ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 17 บทที่ 498 สกุลจูไล่ต้อน
เหตุที่จูฉีหยุนปิดบังข่าวการตายของบุตรชายเอาไว้ก็เพราะต้องการนำมาสร้างความลำบากให้นางที่นี่
จากนั้นเขาจะทำให้หลินเมิ้งหยาตกเป็นเป้าของทุกคน
แต่เขาคาดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่เขาประกาศข่าวการตายของบุตรชายตนเอง หลินเมิ้งหยาจะรีบตอบโต้เขาเช่นนี้
“บ้านเมืองมีขื่อมีแป ครอบครัวย่อมมีกฎระเบียบของครอบครัว หากองค์ชายทำผิดย่อมต้องได้รับโทษเฉกเช่นเดียวกับเหล่าราษฎร์ หากคนของข้าทำร้ายบุตรของท่านจนตายจริง ข้าไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน ผิดกับใต้เท้า ทั้งที่บุตรชายของท่านตายไปแล้ว แต่ท่านไม่ไปแจ้งทางการ ซ้ำยังปิดข่าวการตายของเขา เรื่องนี้น่าสงสัยยิ่งนัก! หรือนี่เป็นเพราะใต้เท้าจูคิดว่านอกจากตัวท่านแล้วจะไม่มีขุนนางคนใดกล้าเอาผิดท่านได้!”
แต่ละคำล้วนคมกริบประหนึ่งคมมีด
บีบคั้นทีละน้อย ใช้ท่าทีอารมณ์ร้ายปากจัดที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวของสตรีในการกดดันจูฉีหยุนให้หมดหนทางตอบโต้
“บุตรชายของข้าเอ๋ย! บุตรชายที่น่าสงสารของข้า!”
ใต้เท้าจูเล็งเห็นแล้วว่าทิศทางลมไม่เป็นไปตามที่เขาคาด ยิ่งไปกว่านั้นขุนนางของเมืองหลวงเก่าหลายคนยังหันมาจ้องเขาด้วยความสงสัย
นังผู้หญิงคนนี้จิตใจอำมหิตยิ่งนัก ไม่เพียงพลิกสถานการณ์มากดดันเขา แต่ยังจุดไฟให้กับพวกขุนนางให้หันมาโจมตีเขาอีกด้วย
ดังนั้นเขาจึงทำเพียงร่ำไห้คร่ำครวญหาบุตรชายของตน แต่ไม่เอ่ยถึงเรื่องอื่นอีก
“แน่นอนว่าใต้เท้าจูย่อมเจ็บปวดที่ต้องส่งบุตรชายขึ้นสวรรค์ แต่ถึงอย่างไรข้าเห็นว่าควรจัดการฝังศพคุณชายจูให้เรียบร้อยจะดีกว่า ข้าและเหล่าขุนนางจะเดินทางไปจุดธูปเพื่อให้เกียรติคุณชายจูอย่างแน่นอน ส่วนสาเหตุการตายของคุณชายจูคืออะไร ข้าคิดว่าด้วยความสามารถและความชาญฉลาดของใต้เท้าทุกท่านแล้ว อีกไม่นานทุกคนจะได้ล่วงรู้ความจริงอย่างแน่นอน ใต้เท้าจู ข้าเสียใจกับท่านด้วย”
ในเมื่อตาเฒ่าเจ้าเล่ห์เริ่มแสดงละครแล้ว เช่นนั้นหลินเมิ้งหยาจะปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายครองเวทีได้อย่างไร
ดังนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนปลอบประโลมอีกฝ่าย ท่าทางบีบคั้นไล่ต้อนมลายหายไปจนหมดสิ้น
“ฮึ เลิกเสแสร้งแกล้งทำตัวเป็นคนดีได้แล้ว! บุตรชายของข้าตายก็เพราะเจ้า”
ตอนนี้ไม่ว่าใต้เท้าจูจะพูดอะไร เขาก็ไร้หนทางที่จะโยนความผิดให้หลินเมิ้งหยาได้
แม้เขาจะมิอาจทำใจยอมรับ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีก
หลินเมิ้งหยาปัดชุดของตนเองเพราะคิดจะเดินจากไป
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าร่างของใครคนหนึ่งจะเข้ามาขวางทางไว้
“จวิ้นจู่ได้โปรดหยุดฝีเท้าลงก่อน ข้าน้อยขอบังอาจถามหน่อยเถิดว่าหากท่านบริสุทธิ์ใจอย่างที่ท่านว่า เช่นนั้นเหตุใดตอนที่ข้าน้อยขอร้องให้ท่านพูดเรื่องความตายของลูกพี่ลูกน้องของข้า ท่านจึงเอ่ยว่า…ขอให้ข้าปิดเรื่องนี้เอาไว้โดยแลกกับการที่ท่านจะยอมมอบกายมอบใจให้แก่ข้าเล่า?”
น้ำเสียงสั่นเทิ้มอยู่หลายส่วน ทว่ากลับดังพอที่จะทำให้ทุกคนได้ยิน
หลินเมิ้งหยาเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะเห็นเป็นบุรุษที่ก่อนหน้านี้เพิ่งจะคุกเข่าต่อหน้าตนเองพร้อมทั้งตำหนิติเตียนสกุลจูด้วยความเจ็บปวด
ที่แท้ก็เพื่อสิ่งนี้สินะ
ผินหน้าไปอีกที หางตาพลันเหลือบเห็นแววตาลำพองใจของจูฉีหยุน
ทั้งหมดล้วนเป็นแต่เพียงหลุมพรางเท่านั้น
สายตาเผยความกระวนกระวายอยู่หลายส่วน ทว่านางฝืนแสดงท่าทางสุขุมสงบนิ่ง
“เจ้าพูดเรื่องอะไร? ข้าไม่เข้าใจ”
ทุกคนล้วนได้ยินน้ำเสียงเจือความร้อนรนของนาง หากเรื่องดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้น หลินเมิ้งหยาคงไม่มีท่าทีกระวนกระวายเช่นนี้
เหตุการณ์พลิกผันจนน่าตกตะลึง
ขณะเดียวกันพวกคนที่อยู่บริเวณรอบๆ ล้วนพยายามเงี่ยหูเพื่อจะสดับรับฟังคำโต้ตอบเหล่านั้น
“ท่านอา หลานขออภัย จิตใจของสตรีผู้นี้นี้อำมหิตยิ่งนัก พอนางเย้ายวนข้าไม่สำเร็จ นางก็ข่มขู่ข้าว่าหากข้าเปิดโปงเรื่องทั้งหมด นางจะแผดเผาสกุลจูของพวกเราให้กลายเป็นจุณ ลูกพี่ลูกน้องของข้าต้องตายอย่างไม่เป็นธรรม หลานคนนี้มิอาจทำให้ท่านต้องลำบากไปด้วยได้”
จูเจียจิงหลั่งน้ำตา เขาคุกเข่าลงต่อหน้าผู้เป็นอา
“เพราะเหตุนี้….เพราะเหตุนี้เจ้าจึงเอ่ยว่าจวิ้นจู่ยั่วยวนเจ้าให้หลงกล แต่ไม่ว่าข้าจะถามอะไรเจ้าก็ไม่ยอมบอก ที่แท้…ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!”
ตาเฒ่าเจ้าน้ำตาเมื่อครู่ยิ่งส่งเสียงร้องไห้หนักขึ้นด้วยท่าทางเจ็บปวดรวดร้าว
หลินเมิ้งหยาอดที่จะสำรอกในใจเสียไม่ได้ เหตุใดบุรุษสกุลจูจึงชอบร้องไห้กันนักนะ
โดยเฉพาะเจ้าจูเจียจิงนั่น เพียงนึกอยากจะร้องไห้ก็ร้องออกมาราวกับเปิดก๊อกน้ำ
ไหนเล่าคำกล่าวที่ว่าลูกผู้ชายไม่ยอมเสียน้ำตาง่ายๆ?
ผู้ชายอ่อนปวกเปียกเช่นนี้ยังสู้เสี่ยวป๋ายกับเสือน้อยของนางไม่ได้เลย
“เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอันใดกัน? ข้าไปยั่วยวนเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ เจ้าอย่าได้บังอาจใส่ร้ายป้ายสีผู้บริสุทธิ์!”
ไม่ว่าจะฟังอย่างไร คำปฏิเสธของหลินเมิ้งหยาก็เหมือนคนกำลังร้อนตัว
ทุกคนในที่นี้ล้วนเห็นสายตากระวนกระวายของนางอย่างชัดเจน
ขณะเดียวกันพวกเขาก็เริ่มเกิดความสงสัยในตัวอันเล่อจวิ้นจู่ผู้ลึกลับคนนี้
สองอาหลานสกุลจูมั่นใจแล้วว่าน้ำตาของพวกตนสามารถกำจัดนางได้!
“คิดจะปฏิเสธตอนนี้ จวิ้นจู่ไม่อายภูตผีบ้างหรือ? เมื่อครู่ตอนที่ท่านมอบผ้าเช็ดหน้าให้แก่ข้าด้วยท่าทีไร้ยางอาย ใจข้ามิอยากรับ แต่สีหน้าของท่านเปลี่ยนไปทันที ซ้ำยังข่มขู่ข้าสารพัด หรือจวิ้นจู่จะทำเป็นว่าเรื่องทั้งหมดนั้นไม่เคยเกิดขึ้น?”
จูเจียจิงเค้นเสียงระบายโทสะ จากนั้นหยิบผ้าเช็ดหน้าปักดิ้นเงินสีขาวราวหิมะออกมา
เส้นไหมอ่อนนุ่มพลิ้วไหว ยิ่งไปกว่านั้นขั้นตอนการทอยังสลับซับซ้อน ดังนั้นราษฎร์เมืองหลินเทียนจึงยากที่จะมีได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเส้นไหมชนิดนี้เป็นเส้นไหมชนิดเดียวกันกับชุดทางการของหลินเมิ้งหยา
แม้แต่หลินเมิ้งหยาเองก็รู้สึกประหลาดใจ ครู่ต่อมานางจึงยกมือขึ้นจับแขนเสื้อของตน ก่อนจะพบว่าผ้าเช็ดหน้าเข้าชุดกันกับชุดทางการหายไปแล้ว
ทว่ามันกลับอยู่ในมือของจูเจียจิง อยู่ๆ นางก็นึกขึ้นมาได้ว่าเหตุที่จูเจียจิงคุกเข่าไม่ยอมลุกไปไหนก็เพราะต้องการดึงดูดความสนใจเพื่อให้นางเข้าใกล้
ที่แท้ก็เพื่อหาจังหวะขโมยผ้าเช็ดหน้าของนางนี่เอง
อาหลานสกุลจูเจ้าแผนการยิ่งนัก
“อันเล่อจวิ้นจู่ ในเมื่อผ้าเช็ดหน้าอยู่ที่นี่แล้ว เกรงว่าเจ้าคงดิ้นไม่หลุดอีกต่อไป! แม้เจ้าจะไม่ใช่องค์หญิงและเป็นเพียงสามัญชน แต่เรื่องเช่นนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้า ยิ่งไปกว่านั้นบิดาของเจ้าเป็นถึงเจิ้นหนานโหว การกระทำของเจ้าสร้างความอับอายให้เขายิ่งนัก เข้ามา จงจับนังผู้หญิงต่ำช้าคนนี้ไป อย่าให้นางเข้ามาทำให้หอป๋ายเฉาต้องแปดเปื้อน!”
จูฉีหยุนเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา คำพูดของเขาราวกับกำลังเตือนสติของทุกคน
หลินเมิ้งหยาหาใช่คนธรรมดา แต่นางเป็นลูกสาวของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้า
ดังนั้นคนที่เคยสนับสนุนนางอยู่เมื่อครู่จึงขยับตัวออกห่างเล็กน้อย
แผนการล้ำลึกยิ่งนัก ฮึ ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์!
“ช้าก่อน ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าเป็นบุตรสาวของเจิ้นหนานโหว เช่นนั้นเจ้าก็คงจะรู้ว่าข้ามีอีกฐานะคือชายาอวี้ แม้ข้าจะมิใช่อันเล่อจวิ้นจู่ แต่ถึงกระนั้นข้าก็ควรได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นเดียวกับแขกของแคว้น หากพวกเจ้าแตะต้องข้า นั่นเท่ากับว่าพวกเจ้ากำลังสร้างความร้าวฉานระหว่างสองดินแดน จากนั้นสงครามคงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ข้าขอถามหน่อยว่าใต้เท้าจูสามารถแบกรับความทุกข์ยากของประชาราษฎร์ได้หรือไม่?”
คิดจะใช้ฐานะของนางมาบีบคั้นมิใช่หรือ? เช่นนั้นมาดูกันเถิดว่าใครจะแน่กว่ากัน
ทั่วทั้งใต้หล้าต่างรู้ว่าบิดาของนางเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม
นางมีฐานะเป็นบุตรสาวของหลินมู่จือและชายาเอกขององค์ชายแห่งต้าจิ้น
หากมีคนบังอาจจับนางขังเพราะเรื่องส่วนตัว เช่นนั้นสงครามระหว่างดินแดนคงเกิดขึ้นเป็นแน่
ทว่าวิธีนี้ของหลินเมิ้งหยาหาใช่วิธีอันชาญฉลาด
เหตุเพราะการนำสงครามมาข่มขู่ขุนนาง เช่นนั้นปฏิกิริยาตอบสนองยิ่งรุนแรง
ผลปรากฏว่าเริ่มมีคนรีบเอ่ยโน้มน้าวใต้เท้าจูแล้ว
ตอนนี้หลินเมิ้งหยามิต่างอันใดจากมันฝรั่งร้อนในเตา ทุกคนล้วนอยากหาประโยชน์จากนาง แต่กลับไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้ามา
กวาดตามอง หลินเมิ้งหยามิได้รู้สึกผิดหวัง
ไม่ว่าอย่างไร ยิ่งนางมีความสัมพันธ์กับเมืองหลินเทียนน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อตัวนางเอง
ต้าจิ้นต่างหากที่เป็นบ้านของนาง ไม่ว่าเมืองหลินเทียนจะดีต่อนางมากสักเพียงไหน แต่สุดท้ายนางก็ต้องกลับไปยังต้าจิ้นเพื่อดำรงตำแหน่งชายาอวี้ต่อไป
“ฮึ ข้าจะปล่อยเจ้าไปชั่วคราว แต่พวกเราเมืองหลินเทียนล้วนให้ความสำคัญกับเรื่องมารยาท หากชายาอวี้มิได้รับเชิญ เช่นนั้นก็มิควรเข้ามาย่างกรายในหอป๋ายเฉา!”
ใต้เท้าจูพ่นลมหายใจออกจากจมูกดังพรืด คำพูดของเขาแสดงให้เห็นว่าหลินเมิ้งหยาเป็นคนนอก
แต่เพราะฐานะของนางค่อนข้างพิเศษ ดังนั้นจึงมิอาจเสียมารยาทกับนางได้เสียทีเดียว
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะแสยะยิ้มเย็น ท่าทางไม่ทุกข์ร้อน ราวกับคำพูดเหล่านั้นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปแล้ว
“จวิ้นจู่ จวิ้นจู่ ผ้าเช็ดหน้าของพระองค์อยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
ใครจะคิดเล่าว่าอวี้อันที่หายตัวไปขณะที่สถานการณ์กำลังคับขันจะปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนในเวลานี้
ในมือถือผ้าเช็ดหน้าที่มีลักษณะเหมือนกันกับผ้าเช็ดหน้าในมือของจูเจียจิงไม่มีผิดเพี้ยน
“โอ้? ที่แท้ก็อยู่ที่นี่นี่เอง ดูข้าเถิด ลืมไปเสียได้”
ท่ามกลางความอึ้งงันของทุกคน หลินเมิ้งหยารับผ้าเช็ดหน้าจากมือของอวี้อัน
ครู่ต่อมาอย่าว่าแต่พวกขุนนางเลย แม้แต่จูเจียจิงและจูฉีหยุนเองก็ตกตะลึงราวกับคนโง่
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เหตุใดจึงมีผ้าเช็ดหน้าอีกผืนได้เล่า?
“หนู่ฉายผิดเองพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่มัวแต่ยุ่งอยู่กับการเทน้ำให้ท่าน ดังนั้นจึงลืมเตือนพระองค์ว่าผ้าเช็ดหน้ายังวางอยู่บนโต๊ะ”
อวี้อันแสร้งทำท่าทางไม่รู้เรื่อง อีกทั้งยังเอ่ยด้วยความรู้สึกผิด
หลินเมิ้งหยาสะบัดผ้าเช็ดหน้า ก่อนจะเอ่ยเบาๆ
“ไม่เป็นไร ก็แค่ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งเท่านั้น จริงสิ เจ้าบอกว่าเจ้าเจอผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ที่ไหนนะ?”
อวี้อันรีบตอบทันใด
“หนู่ฉายเจอผ้าผืนนี้ที่สถานที่รับชมชั้นสองพ่ะย่ะค่ะ อากาศร้อน พระองค์ก็เลยใช้ผ้าเช็ดเหงื่อที่ไหลซึม แต่ตอนที่พระองค์เดินออกมา พระองค์ลืมไว้บนโต๊ะน้ำชาที่ชั้นสอง จริงสิ เมื่อครู่มีใต้เท้าหลายท่านไปถวายพระพรจวิ้นอ๋อง จวิ้นอ๋องยังเอ่ยล้อเลียนเลยว่าพระองค์วางของไม่เป็นที่”
คำพูดของอวี้อันทำให้เหตุการณ์ตรงหน้าสงบลง
หลินเมิ้งหยาแสร้งแสดงท่าทีไร้เดียงสา จากนั้นจึงหันไปมองจูเจียจิงและจูฉีหยุน
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าจำได้แล้วว่าอวี้อันตามรับใช้ข้าไม่ห่างตั้งแต่เดินออกจากเวทีรับชมบนชั้นสอง เช่นนั้นทุกคนลองถามดูสักหน่อยเถิดว่าผ้าเช็ดหน้าผืนใดกันแน่ที่เป็นของข้า?”