านี้
แต่ถึงกระนั้นก็คงมิอาจกำจัดพวกเขาออกไปทั้งหมดได้ในคราวเดียว
ตอนนี้ทำได้เพียงอดทนเท่านั้น
หลินเมิ้งหยาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อรับกลิ่นยาสมุนไพรที่ลอยฟุ้งกลางอากาศ
กลิ่นฉุนเหล่านั้นถูกวิเคราะห์โดยระบบเซินหนงอย่างรวดเร็ว ไม่นานรายชื่อยาทั้งหมดก็ปรากฏอยู่ในสมองของนาง
“ประหลาดยิ่งนัก”
อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ แม้ผู้ชนะการแข่งขันรอบคัดเลือกจะยังมิอาจครอบครองตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดแห่งหอป๋ายเฉาได้ แต่หากได้รับชัยชนะ คาดว่าอนาคตของคนผู้นั้นจะต้องรุ่งโรจน์อย่าง งแน่นอน
ทว่าการทดสอบนี้ก็ยากยิ่งนัก
การจะจำแนกยาสมุนไพรเหล่านี้ได้ นอกจากวิธีการมอง การดมและการสังเกตแล้ว ยังต้องเคยใช้งานมันอีกด้วย
อย่างเช่นยาสมุนไพรที่ชื่อว่าไฮ่ซ่างฮวาที่มีลักษณะภายนอกเหมือนต้นหญ้าแห้งมิน่ามอง ทว่าหากนำไปเผาราวหนึ่งนาทีแล้วล่ะก็ บริเวณกิ่งก้านจะมีน้ำยาสีขาวขุ่นซึมออกมา
ดังนั้นยาสมุนไพรน่าพิศวงเหล่านี้จึงเป็นโจทย์ที่ยากยิ่งนัก
คนที่ผ่านการทดสอบย่อมต้องเป็นคนมีพรสวรรค์
หากสามารถเฟ้นหาหมอที่มีพรสวรรค์ได้ เช่นนั้นก็มิเป็นการเสียเปล่าเลยเสียทีเดียว
คนมีพรสวรรค์ ไม่ว่าสำหรับเฉินเปี่ยวเกอหรือผู้อาวุโสทั้งห้าล้วนมีประโยชน์ต่อพวกเขาทั้งสิ้น
หลังจากบอกกฎการแข่งขันจบ ผู้เข้าร่วมการแข่งขันก็เดินเข้ามาจากประตูใหญ่ของหอป๋ายเฉา
คนในตระกูลสูงศักดิ์หรือหมอที่ได้รับการยอมรับแล้วล้วนผ่านเข้าไปในรอบรองชนะเลิศได้เลย
ดังนั้นแม้คนเหล่านี้จะมีรูปร่างสูงต่ำดำขาวต่างกันไป แต่ใบหน้าที่คุ้นหน้าคุ้นตากลับมีไม่มากนัก
โต๊ะเหล่านั้นรองรับผู้เข้าแข่งขันได้สามสิบหกคน
สายตาท่าทางของพวกเขาแสดงออกถึงความตื่นเต้น แต่บางส่วนก็ตั้งตนเป็นศัตรูกับผู้อื่น โดยแทบจะไม่มีคนที่แสดงท่าทีผ่อนคลายให้เห็น
เป็นเช่นนี้ก็สมควรแล้ว หากคิดจะรอดไปจากการทดสอบนี้ เช่นนั้นพวกเขาต้องมีความสามารถ
“การแข่งขันแรกต้องทำให้เสร็จภายในเวลาสองชั่วโมง เริ่มต้น ณ บัดนี้!”
ลูกศิษย์ที่รับผิดชอบหน้าที่ดำเนินพิธีประกาศเสียงดังสนั่น ไม่ไกลกันนั้นธูปหอมขนาดใหญ่เท่าลำแขนพลันถูกจุดขึ้น
นั่นคือธูปสำหรับจับเวลา โดยธูปหนึ่งดอกเท่ากับเวลาหนึ่งชั่วโมง
แม้จะไม่เที่ยงตรงเท่านาฬิกาจับเวลาในยุคปัจจุบัน แต่ถึงกระนั้นก็แตกต่างกันไม่มากนัก
สิ้นเสียงของลูกศิษย์คนนั้น ผู้เข้าแข่งขันก็เริ่มจำแนกสมุนไพรแต่ละชนิด
ทั้งหลินเมิ้งหยาและจั่วชิวอวี้ต่างเพิ่งเคยเห็นการแข่งขันเช่นนี้เป็นครั้งแรก ยิ่งเวลาผ่านไป ผู้เข้าแข่งขันก็ยิ่งแสดงความสามารถอันน่าพิศวงของตนเองออกมา
หลินเมิ้งหยากวาดตามอง ก่อนจะเห็นบุรุษหนุ่มท่าทางน่าสนใจคนหนึ่งตรงโต๊ะตัวที่สาม
ไม่รู้ว่าเขาเอากะละมังมาจากที่ใด เขานำยาสมุนไพรจุ่มลงน้ำเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะดึงขึ้นมา
“อวี้เปี่ยวเกอคิดว่าชายคนนั้นกำลังทำอะไร?”
จั่วชิวอวี้เองก็สังเกตบุรุษผู้นั้นอยู่ คนอื่นๆ ล้วนอาศัยลักษณะที่แตกต่างกันของยามาจำแนก แต่คนคนนี้กลับพยายามนำยาสมุนไพรมาจุ่มน้ำ
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังลงมือทำอย่างรวดเร็ว ผู้เข้าแข่งขันอีกสองคนในโต๊ะมองด้วยสายตาไม่พอใจเท่าไรนัก
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ เขานำยาสมุนไพรไปล้างเช่นนี้พราะกลัวมันสกปรกหรือ?”
เหตุเพราะอยู่ห่างค่อนข้างไกล ดังนั้นจั่วชิวอวี้จึงไม่แน่ใจนัก
เขารู้จักคนรักความสะอาดอย่างหลิวซวน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยเห็นสหายคนสนิทนำของทุกชิ้นไปล้างก่อนเช่นนี้
แต่นั่นก็มิใช่การทำผิดกฎ แม้น้ำเหล่านั้นจะเป็นสิ่งที่สามารถทำให้เขาจำแนกยาสมุนไพรได้ก็ตาม
แต่เขาทำการทดสอบหลังจากคนอื่นๆ ตรวจสอบเสร็จแล้วทุกครั้ง
เนื่องจากยาสมุนไพรเหล่านั้นมิเสียหายแต่อย่างใด ดังนั้นคู่แข่งที่เคยมองเขาด้วยสายตาอาฆาตก็สงบนิ่งลง
ยิ่งเห็นก็ยิ่งสงสัย ตกลงเขากำลังทำอะไรกันแน่?
ยิ่งเวลาล่วงเลยไปมากเท่าไร สีหน้าของเหล่าผู้เข้าแข่งขันก็ยิ่งเคร่งขรึม
หลินเมิ้งหยาที่นั่งอยู่หลังม่านไข่มุกรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย
“ข้าขอออกไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อย เจ้าจะไปหรือไม่?”
เมื่ออยู่ในเมืองหลินเทียน หลินเมิ้งหยาได้รับการดูแลดุจดั่งนางฟ้า ทุกการเคลื่อนไหวของนางสามารถทำให้ราษฎร์์นำไปซุบซิบนินทาได้ทั่วทั้งเมือง
ดังนั้นนางจึงเลิกที่จะอยู่อย่างหลบซ่อนและเผชิญหน้าออกไปตรงๆ
“ข้าไม่ไป เจ้ากับอวี้อันระวังตัวด้วย”
สีหน้าจั่วชิวอวี้เคร่งขรึม คาดว่าคงกำลังกังวลเรื่องการชิงตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุด
ตอนนี้หลินเมิ้งหยามิอาจช่วยเหลือเขาได้ ดังนั้นจึงก้าวออกจากม่านไข่มุกพร้อมกับอวี้อัน
“ไปเถิด พาข้าไปหาเฉินเปี่ยวเกอหน่อย”
ด้านนอก หลินเมิ้งหยากระซิบเสียงเบาโดยมีเพียงอวี้อันเท่านั้นที่ได้ยิน
อวี้อันอึ้งงันอยู่กับที่ เขาไม่รู้ว่าตนเองเผยพิรุธออกไปตั้งแต่เมื่อไร จวิ้นจู่จึงรับรู้ถึงการมาของฮ่องเต้ได้
“ไม่ใช่ความผิดของเจ้า แต่เพราะกลิ่นยาประจำตัวของเฉินเปี่ยวเกอฟุ้งกระจายออกมา คนทั่วไปไม่ได้กลิ่นหรอก แต่กลิ่นนั้นไม่อาจเล็ดรอดจมูกของข้าได้”
ตั้งแต่การแข่งขันเริ่มต้น กลิ่นยาประจำตัวของเฉินเปี่ยวเกอก็ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศแล้ว
น่าเสียดายที่มิอาจหนีรอดประสาทการรับกลิ่นของนางไปได้
จะว่าไปแล้ว เฉินเปี่ยวเกอให้ความสำคัญกับการแข่งขันในคราวนี้มากถึงขั้นส่งขันทีมากความสามารถเช่นนี้มาอยู่ข้างกายนาง เช่นนั้นแล้วเขาจะพลาดโอกาสสำคัญนี้ได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นนางและจั่วชิวอวี้คอยดึงดูดความสนใจของพวกคนเหล่านั้นอยู่ ดังนั้นเขาจึงสามารถแอบสังเกตการณ์ได้อย่างลับๆ
คาดว่าเมืองหลวงว่างเทียนในเวลานี้นี้คงมีข่าวว่าฮ่องเต้มีพระพลานามัยไม่แข็งแรงหรือไม่ก็ล้มป่วยกระมัง
แต่ใครจะเดาได้บ้างว่าจั่วชิวเฉินเดินทางมายังเมืองหลวงเก่าแห่งนี้?
แม้จะถูกจับได้ แต่อวี้อันกลับมิได้แสดงท่าทีตื่นตะลึงมากนัก
แย้มยิ้มด้วยความเลื่อมใส ก่อนจะกระซิบเสียงเบา
“เพราะเหตุนี้ฝ่าบาทจึงรับสั่งว่าเขาสามารถปิดบังทุกคนได้ ยกเว้นอันเล่อจวิ้นจู่ เชิญเสด็จทางนี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ”
คนภายนอกถูกไล่ออกไปจนหมดแล้ว อวี้อันนำทางนางเดินลึกเข้าไปในชั้นสอง
หลินเมิ้งหยารู้สึกประหลาดใจอยู่หลายส่วน หอป๋ายเฉาเป็นผู้สร้างสถานที่แข่งขันขึ้นมิใช่หรือ? เหตุใดอวี้อันจึงรู้จักเส้นทางเป็นอย่างดี?
ในที่สุดก็เดินมาถึงด้านในสุด อวี้อันหันซ้ายแลขวาด้วยความระมัดระวัง จากนั้นจึงเคาะกำแพงเบาๆ สามครั้ง
รออยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดประตูก็ถูกเปิดออก
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องมา”
ภายในห้องจั่วชิวเฉินในชุดหรูหราหยักยิ้มรอท่าหลินเมิ้งหยา
หลินเมิ้งหยาเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ที่เขาเพิ่งลุกอย่างไม่เกรงใจ
“พระองค์กำลังทำอะไรอยู่กันแน่? คิดจะให้หม่อมฉันกับจั่วชิวอวี้เป็นโล่กำบังอย่างนั้นหรือ? หากวันนี้ไม่อธิบายมาให้ชัดเจน ภายภาคหน้าอย่าหวังว่าข้าจะยอมช่วยท่าน”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยเหน็บแนมขณะหันไปมองใบหน้าขมขื่นของจั่วชิวเฉิน
เขารู้อยู่แล้วว่าญาติผู้น้องมิใช่คนโกรธง่ายหายเร็ว
รีบแย้มยิ้มกว้าง ก่อนจะอธิบาย
“เปี่ยวเม่ยระงับโทสะก่อนเถิด ข้ามิได้อยากปิดบังเจ้าเลยแม้แต่น้อย แต่ข้าต้องการปกป้องเจ้าอย่างลับๆ ต่างหาก”
ปกป้องอย่างลับๆ ? หลินเมิ้งหยาเลิกคิ้วขึ้นสูง ก่อนจะหรี่ตามอง
“พระองค์ปกป้องหม่อมฉันเรื่องอะไรกันเล่า? ข้าว่าพระองค์เพียงอยากให้พวกหม่อมฉันเป็นตะเกียงล่อแมลงเสียมากกว่า ฮึ เจ้าแผนการยิ่งนัก”
หลินเมิ้งหยาไม่พอใจกับคำแก้ตัวนี้เท่าไรนัก
เมื่อจั่วชิวเฉินเห็นว่าไม่อาจหลอกล่อนางได้สำเร็จ เขาจึงถอนหายใจเบาๆ
“อันที่จริงข้าไม่วางใจอาอวี้ เจ้ายังไม่รู้ความแค้นฝังหุ่นของเขาที่มีต่อพวกผู้อาวุโสเหล่านั้น หากข้าไม่มา ข้าเกรงว่าเขาจะบุ่มบ่ามและทำให้เสียการใหญ่”
ความแค้นฝังหุ่น? เมื่อครู่จั่วชิวอวี้มีท่าทางเคร่งขรึมอยู่หลายส่วนตอนที่ได้เห็นผู้อาวุโสเหล่านั้น
ที่แท้ก็เป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง
“ความแค้นฝังหุ่นอะไรหรือ?”
หลินเมิ้งหยาเค้นถามหนึ่งคำ สีหน้าของจั่วชิวเฉินพลันฉายแววอำมหิต
เห็นได้ชัดว่าความแค้นนี้เกี่ยวข้องกับจั่วชิวเฉินด้วยเช่นเดียวกัน
“อาจารย์ของอาอวี้ถูกสี่คนนั้นฆ่าตาย อันที่จริงเขายอมสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยพวกข้าสองพี่น้อง หากไม่มีเขา ข้ากับอาวี้คงไม่มีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้”
เพียงได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของจั่วชิวเฉิน หลินเมิ้งหยาก็พูดไม่ออก
เพราะเหตุที่มีเรื่องโสมมมากมาย…