ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 17 บทที่ 497 พลิกลิ้น
“จวิ้นจู่ หมายความว่าท่านดูเขาออกตั้งแต่แรกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
อวี้อันใจเย็นลงแล้ว จะว่าไปแล้วก็จริง แม้แต่เขายังมองพิรุธของอีกฝ่ายออก เช่นนั้นคนรอบคอบอย่างจวิ้นจู่จะมองไม่ออกได้อย่างไร?
“หากเขาเป็นหมากของฮ่องเต้จริง เช่นนั้นเขาจะมาหาข้าด้วยเหตุใด?”
เท่าที่ดูจากอำนาจของจั่วชิวเฉิน มิใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะส่งคนเข้าไปสอดแนมจูฉีหยุน
แต่น่าเสียดายที่สกุลจูบุ่มบ่ามเกินไป ดังนั้นในสายตาของนาง การแสดงของเขาจึงดูจงใจทำอยู่หลายส่วน
หลินเมิ้งหยาไม่มีทางเชื่อว่านี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ
เห็นได้ชัดว่าคุณชายจูจงใจเข้ามาพูดจาเลื่อนเปื้อนต่อหน้านาง
แม้แต่อวี้อันยังจับพิรุธได้ สกุลจูคงไม่คิดว่านางโง่ถึงขั้นนั้นหรอกกระมัง?
“จวิ้นจู่ หรือว่านี่จะเป็นหลุมพรางพ่ะย่ะค่ะ?”
น้ำเสียงของอวี้อันเจือความกังวลใจอยู่หลายส่วน
ส่ายหน้าเบาๆ อันที่จริงหลินเมิ้งหยามิได้กลัวกับดักของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
กลับกัน หากพวกเขานิ่งเฉยเกินไปต่างหากจึงจะน่ากลัว
“นับตั้งแต่วันที่ข้ามาที่นี่ ทุกหนทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยหลุมพราง เช่นนั้นแล้วเจ้าคิดว่าพวกเขาจะยังทำอะไรข้าได้อีกหรือ?”
เดินออกจากโค้งนั้นมา หลินเมิ้งหยาเห็นว่าจูเจียจิงกลับไปนั่งข้างจูฉีหยุนแล้ว
ท่าทางกระสับกระส่ายตกอยู่ในสายตาของหลินเมิ้งหยา แต่นางตระหนักถึงบางสิ่งขึ้นมาได้
“ดูเหมือนจูเจียจิงจะเข้ากับจูฉีหยุนไม่ได้จริงๆ”
อันที่จริงอวี้อันก็มีสายตาแหลมคมในการดูคน แต่ถ้าหากเขาเป็นคนที่สกุลจูเลือกแต่เข้ากับจูฉีหยุนไม่ได้จริงๆ เช่นนั้นเขาก็คงเก็บเงียบไว้ ไม่แสดงออกมาเช่นนี้
ดังนั้นตอนนี้จึงมีเพียงข้อสันนิษฐานเดียวที่พอจะอธิบายทุกอย่างได้
“ล้วนแสดงละครทั้งนั้น ไม่เพียงทำให้พวกเราเห็น แต่ยังทำให้คนเหล่านั้นได้เห็นด้วย”
แสดงละคร? มุมปากของหลินเมิ้งหยากระตุกขึ้น พวกเขาแสดงได้แข็งทื่อเสียเหลือเกิน
อย่าว่าแต่คนข้างกายนางที่แสดงละครเก่งจนแทบได้รางวัลออสการ์เลย แม้แต่คนที่ฉลาดน้อยยังแสดงเก่งกว่าพวกเขาอีก
ดูเหมือนว่าจูเจียจิงจะสังเกตเห็นนางแล้ว
เขาพยายามเหลือบมองนางอยู่หลายหน ยิ่งไปกว่านั้นยังส่งสายตาราวกับว่าต้องการให้นางออกไปจัดการจูฉีหยุนเสียเดี๋ยวนี้
เฮ้อ เขาคิดอยากให้นางไปตกหลุมพรางตื้นๆ เช่นนี้น่ะหรือ?
ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าในเมื่ออีกฝ่ายส่งตัวเองมาถึงหน้าประตูแล้ว ไฉนนางจึงไม่รับไว้เล่า?
มุมปากหยักยกขึ้น หลินเมิ้งหยาก้าวไปปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน
ชุดสีขาวราวหิมะ ใบหน้านวลงามเพริศพริ้งดึงดูดสายตาของบุรุษทุกคน
“ถวายพระพรจวิ้นจู่”
พวกขุนนางล้วนลุกขึ้นยืนเพื่อโค้งคำนับหลินเมิ้งหยา
ส่งเสียงตอบกลับโดยมิเสียมารยาทหรือทำให้พวกเขาคิดว่านางหยิ่งยโส
ขุนนางบางคนที่เคยเห็นจ่างกงจู่มาก่อนล้วนมองนางด้วยความตื่นเต้น
องค์หญิงผู้มีใบหน้างดงามล่มเมืองยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของพวกเขา
เดินนวยนาดเข้าไปช้าๆ สายตาทุกคู่หยุดอยู่ที่นาง
พวกเขารู้สึกว่าตนเองได้สบตากับนางแล้ว
จนกระทั่งเดินมาถึงตำแหน่งที่นั่งของสกุลจู ในที่สุดเสียงร้องที่หลินเมิ้งหยาคาดเอาไว้แล้วก็ดังขึ้น
“ฮึ ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม แต่กลับเอาอกเอาใจถึงเพียงนี้!”
คำพูดนี้ไม่เพียงหลินเมิ้งหยา แต่คนบริเวณรอบๆ ล้วนไม่ชอบใจทั้งสิ้น
หันหน้าไปมองท่าทางหยิ่งทะนงของจูฉีหยุน
จูเจียจิงหันไปมองหลินเมิ้งหยาด้วยสายตาอึ้งงัน
“ท่านนี้คือ….”
“ข้าเป็นขุนนางที่อุทิศตนให้แก่ราชสำนัก แม้แต่องค์หญิงองค์ชายยังไม่กล้าทำตัวเป็นนายต่อหน้าข้า แล้วจะนับประสาอะไรกับคนที่ถูกหยิบมาจากข้างทางโดยไม่รู้ที่มาที่ไปเช่นนี้”
จูฉีหยุนส่งเสียงเย็นชา ทว่าวาจาของเขาทำให้คนอื่นๆ เริ่มเดือดดาล
การกลับมาของอันเล่อจวิ้นจู่ได้รับการยอมรับจากฮ่องเต้และเซิ่นจวิ้นอ๋องแล้ว
เหตุใดใต้เท้าจูจึงแสดงท่าทางคัดค้านเช่นนี้เล่า?
หลินเมิ้งหยากลับไม่อนาทรร้อนใจ อวี้อันยกเก้าอี้เข้ามา นางนั่งลงด้วยท่วงท่าสง่างาม แววตาฉายแววสนใจขณะมองหน้าจูฉีหยุน
“ข้าไม่เข้าใจคำพูดของใต้เท้าเลยสักนิด”
แม้จะได้เห็นใบหน้ายิ้มน้อยๆ ไร้ซึ่งความกระวนกระวาย จูฉีหยุนกลับมิได้แสดงท่าทางประหลาดใจ
สายตากวาดมองไปรอบๆ ก่อนมุมปากจะแสยะยิ้มให้กับพวกคนที่พยายามประจบสอพลอนาง
“เจ้าบอกว่าไม่เข้าใจก็ช่างเถิด ทว่าจ่างกงจู่เคยเป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งหอป๋ายเฉา น้อยคนนักที่จะรู้เรื่องนี้ ตอนที่ผู้อาวุโสสูงสุดจากไป สิ่งที่เป็นหลักฐานทั้งหมดล้ วนถูกส่งต่อให้จ่างกงจู่ ในเมื่อจ่างกงจู่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว เช่นนั้นหลักฐานเหล่านั้นย่อมถูกส่งมอบให้คนรุ่นหลัง หากเจ้าเป็นลูกสาวของจ่างกงจู่จริง เช่นนั้นเจ้าจงนำหลักฐานเหล่านั้นอ ออกมาเปิดเผยต่อหน้าทุกคนเถิด”
แม้คำพูดของจูฉีหยุนจะสละสลวย แต่น่าเสียดายที่เขาเผยจุดประสงค์ออกมาเร็วเกินไป
เขามุ่งเน้นมาที่ตำราชิงเจิงผู่ที่ต่อให้ต้องตายนางก็ไม่มีวันเปิดเผยออกมา ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงคิดว่าตำราเล่มนั้นถูกทำลายไปแล้ว
การที่จูฉีหยุนกล่าวเช่นนี้แสดงว่าเขามั่นใจแล้วว่าตำราชิงเจิงผู่ยังอยู่ในมือของนาง
อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็ยิ้มออกมา ใบหน้างดงามเพริศพริ้งยิ่งเปล่งประกายเมื่อเมื่อรอยยิ้มของนางปรากฏบนใบหน้า
เหล่าชายหนุ่มต่างมองตาค้าง แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าภายใต้ใบหน้าเปื้อนยิ้มนี้แฝงความอันตรายเอาไว้
“ใช่หรือไม่นั้น ทุกคนล้วนมีคำตอบเป็นของตัวเองแล้ว ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ใช่ แต่เหตุใดใต้เท้าต้องส่งเสียงกระแทกกระทั้นพูดจาไม่รื่นหูด้วยเล่า? ดูเหมือนฮ่องเต้แห่งเมืองหลินเทียนจะมีพร ระปรีชาสามารถยิ่งนัก มิเช่นนั้นขุนนางชั้นสูงเช่นท่านคงไม่มีเวลามาให้ความสนใจเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้หรอกกระมัง คาดว่าฝนฟ้าของเมืองหลินเทียนคงตกต้องตามฤดูกาล ฉะนั้นขุนนางจึงไม่จ จำเป็นต้องกังวลเรื่องใด”
หลินเมิ้งหยาแย้มยิ้มอ่อนหวานขณะเอ่ย
ในเมื่อจูฉีหยุนไม่เกรงใจ เช่นนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเช่นเดียวกัน
เอื้อนเอ่ยวาจาไม่ระรื่นหูออกไปแล้ว ไม่ว่านางจะใช่อันเล่อจวิ้นจู่หรือไม่ เรื่องนี้ล้วนเป็นเรื่องของคนในราชวงศ์
เรื่องตำแหน่งจวิ้นจู่ของนางไม่เกี่ยวข้องอันใดกับงานใหญ่ในราชสำนัก
แต่การที่จูฉีหยุนหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดจากระทบกระแทกแดกดัน เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนใจแคบยิ่งนัก
“สตรีอย่างเจ้าปากคอเราะรายยิ่งนัก ข้าไม่คิดต่อปากต่อคำกับเจ้า แต่เพราะเจ้าทำร้ายบุตรชายของข้าก่อน ซ้ำยังข่มขู่หลานชายของข้า เจ้าคิดว่าตนเองเป็นจวิ้นจู่แล้วอย่างไรเล่า? หรือเจ จ้าไม่เห็นหัวคนเมืองหลินเทียนแล้ว?”
ในที่สุดการแสดงก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว
หลินเมิ้งหยาแสดงท่าทางเหมือนคนกำลังครุ่นคิด ดวงตากลมโตกะพริบขึ้นลงราวกับไม่เข้าใจว่าจูฉีหยุนกำลังพูดเรื่องอะไร
“ใต้เท้าจู เจ้านายของข้าให้ความเคารพท่านในฐานะขุนนางคนสำคัญของราชสำนักและไม่เคยทำผิดต่อท่านแต่อย่างใด ทว่าใต้เท้าจูกลับพยายามเหยียดหยามจวิ้นจู่ของข้า นี่ท่านไม่กลัวฝ่าบาทจ จะลงโทษท่านอย่างนั้นหรือ?”
อวี้อันออกตัวปกป้อง แม้เขาจะเป็นขันทีที่อายุยังน้อย แต่กลับไม่รู้สึกหวั่นเกรงจูฉีหยุนเลยแม้แต่น้อย
“เป็นเพียงขันที เจ้าบังอาจพูดกับข้าเช่นนี้หรือ!”
จูฉีหยุนแสดงท่าทีโกรธเกรี้ยว เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นขันทีคนสนิทของฮ่องเต้
ในเมื่อบังอาจเอ่ยวาจาเช่นนี้กับเขา…มือเงื้อขึ้นเพราะคิดอยากจะลงมือสั่งสอนอีกฝ่ายดูสักครา แต่อวี้อันกลับขยับเท้าถอยหลังหนึ่งก้าว
มือหนาฟาดได้เพียงอากาศ จูฉีหยุนจึงจ้องอวี้อันด้วยสายตาโกรธจัด
“ค่อยๆ พูดกันก็ได้ เหตุใดต้องลงไม้ลงมือเช่นนี้เล่า ใต้เท้าจู ข้าคิดว่าท่านคงรู้ดีว่าอวี้อันเป็นคนของฮ่องเต้ ใช่ว่าใครที่ไหนจะสามารถด่าทอหรือตบตีคนของฮ่องเต้ได้ หรือใ ใต้เท้าจูคิดว่าตนเองมีฐานะเท่าเทียมกับฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ?”
หลินเมิ้งหยาเอื้อนเอ่ยประโยคแรกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าประโยคสุดท้ายน้ำเสียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
นางผุดลุกขึ้นยืนเคียงข้างอวี้อัน ขณะเดียวกันก็ถลึงตาใส่ใต้เท้าจู
ทั้งที่เป็นเพียงสตรีร่างบอบบาง แต่รัศมีมิได้ด้อยไปกว่าอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
เหตุเพราะนางไม่ยอมถอย ดังนั้นใต้เท้าจูจึงสงบลง
“ข้า…มิกล้า”
ไม่ว่าจูฉีหยุนจะเก่งกล้าสักเพียงไหน แต่ตอนนี้เขาอยู่ท่ามกลางขุนนางในราชสำนัก
เขาบังอาจถึงขั้นคิดจะทำร้ายคนของฮ่องเต้ ซ้ำหลินเมิ้งหยายังแสดงท่าทีแข็งกร้าวเช่นนี้ออกมา ดังนั้นเขาจึงมิอาจทำผิดได้อีกเป็นหนที่สอง
ไม่ว่าอย่างไรสกุลจูก็มิอาจยิ่งใหญ่ไปกว่าฮ่องเต้ได้
หลินเมิ้งหยามองตาแก่ที่ยอมอ่อนข้อลงอย่างไม่เต็มใจ ทว่านางไม่คิดจะปล่อยเขาไปเลยแม้แต่น้อย
“มิกล้า? คนสกุลจูมีอัธยาศัยดีและเป็นกันเองจนเพิกเฉยต่อกฎระเบียบ ตอนอยู่นอกเมืองข้าเห็นกับตาตัวเองว่าคุณชายคนนั้นของท่านริอ่านทำตัวทัดเทียมเซิ่นจวิ้นอ๋องจนถึงขั้นเรียกขาน พระองค์ว่าพี่น้อง ข้าอยากถามใต้เท้าจูสักคำหนึ่ง เซิ่นจวิ้นอ๋องเป็นพระอนุชาของฮ่องเต้ นี่หรือว่าคุณชายของท่านคิดว่าตนเองมีฐานะสูงศักดิ์เทียบเท่าฮ่องเต้กัน?”
ไม่มีใครคาดคิดว่าหลินเมิ้งหยาจะชิงกดดันอีกฝ่ายก่อน
ยิ่งไปกว่านั้นยังนำข้อผิดพลาดของสกุลจูขึ้นมาเอ่ยอ้าง
แน่นอนว่าเรื่องที่พวกหลงเทียนอวี้สั่งสอนคุณชายจูนั้นเป็นเรื่องจริง แต่เรื่องที่คุณชายจูตีตัวเสมอจั่วชิวอวี้เองก็ตกอยู่ในสายตาทุกคนเช่นเดียวกัน
จูฉีหยุนคิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะพลิกสถานการณ์มาแว้งกัดเขาเช่นนี้
คำพูดที่เตรียมมาทั้งหมดมิอาจใช้ได้อีก เขาทำได้เพียงเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็งเท่านั้น
“คือ…เสี่ยวเอ๋อร์เพียงแค่ล้อเซิ่นจวิ้นอ๋องเล่นเท่านั้น เสี่ยวเอ๋อร์เติบโตขึ้นมากับเซิ่นจวิ้นอ๋อง ดังนั้นจึงมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน บางครั้งจึงอาจกระทำการมิบังควรไปบ้าง แต่ …”
“ล้อเล่น? องค์ชายคือโอรสของสวรรค์ หาใช่คนที่พวกเจ้าจะสามารถล้อเล่นได้ ความสัมพันธ์ลึกซึ้ง? โอ้ พวกเจ้าสกุลจูช่างพิเศษยิ่งนัก เพียงเพราะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งสนิทแนบแน่น ดังนั้น นจึงสามารถล้อเล่นกับองค์ชายได้ เพียงแค่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งก็สามารถยุ่มย่ามกับสตรีที่มีสามีแล้วได้ เช่นนั้นหากพรุ่งนี้เจ้ามีความสัมพันธ์สนิทแนบแน่นกับฮ่องเต้ เช่นนั้นเจ้าจะมิข ขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์มังกรหรอกหรือ!”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยต้อนจนจูฉีหยุนไร้โอกาสโต้เถียง
วาจาคมกริบประหนึ่งใบมีดดึงความผิดพลาดของจูฉีหยุนออกมาจนหมดสิ้น
แต่ละคำมิต่างอันใดจากก้อนหินที่ถูกโยนเข้ามากดทับจูฉีหยุนเอาไว้
คราแรกการตายของบุตรชายของเขาเป็นข้อได้เปรียบที่สามารถล้มอีกฝ่ายได้ แต่กลับถูกทำลายจนหมดสิ้นเพราะผู้หญิงตรงหน้า
“แต่บุตรชายของข้าถูกพวกเจ้าตีจนตาย พวกเจ้า…พวกเจ้าต้องคืนชีวิตบุตรชายของข้ามา!”
จูฉีหยุนเอ่ยถึงลูกชายของตนเอง หยาดน้ำตารินไหล มือทั้งสองข้างสั่นเทาราวกับคนหัวใจแตกสลาย
“ตีจนตาย? ใต้เท้าจู บุตรชายของท่านตายตั้งแต่เมื่อไหร่? เหตุใดจึงไม่มีใครในเมืองหลวงเก่ารู้เรื่องนี้เลยเล่า?”