ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 17 บทที่ 502 หญิงใกล้คลอดที่น่าสงสัย
“จวิ้นจู่ ร่างกายของพระองค์อ่อนแอ กินอะไรสักหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ หากพระองค์เป็นอะไรขึ้นมา ท่านอ๋องจะต้องเสียพระทัยเป็นอย่างมากแน่นอน”
ขนมส่งกลิ่นหอมหวานชวนน้ำลายสอถูกยื่นเข้ามาเบื้องหน้าหลินเมิ้งหยา
แม้กระเพาะจะว่างเปล่าอยู่นานแล้ว แต่นางหยิบขนมมาเพียงชิ้นเดียวแล้วส่งขนมคืนอวี้อัน
“เจ้าเองก็ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันแล้ว น่าจะหิวมากแล้วเช่นกัน รีบกินเถิด”
สายตาของหลินเมิ้งหยาหันกลับไปมองรถม้าของขบวนการค้าอีกครั้ง
นางกลัวว่านางจะพลาดโอกาสช่วยเหลือหลงเทียนอวี้ ตอนนี้นางทำได้เพียงภาวนาขอให้ตนเองมิได้มาช้าจนเกินไป
แต่นางรู้ดีที่สุด หากต้องการออกไปได้อย่างปลอดภัย เช่นนั้นคนธรรมดามักอาศัยช่วงเวลาโพล้เพล้เช่นนี้เพื่อหลบออกจากเมือง
ทว่าดวงตะวันเคลื่อนคล้อยไปทางทิศตะวันตกจนใกล้จะลับขอบฟ้าเต็มที อีกเพียงครึ่งชั่วโมงประตูเมืองก็จะปิดลง แต่ทว่านางยังไม่เห็นความผิดปกติอันใด
หรือนางจะประมาทเผลอเรอ ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับอนุญาตให้ออกจากประตูเมืองไปแล้ว?
ไตร่ตรองอีกหนหนึ่ง ไม่มีทาง
อย่าว่าแต่การซ่อนคนในรถม้าเลย ต่อให้จะขนถังน้ำออกจากเมืองก็ต้องถูกตรวจตราอย่างละเอียด
ในเมื่อมีการตรวจอย่างเข้มงวดเช่นนี้ แม้แต่หมาแมวเองก็ยังไม่อาจเล็ดรอดสายตาของนางไปได้
หรือนางจะเดาผิด? หรือคนพวกนั้นออกไปตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนแล้ว? หรือว่าพวกเขาจะเตรียมออกไปช้ากว่านี้?
ทว่ามีหนึ่งสิ่งที่หลินเมิ้งหยามั่นใจ
หากคิดจะหาประโยชน์จากหลงเทียนอวี้ เช่นนั้นพวกเขาต้องปล่อยให้หลงเทียนอวี้ยังมีชีวิตอยู่
ถึงแม้นางจะมีความเฉลียวฉลาดสักเพียงไหน ทว่าความจริงตรงหน้าทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกเหมือนกำลังถูกโจมตี
ถ้าหาก.……
หัวใจบีบรัดเข้าหากันแน่น ถ้าหากหลงเทียนอวี้ถูกพาตัวไปนอกเมืองแล้ว เกรงว่าสิ่งที่ตามมาจะต้องน่ากลัวจนยากเกินจะรับไหว
“ใต้เท้า ประตูเมืองกำลังจะปิดแล้ว ไม่รู้ว่าใต้เท้ายังมีคำสั่งใดอีกหรือไม่?”
เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมืองรู้สึกลำบากใจอยู่หลายส่วน เขาถูมือเบาๆ ขณะเอ่ยกับอวี้อัน
“ใต้เท้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจถึงเพียงนี้ ข้าขอไปถามเจ้านายของข้าสักประเดี๋ยวหนึ่ง”
อวี้อันเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่นมีมารยาท
กิริยามารยาทเช่นนี้เป็นสิ่งที่จั่วชิวเฉินสั่งสอนเอาไว้เป็นอย่างดี เหล่าบ่าวรับใช้ประจำตัวเจ้านายย่อมมีอุปนิสัยใจคอไม่ต่างไปจากเจ้านายของตนเอง
แม้หลินเมิ้งหยาจะมิได้แสดงตัวออกมา แต่คนที่สามารถนำจดหมายเชิญประจำตัวของเซิ่นจวิ้นอ๋องมายื่นได้ย่อมต้องมีฐานะสูงศักดิ์
เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมืองรู้แจ้งได้ในทันทีว่าคนผู้นี้คืออันเล่อจวิ้นจู่ไม่ผิดแน่
แม้เขาจะเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ตัวเล็กๆ แต่ถึงกระนั้นก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมาโชกโชน ไม่ว่านางจะใช่จวิ้นจู่ตัวจริงหรือไม่ แต่ในเมื่อได้รับการยอมรับจากฝ่าบาทและเซิ่นจวิ้นอ๋องแล้ว เช ช่นนั้นเขาย่อมต้องปฏิบัติต่อนางด้วยความเคารพ
“เจ้าจงไปบอกเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูให้ปิดประตูเมืองตามเวลาปกติ นี่เป็นเรื่องใหญ่ เราไม่อาจทำให้พวกเขาต้องบกพร่องในหน้าที่ได้”
หลินเมิ้งหยาได้ยินคำพูดของเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูอยู่นานแล้ว ดังนั้นจึงเอ่ยกำชับ
ในเมื่อเขาไว้หน้านางถึงเพียงนี้แล้ว นางก็ไม่ควรเอาแต่ใจเกินไป
สั่งให้อวี้อันนำเงินจำนวนหนึ่งไปมอบให้เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูโดยกล่าวว่าต้องการเลี้ยงอาหารแก่พวกเขา
แม้จะยุ่งกันตลอดทั้งวัน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เสียแรงเปล่า
นวดหว่างคิ้ว นางจ้องคนผ่านทางราวครึ่งวันแล้ว จั่วชิวอวี้ส่งคนมาแจ้งข่าวว่าเขาต้องไปเข้าร่วมงานเลี้ยงตอนกลางคืน เกรงว่ากว่าจะกลับได้ก็คงค่ำ
โชคดีที่มีหลิวซวนตามไปด้วย คาดว่าคงไม่เกิดเรื่องวุ่นวายอันใด
แม้คนเหล่านั้นคิดจะวางกับดักสร้างปัญหาให้จั่วชิวอวี้ แต่หลิวซวนจะต้องมองออกอย่างแน่นอน
ผิดกับนางที่ไม่ได้อะไรกลับไปในวันนี้
ดวงตาของหลินเมิ้งหยารู้สึกอ่อนล้าเต็มที ยกมือขึ้นนวดคลึงเบาๆ
ตอนนี้คนที่ต้องการเดินทางเข้าออกประตูเมืองต่างเร่งรีบเพื่อไปให้ทันเวลา
ความผิดหวังฉายชัดในแววตา หลินเมิ้งหยาถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้
“จวิ้นจู่อย่าเสียพระทัยไปเลยพ่ะย่ะค่ะ พรุ่งนี้หนู่ฉายจะมากับพระองค์อีกครั้ง”
อวี้อันเอ่ยด้วยความเป็นห่วง วันนี้จวิ้นจู่ยุ่งตั้งแต่เช้าจรดค่ำ หากนางเหนื่อยจนเกินไป เกรงว่าฝ่าบาทคงถลกหนังเขาออกมาเป็นแน่
“อืม คงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว วันนี้ลำบากเจ้าแล้วอวี้อัน”
ถอยตัวกลับเข้าไปในรถม้า สายตายังคงทอดมองไกลอย่างมิอาจทำใจ
มองประตูเมืองที่กำลังจะปิด วันนี้นางคงต้องกลับไปก่อนแล้ว
ทว่านางกลับมีลางสังหรณ์ว่าจะได้เจอหลงเทียนอวี้ในวันนี้
ประชาชนพยายามเร่งฝีเท้าออกจากประตูเมือง เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเองก็เริ่มตรวจค้นเป็นรอบสุดท้ายแล้ว
ขบวนรถม้าออกไปหมดแล้ว คบเพลิงบนถนนถูกจุด หลินเมิ้งหยาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นจึงออกคำสั่ง
“กลับกันเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ในที่สุดจวิ้นจูก็ยอมเสด็จกลับแล้ว
อวี้อันรีบเข้าไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับรถม้าและเตรียมกลับไปยังจวนไท่จื่อ
สายตาของหลินเมิ้งหยายังคงไม่ละไปจากประตูเมือง
ท่ามกลางบรรยากาศยามพลบค่ำ กำแพงเมืองสูงตระหง่านค่อยๆ เล็กลงในสายตาของนาง
ขณะที่คิดจะชักสายตากลับ นางพลันเหลือบเห็นเกี้ยวเล็กหลังหนึ่งกำลังมุ่งหน้าไปทางประตูเมือง
หลินเมิ้งหยาได้ยินพวกเขาสี่ห้าคนพูดว่าจะไปหาหมอที่นอกเมือง
หัวใจเต้นระรัว นางรีบสั่งให้อวี้อันหยุด
“เมื่อครู่ข้าเห็นว่าคนในเกี้ยวหลังนั้นต้องการหาหมอ ถึงอย่างไรแม้ข้าจะกลับไปก็ไม่มีอะไรทำ เช่นนั้นพวกเราไปดูหน่อยเถิดว่าเกิดอะไรขึ้น”
“จวิ้นจู่…เกรงว่าจะไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้อันหยุดรถม้า เขามองทางจวิ้นจู่ด้วยสายตาลำบากใจ
เวลาไม่คอยท่าแล้ว พวกเขาไร้ทหารองครักษ์คอยคุ้มกัน หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นล่ะก็ เช่นนั้นคงไม่อาจรับมือได้ง่ายๆ
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับยังยืนยันคำเดิม อวี้อันถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะเลี้ยวรถม้าตามเกี้ยวหลังนั้นไป
อันที่จริงหลินเมิ้งหยาไม่อยากกลับไปที่จวนเพียงลำพัง
ในเมื่อข้างนอกมีงานให้ทำ เช่นนั้นนางก็อยากจะสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองอีกครั้ง
รถม้าแล่นฉิวบนถนนที่ไร้ผู้คน ไม่นานก็ตามเกี้ยวหลังนั้นทัน
ขณะเดียวกันเกี้ยวหลังนั้นหยุดลงที่หน้าประตูเมือง ชายคนหนึ่งอายุราวสี่สิบกว่าปีกำลังเจรจากับผู้เฝ้าประตูเมือง
“นายท่านอนุญาตพวกข้าสักครั้งหนึ่งเถิด ลูกชายคนโตของข้าทำการค้าอยู่นอกเมือง ลูกสะใภ้ของข้าใกล้จะคลอดเต็มที แต่หมอตำแยแจ้งว่าเด็กในท้องของนางอยู่ผิดตำแหน่ง มีเพียงหมอตำแย สกุลจ้าวเท่านั้นที่สามารถช่วยชีวิตนางได้ ข้าขอร้อง ท่านได้โปรดอนุญาตให้พวกเราออกไปเถิด ได้โปรดช่วยชีวิตพวกเราด้วย!”
ชายคนนั้นขอร้องวิงวอน อีกเพียงนิดเดียวเขาก็เกือบจะคุกเข่าลงไปแล้ว
ทว่าประตูถูกปิดสนิทและลงกลอนแล้ว ตามกฎของราชสำนักห้ามมิให้เปิดประตูเป็นอันขาด
“ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยเจ้า แต่ตอนนี้ประตูเมืองปิดสนิทแล้ว หากข้าต้องเปิดประตูเพื่อเจ้า เกรงว่าข้าคงแบกรับโทษเอาไว้ไม่ไหว”
ผู้เฝ้าประตูแสดงสีหน้าลำบากใจ ฝ่ายชายกลางคนจึงรีบหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกเพื่อจะยัดใส่มือผู้เฝ้าประตู
ทว่าผู้เฝ้าประตูมิได้รับมันเอาไว้ ซ้ำยังดันมันคืนเขา
หากเป็นเวลาปกติก็อาจจะรับเอาไว้ได้ แต่น่าเสียดายที่เวลานี้มีขุนนางจำนวนมากมารวมตัวกันที่เมืองหลวงเก่าแห่งนี้ หากเกิดถูกจับได้ขึ้นมา เกรงว่าคงยุ่งยากไม่น้อย
“ลูกสะใภ้ของเจ้ากำลังจะคลอดอย่างนั้นหรือ?”
ขณะที่ทั้งสองกำลังเจรจากันอยู่นั้น สุ้มเสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น
ทั้งสองหันหน้าไปทางต้นเสียงโดยพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะเห็นหญิงสาวหน้าตางดงามกำลังเดินนวยนาดเข้ามา
“คุณหนู ลูกสะใภ้ของเขากำลังจะคลอดลูกขอรับ เขาเอ่ยว่าจะต้องไปหาหมอตำแยคนหนึ่งเท่านั้นจึงจะมีโอกาสรอด แต่ตอนนี้เย็นมากแล้ว ประตูเมืองก็ปิดสนิทแล้ว ข้าน้อยลำบากใจยิ่งนัก”
เมื่อเห็นว่าอันเล่อจวิ้นจู่กลับมาที่นี่อีกครั้ง ผู้เฝ้าประตูจึงรีบออกมาต้อนรับ
ในเมื่อจวิ้นจู่ไม่คิดแสดงตัว เช่นนั้นเขาก็ต้องให้ความร่วมมือ
แต่แน่นอนว่าเขามิอาจละเลยมารยาทที่พึงปฏิบัติต่ออีกฝ่ายได้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าช่วยตรวจอาการลูกสะใภ้ของเจ้าให้เป็นอย่างไร? เจ้าวางใจเถิด ข้าเองก็เป็นหมอ ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังมีความสามารถในการจับชีพจร กว่าประตูเมืองจะเปิด ออกได้อีกครั้งก็ต้องใช้เวลาพอสมควร
อวี้อันรีบถ่ายทอดคำสั่งให้ผู้เฝ้าประตูเพื่อไปตามคนมาเปิดประตูเมือง
ผู้เฝ้าประตูน้อมรับคำสั่งด้วยความยินดี เหตุเพราะหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น จวิ้นจู่ต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบ
รีบไปตามคนมาแล้วเตรียมตัวเปิดประตูเมือง
ทว่าหลินเมิ้งหยาที่เพิ่งจะเดินไปถึงเกี้ยวกลับถูกชายสองคนห้ามเอาไว้
พวกเขาทั้งสองล้วนอายุยังน้อย ทว่าสีหน้ากลับไม่เป็นธรรมชาติ ยิ่งไปกว่านั้นยังแสร้งแสดงท่าทีร้อนใจ
หัวคิ้วขมวดมุ่น หลินเมิ้งหยาพินิจพิเคราะห์พวกเขาทั้งคู่
แปลกจริงเชียว หากใกล้จะคลอดจริง แล้วเหตุใดจึงไม่มีสาวใช้เลยแม้แต่คนเดียวเล่า?
“ทั้งสองท่าน.…..”
“คุณหนูท่านนี้ พวกเขาล้วนเป็นหลานชายของข้า ลูกสะใภ้ของข้าเจ็บปวดจนสลบไปแล้ว ขอบพระคุณท่านมากที่ช่วยออกหน้าพูดกับผู้เฝ้าประตูแทนพวกเรา”
ขณะเดียวกัน ชายอายุสี่สิบกว่าคนนั้นรีบพุ่งตัวเข้ามาในวงล้อม
แต่เขากลับไม่พูดเรื่องที่จะให้หลินเมิ้งหยาช่วยดูอาการลูกสะใภ้เลยแม้แต่น้อย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะออกไปเร่งพวกเขาให้อีกครั้ง ลูกสะใภ้ของเจ้าจะได้ไม่ตกอยู่ในอันตราย”
สีหน้าเปลี่ยนไป หลินเมิ้งหยากลับมามีสีหน้าอ่อนโยนดั่งเดิม
สาวเท้าเข้าไปหาผู้เฝ้าประตูเมือง ก่อนจะกระซิบกระซาบเล็กน้อย
“คุณหนู เช่นนั้นจะทำอย่างไรขอรับ?”
สีหน้าของผู้เฝ้าประตูเปลี่ยนไป แต่คนเหล่านั้นไม่ทันสังเกตเห็น
หลินเมิ้งหยาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตั้งใจเอ่ยเสียงดัง
“ในเมื่อพวกเขาเร่งรีบถึงเพียงนี้ พวกเจ้ารีบไปหาคนมาช่วยกันให้มากขึ้น เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตคน หากเกิดข้อผิดพลาด ข้าจะลงโทษพวกเจ้า”
ผู้เฝ้าประตูรีบพยักหน้ารับคำสั่งแล้ววิ่งออกไปตามคน
ทว่าพวกทหารที่เตรียมจะเปิดประตูเมืองกลับหยุดชะงักลง แต่ยังคงแสดงท่าทีประหนึ่งว่ากำลังรอคำสั่ง
“คุณหนู ไม่ทราบว่าประตูเมืองจะเปิดได้เมื่อไหร่หรือขอรับ?”
รออยู่ครู่หนึ่งจนเหงื่อผุดซึมตามหน้าผาก
ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดขณะถามหลินเมิ้งหยา
“ใกล้แล้ว ประตูเมืองบานนี้ไม่ค่อยดีนัก หากคิดจะเปิดต้องใช้แรงคนจำนวนมาก เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลย อีกเดี๋ยวเขาก็พาคนมาได้แล้ว”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยปลอบประโลมอย่างใจเย็น ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดของนางยังมีเหตุมีผล
ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ่งแสดงท่าทีร้อนใจ ส่วนคนอื่นๆ มิได้ใส่ใจหญิงครรภ์แก่ในเกี้ยวเลยแม้แต่น้อย พวกเขาหันหน้ามองทางประตูเมืองอย่างมีความหวัง
หลินเมิ้งหยามั่นใจแล้วว่าเรื่องหญิงใกล้คลอดเป็นเพียงเรื่องที่กุขึ้น!
“ช่างเถิด เช่นนั้นข้าคงไม่รบกวนพวกท่านทั้งสองแล้ว แม้ลูกสะใภ้ของข้าจะคลอดลูกยาก แต่ไม่มีผู้หญิงคนไหนไม่ต้องเสี่ยงตายกับการคลอดลูก ข้าลองกลับไปหาหมอตำแยที่ดีที่สุดก่อนดีก กว่า!”
หลังจากรออีกครู่หนึ่ง ชายผู้นั้นก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาอยากจะพาคนของตัวเองกลับ