ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 17 บทที่ 495 ความโอบอ้อมอารีของสกุลโหว
หลินเมิ้งหยาหันหน้าไปมองทางเวที คิดไม่ถึงเลยว่าผู้อาวุโสทั้งสี่จะเคยทำร้ายเชื้อพระวงศ์
จั่วชิวเฉินเรียนรู้วิธีการเก็บงำอารมณ์เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นมาเป็นอย่างดี ดังนั้นสีหน้าเคียดแค้นในตอนแรกจึงมลายหายไปในเวลาเพียงชั่วอึดใจ
“ตอนนั้นพวกเขาร่วมมือกันวางยาเพื่อหวังจะสังหารพวกเราสองพี่น้อง ตอนแรกพวกเราได้รับพิษเข้าไปแล้ว แต่อาจารย์ของอาอวี้กรอกพิษเข้าร่างของตนเองเพื่อคิดหาวิธีถอนพิษ ด้วยเหตุนี้ยาพิษจึงสั่งสมอยู่ในร่าง ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายของเขายังไม่แข็งแรง สุดท้ายเขาก็ต้องจบชีวิตลงเพราะยาพิษในคราวนั้น นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาอาอวี้ก็ออกเดินทางท่องเที่ยว โดยมีเป้าหมายเพื่อตามหาจ่างกงจู่”
สายตาลึกซึ้งของจั่วชิวเฉินทอดลงที่หลินเมิ้งหยา
ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าเมื่อครั้งอยู่ในพระราชวังแห่งต้าจิ้น เพราะเหตุใดจั่วชิวอวี้จึงพยายามเข้าหานาง
“ฉะนั้นอวี้เปี่ยวเกอจึงยอมแลกทุกอย่างเพื่อหยุดยั้งพวกเขาไม่ให้ครอบครองตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดแห่งหอป๋ายเฉาใช่หรือไม่เพคะ?”
จั่วชิวเฉินผงกศีรษะลง ก่อนจะผินหน้าไปมองพวกผู้อาวุโสที่มีรอยยิ้มภาคภูมิใจที่น่าขยะแขยงเหล่านั้น
“ถูกต้อง หากพวกเขาได้ตำแหน่งไป ภายภาคหน้าบ้านเมืองคงหมดสิ้นความสงบสุข”
น้ำเสียงของจั่วชิวเฉินเคร่งขรึม ใบหน้าไร้ซึ่งรอยยิ้ม
หอป๋ายเฉาตกอยู่ในความโสมมมาเนิ่นนาน รากฐานมั่นคงจนไม่อาจแตะต้องได้ง่ายๆ
เมื่อสิบปีก่อนพวกเขากล้าวางยาเพื่อลอบสังหารองค์ชาย เช่นนั้นอีกสิบปีให้หลังพวกเขาจะไม่กล้าวางยาเพื่อสังหารฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ?
“หม่อมฉันเข้าใจแล้ว พระองค์โปรดวางพระทัย”
หลินเมิ้งหยากระจ่างถึงการต่อสู้ภายในราชวงศ์ดี เพื่ออำนาจแล้วพวกเขายอมสละเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองและไม่สนใจคำว่าพี่น้อง
ตอนนี้หลินเมิ้งหยาเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่าเหตุใดมารดาของนางจึงเลือกที่จะจากไป
“พระองค์จะจัดการหลี่หยวนอย่างไรหรือเพคะ?”
แม้หลี่หยวนจะแสดงท่าทีเป็นปกติ แต่นางมั่นใจว่าเขามีใจคิดคดทรยศ
แต่เพราะตอนนี้เขาเป็นกำลังสนับสนุนของจั่วชิวเฉิน ดังนั้นจึงยังไม่อาจกระชากหน้ากากของเขาได้
หลินเมิ้งหยาไม่เข้าใจชายผู้นี้เลยแม้แต่น้อย แต่ถึงกระนั้นเฉินเปี่ยวเกอที่ส่งเขาไปเป็นคนสอดแนมย่อมต้องเตรียมแผนการรับมือเอาไว้แล้ว
“เขาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น เท่าที่ข้ารู้จักเขา เมื่อการแข่งขันรอบตัดสินเริ่มต้นขึ้น เขาจะต้องเป็นฝ่ายเข้าหาเจ้าและอาอวี้ก่อน เมื่อถึงเวลานั้นให้เจ้าพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ก็พอ”
คนทะเยอะทะยานจะยอมอยู่ใต้เท้าใครได้อย่างไร?
หากเขาทรยศจั่วชิวเฉินได้ เช่นนั้นเขาก็ทรยศอาจารย์ของตนเองได้เช่นเดียวกัน
ทว่าหลี่หยวนจะต้องอยากเห็นภาพจั่วชิวเฉินและหนานรุ่ยเปิดศึกฆ่ากันอย่างแน่นอน
เท่านี้เขาก็จะสามารถฉกฉวยโอกาสเมื่อทั้งคู่อ่อนกำลังลงได้แล้ว
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ แต่หม่อมฉันมีเรื่องหนึ่งอยากขอร้องให้เฉินเปี่ยวเกอช่วย หลงเทียนอวี้ถูกลักพาตัวไปแล้ว หม่อมฉันอยากให้พระองค์ช่วยสืบเรื่องนี้อย่างลับๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หม่อมฉันอยากช่วยหลงเทียนอวี้ออกมาให้ได้”
นี่เป็นการขอร้องอย่างจริงจังครั้งแรกของหลินเมิ้งหยา
อีกฝ่ายล่วงรู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ดี ดังนั้นเขาจึงตกปากรับคำ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแผนการบางอย่างในใจแล้ว
“จูฉีหยุนเป็นพวกระมัดระวังรอบคอบ ข้าคิดว่าหากเขากล้าลักพาตัวหลงเทียนอวี้ไปเช่นนี้ แสดงว่าเขาต้องวางแผนเอาไว้อย่างรอบคอบแล้วอย่างแน่นอน พวกเราจะใจร้อนไม่ได้ เจ้าอย่าได้กังวลเรื่องนี้เลย ข้าจะจัดการเอง”
จั่วชิวเฉินเอ่ยกำชับ แม้หลินเมิ้งหยาจะฉลาดเฉลียว แต่ที่นี่มิใช่ผืนแผ่นดินของนาง
หากไม่ระมัดระวังให้ดีก็อาจตกหลุมพรางของศัตรูได้
เมื่อจั่วชิวเฉินรับปากแล้ว หลินเมิ้งหยาจึงเบาใจลงเล็กน้อย
มือซ้ายจับมือขวาที่ค่อนข้างเย็นเล็กน้อย อวี้เปี่ยวเกอบอกว่าจะพานางไปคารวะผู้อาวุโสฉางหลังจากการแข่งขันรอบคัดเลือกจบลง
หวังว่าแขนของนางจะยังสามารถกลับมาใช้งานได้เหมือนเมื่อก่อน
หลินเมิ้งหยาเอ่ยกับจั่วชิวเฉินอีกสองสามคำ ก่อนจะนำอวี้อันกลับไปยังที่นั่งของตนเอง
“เจ้ามาแล้วหรือ รีบมาดูนี่เร็วเข้า!”
จั่วชิวอวี้รีบโบกมือเรียกหลินเมิ้งหยา ก่อนจะชี้นิ้วไปทางโต๊ะกลมทั้งสิบสองตัว
สายตาเหลือบเห็นชายที่นำยาสมุนไพรจุ่มน้ำขยับตัวไปทำแบบเดียวกันกับโต๊ะตัวอื่นแล้ว
ไม่รู้ว่าเขาพ่นมนต์สะกดหรืออย่างไร เหตุเพราะไม่มีใครกล้าคัดค้านเขาแม้แต่คนเดียว
ขณะเดียวกันคนที่จำแนกยาสมุนไพรเสร็จแล้วก็นำสมุนไพรที่เขียนรายชื่อเสร็จแล้วใส่ลงในกล่องไม้ของตน
“น่าแปลก คนอื่นกำลังจำแนกยาสมุนไพร แต่เหตุใดเขายังนำสมุนไพรจุ่มน้ำเช่นนั้นเล่า?”
หลินเมิ้งหยาและจั่วชิวอวี้ต่างรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าไม่นานนางก็สังเกตพบสาเหตุของพฤติกรรมประหลาดนั้น
เมื่อยาสมุนไพรที่ถูกเขาล้างกระทบกับแสงแดด นางรู้สึกว่ามันเปล่งประกายขึ้นจางๆ
หลินเมิ้งหยาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนมุมปากจะยกขึ้นราวกับกระจ่างแจ้งแล้ว
“จิตใจโอบอ้อมอารียิ่งนัก อวี้เปี่ยวเกอ ต่อให้เขาไม่ผ่านการทดสอบรอบคัดเลือก แต่เจ้าจะต้องดึงเขาเข้ามาเป็นพวกให้ได้”
จั่วชิวอวี้ส่งสายตาฉงนงงงวย ทว่าหลินเมิ้งหยากลับไม่คิดอธิบาย
หลินเมิ้งหยาหันหน้ากลับไปมองชายที่ยังคงนำสมุนไพรลงจุ่มน้ำ
จากนั้นเขาจึงนำสมุนไพรที่จุ่มน้ำหมดแล้วกลับไปยังโต๊ะของตนเอง
ตอนนี้อีกสองคนเหลือยาเพียงชนิดเดียวแล้ว
สถานการณ์เข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะจำแนกยาสมุนไพรชนิดสุดท้าย
ทว่าบุรุษผู้นั้นกลับไม่เร่งร้อน เขาพลิกตัวยาไปมา
ท่ามกลางสายตาของทุกคน เขานำยาสมุนไพรสี่ชนิดไปเก็บในกล่องของตนเอง
จากนั้นชายหนุ่มที่ยุ่งมาตลอดจึงเงยหน้าขึ้น
เคาะกระดิ่งโลหะข้างกายตนเอง เขาใช้เวลาไปสามในสี่ส่วน
คนที่ทำการทดสอบสำเร็จมีเพียงไม่มาก
ท่ามกลางสายตาทุกคู่ เขายกกล่องไม้สี่กล่องขึ้นไปมอบให้ลูกศิษย์แห่งหอป๋ายเฉา
ทว่าเมื่อเดินไปถึงผู้อาวุโสทั้งห้า ยังไม่ทันที่จะวางกล่องลง เฉียนอวี้หมิงซึ่งนั่งอยู่ในลำดับที่สองกลับมีสีหน้าไม่น่ามอง
“ไม่จำเป็นต้องพิจารณาชายคนนี้ เอาไปทิ้งเสีย!”
ทุกคนตกอยู่อาการตกตะลึง ไม่เว้นหลินเมิ้งหยาและจั่วชิวอวี้
“บังอาจถามท่านผู้อาวุโสหน่อยเถิดว่าข้าน้อยเลือกยามาผิดอย่างไรหรือขอรับ?”
ชายหนุ่มกลับไร้ท่าทีอนาทรร้อนใจ เขาเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
เฉียนอวี้หมิงดื่มชาตรงหน้า เลิกคิ้วขึ้นสูง ก่อนจะมองชายหนุ่มด้วยสายตารังเกียจ
“เด็กอกตัญญูสกุลโหวเช่นเจ้าบังอาจมาเข้าร่วมการแข่งขันด้วยอย่างนั้นหรือ พวกเจ้าสกุลโหวถูกขับไล่ออกจากหอป๋ายเฉาตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อนแล้ว! เหตุที่ยังไม่จับตัวเจ้าโยนออกไปก็เพราะเห็นแก่หน้าของตระกูลเจ้า!”
คำพูดของเฉียนอวี้หมิงทำให้สติของชายหนุ่มหลุดลอย
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังยืนอยู่กับที่ แม้ดวงตาจะฉายแววเศร้าหมองก็ตาม
“ข้าน้อยขอบังอาจถามหน่อยเถิดว่าสกุลโหวของพวกเราทำผิดอะไรอย่างนั้นหรือ? หากคิดจะขับไล่พวกเราสกุลโหวออกจากหอป๋ายเฉา เช่นนั้นจำต้องมีตราประทับของผู้อาวุโสสูงสุด ขอถามท่านหน่อยเถิดว่าพวกท่านมีตรานั้นหรือไม่!”
หลินเมิ้งหยาถูกเหตุการณ์ตรงหน้าดึงดูด
สกุลโหว?
ผินหน้าไปมองจั่วชิวอวี้ ทว่าอีกฝ่ายกลับแสดงสีหน้าสับสน
“สกุลโหวคือตระกูลที่ดูแลยาสมุนไพรก่อนหน้าเฉียนอวี้หมิง สิ่งที่ชายคนนั้นเพิ่งใช้ไปคือหยกผลึกน้ำแข็งของสกุลโหว ได้ยินมาว่าขอเพียงนำยาสมุนไพรจุ่มกับน้ำที่ผ่านการละลายของหยกผลึกน้ำแข็งมาก่อน เท่านี้ผิวนอกของยาสมุนไพรก็จะถูกเคลือบเอาไว้และสามารถรักษายาสมุนไพรเหล่านั้นได้เป็นพันเป็นหมื่นปี ตอนนี้ยาเทวดาส่วนใหญ่ล้วนใช้วิธีนี้ในการเก็บรักษา”
หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง อันที่จริงเมื่อครู่นางมองออกแล้วว่าคนคน นั้นกำลังช่วยเก็บรักษายาสมุนไพรเหล่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังทำอย่างรวดเร็ว แม้จะลงมืออย่างระมัดระวังราวกับกลัวว่าตัวยาจะบอบช้ำก็ตาม
เพราะเหตุนี้จึงมีบางคนยอมช่วยเขา
ยาสมุนไพรเหล่านั้นยังคงสามารถใช้การได้เพราะเขาคนนี้ช่วยเอาไว้แท้ๆ
หลินเมิ้งหยาแอบชื่นชมความมีเมตตาของเขาในใจ แต่ก็มีบางคนมองเขาเหมือนเป็นหนามยอกอก
“หุบปาก! เสี่ยวเอ้อร์ซิวแห่งสกุลโหวอวดดียิ่งนัก! การขับไล่สกุลโหวของเจ้าได้รับความเห็นชอบจากพวกเราเหล่าผู้อาวุโส พวกเจ้าสกุลโหวเฝ้าทรัพย์สินเอาไว้เพื่อสนองความต้องการของตนเอง ซ้ำยังสร้างความเสื่อมเสียให้หอป๋ายเฉา หากมิใช่เพราะความใจอ่อนของผู้อาวุโส คิดหรือว่าเจ้าจะยังสามารถเสนอหน้าอยู่ที่นี่ได้!”
เฉียนอวี้หมิงมีท่าทางเต้นเร่าราวกับคนร้อนตัว
ตอนนั้นเขาต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่น้อยกว่าจะได้ตำแหน่งนี้มา
คิดไม่ถึงเลยว่าทายาทของสกุลโหวจะกลับมาเหยียบที่นี่อีกครั้ง
เขาจะยอมปล่อยโอกาสนี้หลุดลอยให้สกุลโหวได้อย่างไร!
“หากพูดถึงเรื่องในคราวนั้น แต่ไหนแต่ไรมาข้ามิเคยเห็นด้วยกับการตัดสินใจในคราวนั้น ผู้อาวุโสเฉียน ข้าเห็นว่าเขาเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งเท่านั้น ซ้ำพวกเราไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ยิ่งไปกว่านั้นหากมีคนผิด คนผู้นั้นก็คือใต้เท้าโหวหาใช่เขาไม่ ไฉนเลยจึงถามหาเอาความผิดจากเด็กคนนี้กันเล่า?”
ฉางเทียนหัวส่งเสียงอ้อยอิ่ง ทว่าแววตากลับเผยร่องรอยของความรังเกียจ
เขาไม่อาจทนมองได้อีกต่อไปแล้ว พวกคนเหล่านี้ทำให้ภาพลักษณ์ของหอป๋ายเฉาต้องสูญสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้นเขาคนนี้ไม่มีลูกศิษย์ ไร้ซึ่งคนสนิทหรือญาติมิตร
กอปรกับได้รับการปกป้องอย่างลับๆ จากจั่วชิวเฉิน ดังนั้นพวกเขาทั้งสี่จึงไม่อาจทำอะไรตนเองได้
ตัวเขาเปรียบดั่งเนื้อก้อนหนึ่งที่ไม่ว่าจะเฉือนอย่างไรก็เฉือนไม่ออก
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้มีโอกาสสร้างความทุกข์ใจให้เฉียนอวี้หมิงแล้ว เช่นนั้นเขาจะปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไปได้อย่างไร?
คำพูดของฉางเทียนหัวได้รับความเห็นชอบจากคนจำนวนไม่น้อย
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เฉียนอวี้หมิงก็เป็นถึงผู้อาวุโส
การที่ผู้อาวุโสมาโต้เถียงกับผู้น้อยเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่น่ามองนัก
ขณะที่เฉียนอวี้หมิงเกือบจะกระอักเลือดออกทางปาก เขาหันไปถลึงตาใส่ฉางเทียนหัวหนหนึ่ง ก่อนจะหันหน้าไปหาหนานรุ่ย
หนานรุ่ยนั่งอยู่บนเก้าอี้นิ่ง ดวงตาทั้งสองข้างค่อยๆ เปิดออกเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน
หันไปมองเด็กหนุ่มสกุลโหว ก่อนจะหันไปมองใบหน้าเปี่ยมโทสะของเฉียนอวี้หมิง มุมปากหยักยิ้มน้อยๆ
“เอาล่ะ เอาล่ะ ล้วนเป็นผู้อาวุโสทั้งนั้น เหตุใดจึงมาต่อล้อต่อเถียงกันต่อหน้าเด็กเช่นนี้เล่า ข้าว่าให้เด็กหนุ่มสกุลโหวผู้นี้ผ่านการทดสอบไปเถิด ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ผ่านมายี่สิบปีแล้ว แม้จะเคยเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น แต่ต่อจากนี้ก็ต้องระมัดระวังให้ดี พ่อหนุ่ม เจ้าต้องตั้งตนเป็นคนดี อย่าได้ทำผิดซ้ำรอยเดิมเป็นอันขาดเข้าใจหรือไม่?”
คำพูดของหนานรุ่ยเปรียบดั่งคำตัดสิน แม้เฉียนอวี้หมิงจะไม่ยินยอม แต่ถึงกระนั้นก็ต้องสงบปากสงบคำลงไป