ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 17 บทที่ 496 ถวายพระพรจวิ้นจู่
“ขอบคุณผู้อาวุโสหนานยิ่งนักขอรับ”
บุรุษสกุลโหวได้รับชัยชนะไปในที่สุด ทว่าแม้จะปลอดภัยแล้ว แต่สีหน้าของเขาไม่ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย
แต่เป็นเหมือนการจ้องมองศัตรู สุดท้ายก็ต้องถอยหลังกลับอย่างไม่เต็มใจ
หากมิใช่เพราะมีจั่วชิวอวี้คอยอธิบาย หลินเมิ้งหยาคงคิดว่าชายหนุ่มสกุลโหวผู้นี้ไม่รู้จักเสียดายโอกาสที่ได้รับ
“เหตุที่หนานรุ่ยให้ความสำคัญกับเด็กสกุลโหวคนนั้นก็เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสกุลโหวค่อนข้างดี ท่ามกลางการต่อสู้ปล้นชิงตามไฟ [1] หากมิได้สกุลโหวช่วยเหลือเอาไว้ เกรงว่า าทรัพย์สินสกุลหนานคงสูญสิ้นไปหมดแล้ว”
ที่แท้ก็พวกโจรนี่เอง หลินเมิ้งหยาเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่าเพราะเหตุใดคนรุ่นหลังจึงไม่รู้สึกยำเกรงพวกเขา
หากเป็นนาง ป่านนี้คงทะเลาะกันจนพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินไปแล้ว
ชายหนุ่มสกุลโหวโค้งคำนับ จากนั้นก็ไม่มีใครหาเรื่องเขาอีก
หลังจากผ่านมือเขา ยาสมุนไพรเหล่านั้นถูกจำแนกออกมาอย่างง่ายดาย
ผู้เข้าแข่งขันที่ทำการทดสอบเสร็จแล้วเพิ่มจำนวนขึ้นราวสิบกว่าคน ก้านธูปยังเหลืออีกเพียงเล็กน้อย คาดว่าผู้ผ่านการทดสอบคงมีไม่ถึงครึ่ง
เคร้ง…
เสียงฆ้องและกลองดังสนั่นเป็นการประกาศว่าหมดเวลาแล้ว
เป็นไปตามที่หลินเมิ้งหยาคาดเอาไว้แต่แรก ผู้ผ่านรอบคัดเลือกจากสามสิบหกคนมีเพียงสิบห้าคนเท่านั้น
เหตุเพราะยังต้องตรวจสอบความถูกต้องของยาสมุนไพร ดังนั้นผู้เข้าแข่งขันทั้งสิบห้าจึงยังรู้สึกกระสับกระส่าย
นอกจากบุรุษสกุลโหวที่มีความสุขุมมากกว่าผู้อื่นแล้ว คนอื่นบ้างแหงนหน้ามองฟ้าก้มหน้ามองดิน บ้างก็หันหน้าขึ้นไปมองเวทีด้วยท่าทางประหม่า
“หมดเวลาแล้ว เชิญทุกท่านที่ทำการทดสอบไม่เสร็จตามเวลาที่กำหนดออกจากสถานที่แข่งขันด้วยเถิด”
ลูกศิษย์ร้องประกาศ จากนั้นผู้เข้าแข่งขันอีกยี่สิบเอ็ดคนจึงกลับออกไป
เดินก้มหน้าคอตกจากไป แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่อยากให้เป็นเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรกฎก็ย่อมเป็นกฎ
เหตุเพราะตนเองไร้ความสามารถ เช่นนั้นจะโกรธเคืองคนอื่นได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่ก็คงมิได้เข้าร่วมการแข่งขันครั้งใหญ่เช่นนี้อีกแล้ว
ทว่าคนสองสามคนในบรรดาพวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองตกอยู่ในสายตาคู่หนึ่งแล้ว
“สองคนนั้นไม่เลวเลย พวกเขาช่วยเหลือคุณชายสกุลโหวเอาไว้ไม่น้อย นับว่ามีจิตใจโอบอ้อมอารี นอกจากความรู้ความสามารถแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดของคนเป็นหมอคือจิตใจที่ควรค่าแก่การเค คารพ”
จั่วชิวอวี้ไม่มีทางไม่เข้าใจความคิดของหลินเมิ้งหยา
สั่งลูกน้องของตนเองให้ไปโน้มน้าวคนเหล่านั้นเข้ามาเป็นพรรคพวกของตนเอง
ไม่นานผลลัพธ์ก็ปรากฏ นอกจากคุณชายสกุลโหวที่ถูกตั้งคำถามก่อนหน้านี้แล้ว คนที่เหลือล้วนถูกเอ่ยถามเพียงเล็กน้อย สุดท้ายผู้มีคุณสมบัติผ่านเข้าไปในรอบต่อไปจึงเหลือเพียงสิบเอ็ด คนเท่านั้น
อีกสี่คนที่เหลือทำได้เพียงแหงนหน้ามองยาสมุนไพรบนโต๊ะอย่างไม่อาจทำใจ
ทว่ากฎย่อมเป็นกฎ พวกเขาทำได้เพียงยอมรับความพ่ายแพ้และจากไปเหมือนผู้เข้าแข่งขันก่อนหน้า
หัวข้อการแข่งขันครั้งต่อไปกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ทว่ายาสมุนไพรที่ถูกจำแนกออกมามิได้ถูกเก็บไปในทันที
พวกมันยังคงถูกวางตรงหน้าพวกเขา จากนั้นคนจำนวนสิบห้าคนจึงเดินเข้ามาจากด้านล่างเวที
คนเหล่านี้สูงต่ำดำขาว อ้วนท้วมซูบผอมแตกต่างกันไป
ยิ่งไปกว่านั้นลักษณะท่าทางยังไร้ซึ่งความผิดปกติ
ทว่าสีหน้าของพวกเขาเผยให้เห็นถึงความหวาดระแวง
ครุ่นคิด คาดว่าพวกเขาคงตื่นเวทีกระมัง
ลูกศิษย์ผู้ดำเนินการแข่งขันกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
“ทั้งสิบห้าคนนี้ล้วนมีอาการเจ็บป่วยแฝงอยู่ ยาสมุนไพรในมือของทุกท่านล้วนสามารถรักษาอาการของพวกเขาได้หนึ่งคน นี่เป็นการแข่งขันในหัวข้อที่สองและสาม!”
ที่แท้การแข่งขันหัวข้อที่สองก็คือการวินิจฉัยโรค แต่หัวข้อที่สามคืออะไรนั้น ทุกคนล้วนรู้สึกสงสัยใคร่รู้
เหตุเพราะมีเรดาร์คอยช่วยเหลือ ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงมีความสามารถโดดเด่นทางด้านยาพิษ
แต่กับการวินิจฉัยรักษาโรค คาดว่าหมอทั้งสิบเอ็ดคนเบื้องล่างล้วนเก่งกว่านางอย่างแน่นอน
คนนอกมองด้วยความสนุกสนาน ทว่าคนในกลับหันไปจ้องประตู
จั่วชิวอวี้มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเพลิดเพลิน ยิ่งได้เห็นการวินิจฉัยที่ผิดแผกแปลกไปจากที่เคยรู้จัก เขาก็ยิ่งรู้สึกสนใจ
หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าเขาแสดงท่าทีออกหน้าออกตาเกินไปสักเล็กน้อย
ผิดกับนางที่รู้สึกเบื่อ ดังนั้นจึงเดินออกไปสูดอากาศที่ด้านนอก
อวี้อันเดินตามหลังนาง คาดว่าจั่วชิวเฉินต้องออกคำสั่งให้เขาคอยอารักขานางไม่ห่างแม้เพียงครึ่งก้าวอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าเขาปฏิบัติตามคำสั่งอย่างมิขาดตกบกพร่อง นอกจากเวลาที่นางนอนหลับหรือเข้าห้องน้ำแล้ว เวลาอื่นๆ เขาทำตัวมิต่างอันใดจากหางของนาง ไม่ว่าจะสะบัดอย่างไรก็ไม่หลุด
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีไหวพริบมากทีเดียว หลายครั้งหลายคราที่เข้ามักจะช่วยสร้างความรื่นเริงให้แก่หลินเมิ้งหยา แต่ถึงกระนั้นก็มิทำให้นางรู้สึกรำคาญ
ทั้งสองเดินนำหน้าตามหลังกัน เพียงเดินผ่านโค้งหนึ่งมา อยู่ๆ ร่างของใครคนหนึ่งก็โผล่พรวดเข้ามาหยุดตรงหน้านาง
“ไอหยา…ข้าน้อยไม่รู้ว่าเป็นจวิ้นจู่ จวิ้นจู่โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วยเถิด”
เขารีบโค้งตัวลงแสดงความเคารพขณะเอ่ย
หลินเมิ้งหยาหันไปมอง ก่อนจะได้เห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นตา
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้ชนนาง เช่นนั้นนางจะถือสาหาความเขาไปใย
“ไม่เป็นไร ข้าเองก็ต้องขออภัยด้วยที่ไม่ทันระวัง”
หลินเมิ้งหยาขยับเท้าถอยหลังหนึ่งก้าวขณะเอ่ยขอโทษด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนนางยืดตัวขึ้นเล็กน้อยและคิดจะเดินจากไป
“จวิ้นจู่ ช้าก่อน!”
คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะร้องเรียกทันทีที่นางหมุนตัวกลับ
“มีอะไรหรือ?”
เอี้ยวตัวกลับมาอีกครั้ง หลินเมิ้งหยามองท่าทางเหมือนคนบื้อใบ้ของเขา ก่อนที่นางจะนึกขึ้นมาได้ว่าเขาคือหลานชายของจูฉีหยุนผู้นั้น
“จวิ้นจู่ได้โปรดเดินไปทางนั้นกับข้าน้อยเถิดขอรับ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพระสวามีของจวิ้นจู่”
ราวกับหลานชายสกุลจูตกอยู่ในอาการวิตกกังวล ดวงตาทั้งสองข้างเหลือบซ้ายแลขวาไม่อยู่นิ่ง
หลินเมิ้งหยาไม่อยากเดินไปกับเขา แต่เมื่อได้ยินว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลงเทียนอวี้ นางจึงหยุดยั้งความคิดของตนเอง
ส่งสัญญาณผ่านทางสายตาให้อวี้อัน อีกฝ่ายเข้าใจในทันที จากนั้นจึงแอบตามพวกเขาไปอย่างลับๆ
“คุณชายบอกชื่อแซ่ให้ข้ารู้สักหน่อยดีหรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยถามหยั่งเชิง หลานชายสกุลจูเดินนำนางไปยังระเบียง
แม้จะค่อนข้างเงียบ แต่ก็มิใช่สถานที่ลับตาคน
“ข้าน้อยจูเจียจิงถวายพระพรจวิ้นจู่”
จูเจียจิงทรุดตัวคุกเข่าหมอบกราบหลินเมิ้งหยาด้วยอย่างเคารพเลื่อมใส
“นี่เจ้า….”
เลิกคิ้วขึ้นสูง หลินเมิ้งหยาตกใจจนชะงัก
ทว่าท่าทางของจูเจียจึงเหมือนคนกำลังตื่นเต้น น้ำตาไหลอาบแก้มขณะเอ่ยเสียงกระซิบ
“ข้าน้อยเคยเป็นคนสอดแนมของฮ่องเต้ ต่อมาใช้ฐานะของหลานชายสกุลจูเข้าไปอยู่ในหอป๋ายเฉา วันนี้ข้าน้อยได้เห็นจวิ้นจู่มาในฐานะตัวแทนของฮ่องเต้ ข้าน้อย…ดีใจเหลือเกินขอรับ”
ชายอกสามศอกร้องไห้สะอึกสะอื้นต่อหน้าหลินเมิ้งหยาจนนางทำอะไรไม่ถูก
“อย่าทำเช่นนี้เลย เจ้าลุกขึ้นก่อนแล้วค่อยๆ คุยกันเถิด เหตุใดต้องร้องไห้ด้วยเล่า?”
แม้จะเอ่ยเช่นนี้ แต่หลินเมิ้งหยากลับไม่เข้าไปพยุงร่างของเขา
นางขยับเท้าถอยหลังก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยปลอบ
“ข้าน้อยดีใจเหลือเกินขอรับ จริงสิ ไม่ทราบว่าจวิ้นจู่รู้แผนการขั้นต่อไปของฝ่าบาทหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
จูเจียจิงมิได้ลุกขึ้น แต่เขากลับส่งเสียงสะอึกสะอื้นอยู่บนพื้น
หลินเมิ้งหยารู้สึกตกใจอยู่เล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเรียบ
“จริงอยู่ที่เฉินเปี่ยวเกอส่งข้ามา แต่พระองค์มีจุดประสงค์อะไรนั้นข้าเองก็ไม่แน่ใจ ข้าคิดว่าเจ้าควรไปถามไถ่พระองค์ด้วยตนเองจะดีกว่า”
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของจูเจียจิงจึงค่อยๆ เงียบลง
ทว่าสีหน้าแววตายังคงเผยความเจ็บปวด
“จวิ้นจู่รับสั่งถูกต้องแล้ว แต่ข้าน้อยมิได้เจอฝ่าบาทมานานแล้ว แน่นอนว่าข้าน้อยคิดถึงฝ่าบาทยิ่งนัก หากจวิ้นจู่ไม่เสด็จมา ข้าน้อยคงคิดว่าฝ่าบาททอดทิ้งข้าน้อยเสียแล้ว”
หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า ทำเพียงปลอบใจเขาสองสามคำ
ทว่าจูเจียจิงกลับยิ่งแสดงท่าทีซาบซึ้งใจ แต่เพียงพริบตาเดียวสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นขุ่นเคือง
“จวิ้นจู่คงไม่รู้ว่าจูฉีหยุนผู้นั้นโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนัก เขาเห็นว่าลูกชายของตนถูกคนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นเขาจึงวางแผนร้ายในใจแล้วสั่งคนทำร้ายบุตรชายของตนเองจนตาย ย! แต่นี่ยังไม่เท่าไร ทว่าเขายังสมคบคิดกับคนต่างถิ่นลักพาตัวท่านอ๋องอวี้ไปอีกด้วย!”
หลินเมิ้งหยาเบิกตากว้าง เห็นได้ชัดว่านางคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้
“เจ้ารู้ได้อย่างไร? ในเมื่อเจ้ารู้ความจริงทั้งหมด แล้วเหตุใดจึงไม่รายงานฝ่าบาทเล่า?”
จูเจียจิงยกมือขึ้นปิดใบหน้าเปื้อนน้ำตาของตนเอง ก่อนจะคร่ำครวญด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
“ข้าน้อยเป็นเพียงคนไร้อำนาจ เช่นนั้นจะกล้าต่อกรกับพวกเขาได้อย่างไร ข้าน้อยอยากขอร้องให้จวิ้นจู่ทวงคืนความยุติธรรมกลับคืนมา อย่าปล่อยให้คนไร้ยางอายเช่นนั้นทำลายความยุติธรรมไ ได้ขอรับ!”
ราวกับคำพูดนี้หลุดออกจากความเคียดแค้นที่ฝังลึกในกระดูก สีหน้าของหลินเมิ้งหยาอ่อนโยนขึ้นมาก
“เจ้าลุกขึ้นก่อนเถิด ในเมื่อเจ้าเป็นคนของเฉินเปี่ยวเกอ เช่นนั้นพวกเราก็มิใช่คนอื่นคนไกล ตลอดหลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว”
หลินเมิ้งหยายื่นมือทั้งสองข้างเข้าไปประคองจูเจียจิง
ทว่าอีกฝ่ายกลับปฏิเสธอยู่สองครั้ง ก่อนจะลุกขึ้น
ขอบตาทั้งสองข้างแดงก่ำ เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่าเขาเพิ่งร้องไห้มา
“ในเมื่อเจ้าบอกความจริงแก่ข้าแล้ว เช่นนั้นข้าจะไม่ปล่อยให้ความจริงหลุดลอยไป เจ้าจงกลับไปจับตามองจูฉีหยุนและปกป้องท่านอ๋องอวี้ด้วย อีกเดี๋ยวหากกลับไปแล้วข้าจะส่งจดหมายหาเฉ ฉินเปี่ยวเกอ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะได้รางวัลตอบแทนอย่างงดงาม”
หลินเมิ้งหยาหยักยิ้มอ่อนโยน รอยยิ้มของนางงดงามชวนหลงใหลยิ่งนัก
จ้องมองเรือนร่างของจูเจียชิง ชายหนุ่มที่มีท่าทางเจ็บปวดเมื่อครู่พลันก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยก็วางใจแล้วขอรับ จูฉีหยุนเป็นคนขี้ระแวง ข้าน้อยออกมานานมากแล้ว คาดว่าต้องทำให้เขาสงสัยเป็นอย่างมากแน่นอน”
หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง มองตามหลังจูเจียจิงที่เดินจากไป
จนกระทั่งร่างของเขาหายลับไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้านวลจึงมลายหายไป
“จวิ้นจูเชื่อคำพูดของเขาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
อวี้อันปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของหลินเมิ้งหยา
เขายืนเฝ้าระวังอยู่หลังเสาตลอดเวลา ดังนั้นเขาย่อมได้ยินคำพูดของชายคนนั้นอย่างครบถ้วน
ขณะเดียวกันสีหน้าฉายแววหวาดระแวง
“เชื่อ เหตุใดต้องไม่เชื่อเล่า แน่นอนว่าคำพูดของเขาย่อมมีคำลวงอยู่มาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความจริง”
หลินเมิ้งหยาหรี่ตามองทิศทางที่ชายคนนั้นเดินลับหายไป
สกุลจูกำลังวางหมากตัวสำคัญ แต่หมากตัวนี้ยังอ่อนหัดนัก
——————
หมายเหตุ
[1] ปล้นชิงตามไฟ หมายถึง การฉกฉวยโอกาสเมื่อฝ่ายศัตรูกำลังย่ำแย่