ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 17 บทที่ 499 ชื่อเสียงเสื่อมเสีย
เรื่องน่าขำขันพลันเกิดขึ้น หลินเมิ้งหยาถือผ้าเช็ดหน้าที่มีลักษณะไม่แตกต่างจากผ้าเช็ดหน้าในมือจูเจียจิงเลยแม้แต่น้อย
อีกฝ่ายจ้องผ้าเช็ดหน้าในมือของนางเขม็ง ราวกับมองสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้
หลินเมิ้งหยาโบกผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไปมา สายตาของทุกคนขยับมองตาม
ทุกคนล้วนเป็นเสาหลักของเมืองหลินเทียน ทว่าตอนนี้กลับถูกผ้าเช็ดหน้าของสตรีทำให้สับสนงุนงง
“ใต้เท้าจู ในเมื่ออวี้อันหาผ้าเช็ดหน้าของข้าเจอแล้ว เช่นนั้นหลานชายของท่านก็เก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเอาไว้เถิด แต่ว่า…ของชิ้นนี้ล้วนเป็นของที่เหล่าสตรีใช้ เกรงว่าบุรุษ ตัวโตเก็บเอาไว้คงจะไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่”
แต่ละคำที่เอื้อนเอ่ยทิ่มแทงใจของจูฉีหยุนจนเกือบจะกระอักเป็นเลือดอยู่รอมร่อ
นี่เป็นความเหนือชั้นของนางอย่างหนึ่ง นางไม่คิดเข้าไปโต้เถียงว่าของตรงหน้าเป็นของจริงหรือของปลอม
เหตุเพราะทุกคนที่นี่ล้วนมีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว
เหตุที่หลินเมิ้งหยาไม่ชี้แจง หนึ่งก็เพราะนางอยากให้เรื่องนี้สงบไปเอง ส่วนเหตุผลที่สองก็เพราะนางต้องการทำลายชื่อเสียงของจูเจียจิงให้ป่นปี้
“จวิ้นจู่ ผ้าเช็ดหน้าของข้าเป็น….”
จูเจียจิงเริ่มร้อนใจขึ้นมาบ้างแล้ว เขาโบกผ้าเช็ดหน้าเพื่อต้องการแสดงความบริสุทธิ์
“หัวใจคนเราเป็นอิสระ กระดาษย่อมไม่อาจห่อไฟ [1] คุณชายจู ที่นี่มีคนมากมาย ข้าเองก็อดที่จะชี้แนะเจ้าสักสองสามคำไม่ได้”
สาดน้ำมันราดน้ำส้มสายชู [2] หลินเมิ้งหยาหว่านล้อมชายหนุ่มที่ยังไม่ประสีประสาตรงหน้า
ตอนนี้นางรู้แผนการของจูฉีหยุนแล้ว
เขาก็แค่อยากทำให้นางกลายเป็นผู้หญิงต่ำช้านอกใจสามีมิใช่หรือ?
บางทีชื่อเสียงเสื่อมเสียเหล่านั้นอาจหมายถึงชีวิตของหญิงสาวคนอื่น
แต่สำหรับนางแล้ว นางไม่มีวันยอมปล่อยให้ชีวิตของตนเองต้องถูกทำลายเพราะถ้อยคำของคนอื่น
“ข้าออกมานานแล้ว เกรงว่าเซิ่นจวิ้นอ๋องอาจจะตำหนิเอาได้ ข้าขอลาทุกท่านตรงนี้เลยก็แล้วกัน”
พูดจบ หลินเมิ้งหยาก็เดินกลับออกไป
มองตามนางที่ไร้ซึ่งท่าทีกระวนกระวาย หัวใจของพวกเขาเริ่มปรากฏสมมติฐานของตนเอง
หลินเมิ้งหยาไม่กังวลเลยแม้แต่น้อยว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป นางมิจำเป็นต้องกังวล
โดนกล่าวหาซุบซินนินทาแล้วอย่างไรเล่า?
มุมปากหยักยิ้มน้อยๆ หลินเมิ้งหยาขยับเท้าเดินนวยนาดพร้อมทั้งพยักหน้าเบาๆ ท่าทางราวกับกำลังสำรวจกองทหารเกียรติยศอย่างไรอย่างนั้น
การติฉินนินทาของพวกบุรุษมิช้าไปกว่าเหล่าสตรีเลยแม้แต่กระผีกเดียว
ขณะเดียวกัน ภายในใจของทุกคนล้วนมีภาพลักษณ์ของอันเล่อจวิ้นจู่แตกต่างกันออกไป
ทว่าหลินเมิ้งหยาไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
เดินลับหายไปท่ามกลางสายตาที่กำลังจับจ้อง
“จวิ้นจู่ของข้า เหตุใดท่านจึงไม่กังวลใจเลยแม้แต่น้อยเล่า?”
อวี้อันยกมือขึ้นปาดเหงื่อ หากมิใช่เพราะหางตาของเขาเหลือบไปเห็นผ้าเช็ดหน้าในวงแขนของจูเจียจิง ดังนั้นจึงรีบนำผ้าเช็ดหน้าที่เคยเตรียมเอาไว้ให้นางนานแล้วออกมาได้ทันท่วงทีแล ล้วล่ะก็ เกรงว่าวันนี้ชื่อเสียงของจวิ้นจู่คงถูกพวกคนเหล่านั้นทำลายจนย่อยยับ
“ข้าต้องกังวลเรื่องใดกันเล่า? จะว่าไปก็เป็นแค่เรื่องชู้สาวแต่เพียงเท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้นข้าก็แค่สะบัดก้นหนีหายไปก็พอแล้ว ถึงอย่างไรชื่อเสียงของข้าก็ถูกเล่าขานอยู่ในย ยุทธภพอยู่แล้ว”
หลินเมิ้งหยาหยักยิ้มมีเลศนัย ราวกับว่าแม้อวี้อันจะไม่นำผ้าเช็ดหน้าออกมา นางก็มีวิธีเอาตัวรอด
เพียงเดินกลับไปถึงเวทีรับชมบนชั้นสอง เสียงของจั่วชิวอวี้ก็ลอยมา
“เจ้านี่หนา เหตุใดจึงไม่ยอมอยู่เฉยๆ เลยเล่า”
เดินผ่านประตู จั่วชิวอวี้หันมามองน้องสาวตนเองด้วยสีหน้าทำอะไรไม่ถูก
แม้เขาจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่เขาก็ได้ยินว่าหลินเมิ้งหยาเข้าไปเย้ายวนผู้อื่นจากปากของบ่าวไพร่
เขาส่ายหน้า จั่วชิวอวี้รู้ดีอยู่แล้วว่านางไม่เคยสนใจคนเหล่านั้น
แต่นี่เป็นแผนทำลายสกุลจูต่างหาก
แม้นางจะถูกกล่าวหาว่ามีสามีเป็นร้อยเป็นพันคน แต่นางก็ยังมีท่าทีสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง
หัวใจลึกลับซับซ้อนไม่เหมือนคนธรรมดา!
“ข้าต้องกังวลเรื่องใดกันเล่า ถึงอย่างไรข้าก็มีพยาน แม้อวี้อันจะไม่นำผ้าเช็ดหน้าออกมา แต่ถึงกระนั้นก็ต้องมีคนนั่งไม่ติดที่อย่างแน่นอน”
หลินเมิ้งหยากลับไปนั่งที่เดิม ทว่าคำพูดของนางกลับสร้างความประหลาดใจให้คนที่เหลือ
ยกชาบนโต๊ะขึ้นจิบเพื่อดับกระหาย ใบหน้าแย้มยิ้มอ่อนหวาน
“อะไรนะ? พยาน? จวิ้นจู่ แม้หนู่ฉายจะเห็นทุกอย่าง แต่หากพูดออกไปก็อาจจะมิเป็นการดีต่อท่าน”
แม้อวี้อันจะเห็นทุกอย่าง แต่เขาเป็นคนของฮ่องเต้
เหตุเพราะหลินเมิ้งหยาได้รับการยอมรับจากฮ่องเต้ ดังนั้นคนของฝ่าบาทย่อมต้องพูดเข้าข้างหลินเมิ้งหยา
“นางมิได้หมายถึงเจ้า เปี่ยวเม่ย เหตุใดเจ้าจึงมั่นใจนักว่าเขาจะช่วยเจ้า?”
จั่วชิวอวี้เองก็กลับมานั่งที่ของตนเอง ความกังวลในแววตาถูกแทนที่ด้วยความสงสัย
“ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไรเล่า? เขาช่วยเหลือกระทั่งยาสมุนไพรที่ไร้ชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นข้าผู้มีใบหน้างดงามดั่งบุปผากำลังถูกบุรุษตัวโตเหล่านั้นรังแก ขอเพียงเป็นคนที่มีความยุติธรร รมในหัวใจ เขาย่อมต้องเสนอตัวช่วยเหลือข้าอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจูเจียจิงนั่นก็จะกลายเป็นพวกคนสองหน้าดาบสามคมที่ต้องการใส่ร้ายข้า”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยเสียงเนิบนาบ ทั้งความหวาดกลัว ทั้งท่าท่างร้อนใจล้วนเป็นการแสดงของนางทั้งสิ้น
จุดประสงค์ก็เพื่อกระตุ้นความเห็นใจของผู้อื่น
คิดไม่ถึงเลยว่านางจะแสดงดีจนเกินไป แต่ทว่ากลับถูกคนหวังดีอย่างอวี้อันแก้ไขสถานการณ์ให้นางเสียก่อน
ดังนั้นนางจึงต้องพายเรือตามน้ำและปล่อยให้คนเหล่านั้นคิดหาคำตอบกันเอาเอง
“เช่นนั้นแสดงว่าหนู่ฉายทำเสียเรื่องไปแล้ว จวิ้นจู่ หนู่ฉายผิดเองพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ได้โปรดลงโทษด้วย”
ก้มหน้าลง อวี้อันเอ่ยด้วยความรู้สึกผิด
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับไม่โกรธเขา แล้วยังส่งยิ้มตาหยี
“เจ้าเองก็มีความดีความชอบอยู่ไม่น้อย แม้คราวนี้ชื่อเสียงของข้าจะเสียหาย แต่คนที่โชคร้ายจริงๆ คือจูเจียจิงคนนั้นต่างหาก”
อวี้อันเงยหน้าขึ้นพร้อมทั้งส่งสายตาฉงนไปทางจวิ้นจู่
หลินเมิ้งหยาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะอธิบาย
“จูเจียจิงเป็นชายหนุ่มรูปงาม คราวนี้สกุลจูตั้งใจส่งเขาเข้าไปเป็นผู้อาวุโสสูงสุดแห่งหอป๋ายเฉา แต่เจ้าลองตรองดูเถิด เรื่องที่เกิดขึ้นในคราวนี้จะต้องอยู่ในความทรงจำของทุกคนอีก กนาน ยิ่งไปกว่านั้นหากมีคนพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ดีไม่ดีคงถูกใส่สีตีไข่เพิ่มอีกหลายคำ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าคิดหรือว่าจูเจียจิงจะยังมีโอกาสเป็นผู้อาวุโสสูงสุดแห่งหอป๋ายเฉา? แ แม้ว่าเขาจะเข้ารอบ แต่เขาจะได้รับตำแหน่งนั้นจริงๆ หรือ?”
อวี้อันอึ้งงันพูดไม่ออก ที่แท้เหตุที่จวิ้นจู่ยอมปล่อยให้ชื่อเสียงของตนเองเสื่อมเสียก็เพราะต้องการทำลายจูเจียจิงให้สิ้นซาก
ใช่แล้ว แม้มองผิวเผินอาจจะไม่กระทบต่อสิ่งใด แต่หลังจากนี้หากจูเจียจิงคิดจะครอบครองตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดก็คงไร้โอกาสแล้ว
แม้แผนการใช้มีดบิ่นเฉือนเนื้อของจวิ้นจู่ในคราวนี้จะเชื่องช้า ทว่ากลับให้คนเจ็บปวดจนตาย
“เปี่ยวเม่ย เจ้าอำมหิตถึงเพียงนี้ เจ้าไม่กลัวน้องเขยจะหนีไปกระนั้นหรือ?”
จั่วชิวอวี้มีท่าทางเหมือนคนไม่คิดอะไรมาก เขาหยิบยกเรื่องนี้มาล้อเลียนหลินเมิ้งหยา
“ข้าโหดเหี้ยมอำมหิตถึงเพียงนี้แล้ว เขายังจะกล้าหนีข้าไปอีกหรือ?”
เลิกคิ้วขึ้นสูง หลินเมิ้งหยาเอ่ยตอบเสียงเรียบ
ขณะเดียวกัน ชายทั้งสองที่อยู่ในห้องต่างรู้สึกว่าแผ่นหลังของตนเองเย็นวาบ
ต่อไปนี้พวกเขาห้ามทำให้นางต้องรู้สึกขุ่นเคืองใจเป็นอันขาด!
การแข่งขันยังคงดำเนินต่อไป ทว่าดวงตาคู่หนึ่งกลับเหลือบขึ้นมองยังตำแหน่งเวทีผู้รับชมด้วยความลังเล
โหวหลิงอวี้รู้สึกกระสับกระส่าย เช็ดมือทั้งสองข้าง เขามีท่าทางเหม่อลอยแม้คนป่วยจะอยู่ตรงหน้า
เมื่อครู่เขาออกไปเข้าห้องน้ำ
ระหว่างทางกลับเขาบังเอิญเหลือบเห็นจูเจียจิงและอันเล่อจวิ้นจู่เข้า
หลบอยู่ที่มุมหนึ่ง มิใช่เพราะต้องการแอบฟัง แต่เพราะไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว
แต่ใครจะคิดเล่าว่าจูเจียจิงจะไร้ยางอายเช่นนี้
อันเล่อจวิ้นจู่เป็นหญิงสาวใสซื่อดุจหยก แต่กลับต้องตกที่นั่งลำบากเพราะชายคนนั้น
ส่วนเขาก็พลาดโอกาสเข้าช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้แก่อันเล่อจวิ้นจู่เพราะความลังเลของตนเอง
ดังนั้นตอนนี้เขาจึงรู้สึกผิดยิ่งนัก
ทว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่สกุลโหวจะได้กลับเข้ามาในหอป๋ายเฉา
เขายังจำภาพบิดาที่นอนตายตาไม่หลับได้
ตลอดหลายปีมานี้เขาแบกความหวังของตระกูลเอาไว้บนบ่า เขาไม่อยาก…และไม่มีทางทำให้วงศ์ตระกูลต้องผิดหวัง
ทว่า…..
ท่านพ่อเคยสอนเขาตั้งแต่เด็กว่าหากเจอคนทำชั่วแล้วไม่ห้าม เช่นนั้นก็มิต่างอันใดจากการช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญ
เหตุเพราะจิตใจใสซื่อบริสุทธิ์ ดังนั้นการต่อสู้ของความดีชั่วจึงเกิดขึ้นในใจ
การแข่งขันจึงถูกลืมไปชั่วขณะ เขาไม่อาจตั้งสมาธิอยู่กับการแข่งขันได้อีกแล้ว
ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง โหวหลิงอวี้ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทว่าใบหน้าเผยความมุ่งมั่น
แม้จะถูกไล่ตะเพิดออกไป แต่เขาก็จะเปิดเผยความจริงทั้งหมด
หลังจากตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวแล้ว โหวหลิงอวี้รู้สึกผ่อนคลายกว่าเดิมมาก ทว่าขณะที่เขาคิดจะเปิดเผยความจริง มือเล็กข้างหนึ่งกลับดึงแขนของเขาเอาไว้
“พี่ชายท่านนี้มาช่วยรักษาข้าดีหรือไม่?”
เด็กหญิงดวงตาดำขลับเปล่งประกายเข้ามาจับตัวเขาไว้ โหวหลิงอวี้มองนางด้วยแววตาขมขื่น
คุกเข่าลงลูบศีรษะเด็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างใจเย็น
“พี่ชายยังมีเรื่องให้ต้องทำ เจ้าไปขอให้พี่ชายคนอื่นช่วยแทนดีหรือไม่?”
เด็กน้อยผมทรงซาลาเปาสองข้างส่ายหน้า ก่อนจะดึงหูของโหวหลิงอวี้ลงมาแล้วเอ่ยกระซิบ
“อะไรนะ? เจ้า!”
โหวหลิงอวี้มองนางด้วยสายตาตกตะลึง ทว่าอีกฝ่ายกลับส่งสายตาน่ารักน่าชังมองกลับมา
ครู่ต่อมาเขาจึงคว้าแขนของนางเอาไว้ จากนั้นจึงกวาดสายตาพิจารณาเด็กน้อยตรงหน้า
ที่แท้….ที่แท้ก็……
“พี่ชายตั้งสมาธิอยู่กับการแข่งขันเถิด เกรงว่าอาการป่วยของข้าจะมีเพียงท่านที่สามารถรักษาให้หายได้”
ใบหน้าใสซื่อของนางส่งความรู้สึกคุ้นเคย
ทว่านอกจากโหวหลิงอวี้แล้ว ไม่มีผู้ใดเห็นอีก
ราวกับโหวหลิงอวี้ถูกทำให้ตื่นตระหนกเข้าให้แล้ว ทว่าเขาสามารถปรับอารมณ์ของตนเองได้อย่างรวดเร็ว
สายตาหันกลับไปมองตำแหน่งผู้รับชมอีกครั้งด้วยความสับสน
ความมีคุณธรรมของเขาต้องตาพวกเขาทั้งสองกระนั้นหรือ?
เช่นนั้นเขาจะต้องชนะการแข่งขันในคราวนี้ให้ได้!
——————-
หมายเหตุ
[1] หัวใจคนเราเป็นอิสระ กระดาษย่อมไม่อาจห่อไฟ หมายถึง ความจริงไม่อาจปิดเอาไว้ได้ , ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวปิดไม่มิด
[2] สาดน้ำมันราดน้ำส้มสายชู หมายถึง การพูดเกินจริง