ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 17 บทที่ 507 พายุโหมกระหน่ำ
การคาดเดาของหลินเมิ้งหยามักถูกต้องเสมอ
ยิ่งไปกว่านั้นศัตรูเพียงคนเดียวของสกุลจูเห็นจะมีเพียงหลินเมิ้งหยาแล้ว
จากฐานะของนาง ไม่รู้ว่าพายุขนาดมหึมาจะโหมกระหน่ำพัดผ่านเมืองหลวงเก่าเช่นไร
“จวิ้นจู่ ท่านเจ้าเมืองมาขอเข้าเฝ้าพระองค์และเซิ่นจวิ้นอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
เพิ่งจะพูดจบ เสียงของคนรับใช้ก็ดังขึ้นที่ด้านนอก
จั่วชิวอวี้หันไปมองหลินเมิ้งหยา มาเร็วกว่าที่คิด
“เจ้าไปก่อนเถิด อีกเดี๋ยวข้าจะตามไป”
พยักหน้าลง จั่วชิวอวี้รู้ดีว่าหลินเมิ้งหยายังคงเป็นห่วงหลงเทียนอวี้ นางจึงอยากเข้าไปดูอาการเขาอีกหนแล้วค่อยไป
“ไปเถิด”
เจ้าเมืองแล้วอย่างไรเล่า? หากมีเขาอยู่ ไม่ว่าใครก็ทำร้ายหลินเมิ้งหยาไม่ได้!
ภายในห้อง สายลมพัดกลิ่นเหม็นคาวออกไปจนหมดสิ้น
กลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้จิตใจสงบ หลงเทียนอวี้หลับตาสนิท
หลิงเย่ยืนเฝ้าเพื่อคอยคุ้มกันอันตรายให้เขา
“เย่ อย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเด็ดขาด”
หลงเทียนอวี้กระซิบเสียงเบา น้ำเสียงไร้ซึ่งความสงสัยทำให้อีกฝ่ายปฏิบัติตามด้วยความเต็มใจ
“พ่ะย่ะค่ะ”
เขาเคยชินกับการเป็นเงาของท่านอ๋องแล้ว ขอเพียงท่านอ๋องยังอยู่ เขาจะเป็นดั่งดาบคมกริบของท่านอ๋อง
“เป็นอย่างไรบ้าง? ยังเจ็บอยู่หรือไม่?”
น้ำเสียงอ่อนโยนหวานใสพลันดังขึ้นที่หน้าประตู หลิงเย่พร้อมทั้งหลงเทียนอวี้จึงหันไปมอง
“ไม่เจ็บแล้ว ยาของเจ้าขจัดความเจ็บปวดจนหมดสิ้น”
สีหน้าของหลงเทียนอวี้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก สายตาอ่อนโยนมองตามร่างบางที่กำลังเดินเข้ามาใกล้
“ใช่ยาของหม่อมฉันเสียที่ไหน ล้วนเป็นเพราะร่างกายของพระองค์ทั้งสิ้น กินอะไรหรือยังเพคะ?”
นั่งลงข้างเตียงของหลงเทียนอวี้ แม้ชุดจะถูกเปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังเปียกชื้นอยู่เล็กน้อย
เรี่ยวแรงของเขาใกล้จะหมดลงเต็มที ทุกครั้งที่พิษเริ่มออกฤทธิ์ เขามักรู้สึกเหมือนตกอยู่ในนรก ดังนั้นร่างกายของเขาจึงไม่เหมือนก่อน
ไม่รู้ว่าพวกคนเหล่านั้นใช้ยาเซินเซียนซ่านกับหลงเทียนอวี้มากเพียงใด
ร่องรอยของความอำมหิตวาดผ่านดวงตาของหลินเมิ้งหยา แต่ไม่นานนางก็เก็บงำมันเอาไว้จนมิด
“กินแล้ว เจ้าเล่า? จริงสิ จั่วชิวอวี้เล่าว่าเจ้าเริ่มรักษาอาการบาดเจ็บที่ไหล่ขวาแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง? เจ็บปวดหรือไม่?”
ฝืนยันร่างตัวเองขึ้น หลงเทียนอวี้นั่งพิงหัวเตียงพลางมองไหล่ขวาของนาง
ยื่นมือออกไปสัมผัสกับไหล่ขวาข้างนั้นเบาๆ ราวกับกลัวว่านางจะเจ็บ
“ไม่เจ็บหรอกเพคะ พระองค์ลืมแล้วหรือว่าตอนนี้ไหล่ขวาของหม่อมฉันไร้ความรู้สึก ต่อให้นำมีดมาแทงก็คงไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น”
หลินเมิ้งหยาปลอบโยนหลงเทียนอวี้ แม้นางจะรู้สึกทรมานจนเกือบตาย แต่นางก็ไม่อยากสร้างความกังวลให้เขา
หลินเมิ้งหยาไม่มีทางเลือก มีเพียงต้องรักษาแขนขวาให้หาย นางจึงจะสามารถใช้วิชาควบคุมเข็มรักษาหลงเทียนอวี้ได้
ทุกสิ่งล้วนคุ้มค่าทั้งสิ้น
“ลำบากเจ้าแล้ว”
หลงเทียนอวี้บีบจมูกของนางเบาๆ ก่อนจะโอบร่างหลินเมิ้งหยาเข้าหาวงแขน
สูดดมกลิ่นหอมบนเส้นผมของอีกฝ่าย หลายครั้งที่เขาเกือบจะถูกภาพลวงตาลวงหลอก แต่เขาสามารถดึงสติกลับมาได้เพราะไม่ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากร่างกายของนาง
ดีจริงๆ ที่นางมิใช่ภาพลวงตา
อยากฝังนางเข้ามาอยู่ในร่างกายของตนเองเหลือเกิน จากนี้ไปจะได้ไม่ต้องแยกจากกันอีก
“จริงสิ พระองค์ยังจำพวกคนที่จับตัวพระองค์ไปได้หรือไม่เพคะ?”
อิงแอบซบแผงอกของหลงเทียนอวี้ หูสดับรับฟังเสียงหัวใจที่กำลังเต้นของเขา แต่ถึงกระนั้นก็ยังอดเอ่ยถามในเรื่องที่ตนเองสงสัยไม่ได้
“ข้าน่าจะถูกสะกดจิต ตอนนั้นข้าจำได้เพียงว่ามีมือข้างหนึ่งยื่นเข้ามาโบกเบื้องหน้าข้า จากนั้นข้าก็จำไม่ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ข้าพบว่าตัวเองอ อยู่ในคุกลับแห่งหนึ่ง ที่นั่นนอกจากข้าแล้วยังมีคนอีกจำนวนนับไม่ถ้วน พวกเขาเองก็ล้วนถูกบังคับให้ใช้ยาเซินเซียนซ่าน พวกคนที่คอยควบคุมสวมใส่หน้ากากผี ดังนั้นจึงไม่อาจรู้ ได้ว่าพวกมันเป็นใคร”
เพียงได้ยินคำพูดของหลงเทียนอวี้ หลินเมิ้งหยาก็รู้สึกกังวลใจอยู่หลายส่วน
“พระองค์กำลังบอกว่าพวกเขาล้วนถูกกรอกยาเซินเซียนซ่าน?”
หลงเทียนอวี้ผงกศีรษะลง แม้หลงเทียนอวี้จะมิได้ข้องเกี่ยวกับผู้ใด แต่นอกจากเขาแล้ว คนอื่นๆ ล้วนร้องไห้ระงมเพื่อขอยาเซินเซียนซ่าน
“มีอะไรหรือ? เจ้าคิดอะไรออกหรืออย่างไร?”
หลงเทียนอวี้ก้มหน้าลงมองหลินเมิ้งหยาที่กำลังคิดอะไรบางอย่าง
“หม่อมฉันคิดว่าเรื่องนี้ค่อนข้างน่าเหลือเชื่อเพคะ”
สมองกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ทว่าตอนนี้หลินเมิ้งหยาไร้ซึ่งหลักฐาน
ฝิ่น นอกจากที่นี่และเมืองเลี่ยหยุนแล้ว ดินแดนอื่นๆ มีการปลูกน้อยมาก แม้จะมีการปลูกบ้างประปราย แต่ทั้งหมดก็ถูกนำไปปรุงเป็นยา
ยิ่งไปกว่านั้นยาเซินเซียนซ่านยังมีสารเสพติดประเภทอื่นนอกจากฝิ่นอีกด้วย
ของชิ้นนี้ล้วนถูกพบได้ในตลาดมืด ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความต้องการค่อนข้างสูง
แน่นอนว่าราคาย่อมสูงตาม แต่เหตุใดพวกเขาจึงใช้ยานี้กับคนในคุกมากมายถึงเพียงนั้น?
เพียงใช้ของสิ่งนี้แค่ครั้งเดียวก็ยากจะทนไหวแล้ว
หรือจะกำลังทดลองยา?
“คิดไม่ถึงเลยว่าเมืองหลวงเก่าแห่งแคว้นหลินเทียนจะซุกซ่อนสถานที่น่าสะอิดสะเอียนเช่นนี้เอาไว้”
เรื่องนี้ไม่ได้ทิ้งเพียงภาพความทรงจำอันเลวร้ายให้หลงเทียนอวี้ แต่ยังทำให้เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะทำลายสถานที่เหล่านั้นให้สิ้นซาก
“หม่อมฉันคิดว่านี่เป็นเหตุผลที่เมืองหลวงเก่ามีหอป๋ายเฉาคงอยู่ คนที่ไร้ความรู้เรื่องยาย่อมไม่อาจปรุงยาชนิดนี้ออกมาได้”
หลินเมิ้งหยาพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา แม้ของสิ่งนี้จะเป็นยาที่มีโทษต่อมนุษย์ แต่สำหรับคนที่มีความลุ่มหลงในเงินทองแล้ว ของสิ่งนี้มิได้มากเลยแม้แต่น้อย
ดูเหมือนตอนนี้ยาเซินเซียนซ่านจะอยู่ในขั้นทดลองเท่านั้น
สิ่งที่พวกเขาให้หลงเทียนอวี้กินน่าจะเป็นยาที่ทำจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าหากเป็นยาที่เสร็จสมบูรณ์ เช่นนั้นก็ไม่ควรมีการทดลองยาอีกมิใช่หรือ?
หรือพวกเขาจะกำลังพัฒนายาเซินเซียนซ่าน?
ขนแขนลุกชัน ของสิ่งนี้อย่าว่าแต่มนุษย์เลย มันสามารถทำลายสิ่งมีชีวิตทุกอย่างในเมืองหลินเทียนได้!
“จริงสิ พระองค์ยังจำปฏิกิริยาของคนเหล่านั้นหลังจากใช้ยาได้หรือไม่เพคะ?”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ หลงเทียนอวี้ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเล่าสิ่งที่ตนเองเห็นมาทั้งหมดให้ฟัง
“จากที่พระองค์เล่า หากพวกเขานำยาเซินเซียนซ่านออกมาใช้จริง เช่นนั้นเมืองหลินเทียนจะต้องเกิดความโกลาหลอย่างแน่นอน”
ภาพสงครามฝิ่นในสมัยประวัติศาสตร์ยังคงตราตรึงอยู่ในใจ
ไม่ได้ นางไม่มีวันยอมให้คนเหล่านั้นทำลายบ้านเกิดเมืองนอนของท่านแม่อย่างแน่นอน!
“ใช่แล้ว ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน มีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้นจึงจะมีของสิ่งนี้ แต่ข้าเห็นว่าบางครั้งพวกเขาก็จับตัวพ่อค้ามนุษย์หรือไม่ก็พวกชนชั้นต่ำมากินยาเซินเซียนซ่าน แม้ข้าจะถู กจับขังที่นั่น แต่ก็พอจะได้ยินคำพูดของพวกเขามาบ้างว่าหากอยากได้ยาเซินเซียนซ่าน เช่นนั้นพวกเขาจะต้องหาคนมามากขึ้น”
สีหน้าหลงเทียนอวี้เคร่งขรึม หากเป็นคนที่มิได้มองการณ์ไกลอาจคิดว่าเมืองหลินเทียนเป็นเพียงแคว้นเพื่อนบ้านเท่านั้น
หากบ้านเมืองนี้เกิดความไม่สงบ เช่นนั้นพวกเขาจะมีโอกาสหาประโยชน์ที่นี่
แต่หลงเทียนอวี้เป็นคนฉลาด ในเมื่อทั้งสองแคว้นเป็นดินแดนเพื่อนบ้าน เช่นนั้นยาเหล่านี้ก็อาจถูกขนย้ายออกมาจากเมืองหลินเทียนและเข้าไปยังต้าจิ้น
ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ลอบทำร้ายเขาเป็นไปได้มากว่าจะเป็นคนของต้าจิ้น
“พระองค์พักผ่อนก่อนเถิด หม่อมฉันขอออกไปหาอวี้เปี่ยวเกอสักหน่อย นอนหลับสักเดี๋ยวหนึ่งเถิดนะเพคะ หม่อมฉันได้ยินพวกเสี่ยวซีเล่าว่าช่วงบ่ายอาการของพระองค์กำเริบอีกครั้ง ซ้ำย ยังรุนแรงกว่าช่วงเช้า ในเมื่อพระองค์ตัดสินใจแล้ว หม่อมฉันเชื่อว่าพระองค์จะต้องเอาชนะมันได้อย่างแน่นอน”
สีหน้าหลินเมิ้งหยากลับมาอ่อนโยนดั่งเดิม
ยกผ้าขึ้นห่มร่างหลงเทียนอวี้พลางกำชับเสียงอ่อนโยน
หลงเทียนอวี้รู้สึกไม่ชินกับการที่นางดูแลเขาเหมือนเด็ก แต่ถึงกระนั้นก็เชื่อฟังนางแต่โดยดี ดวงตาทั้งสองข้างจึงปิดลง
มองตามนางที่กำลังเดินออกจากประตูไป ดวงตาหลงเทียนอวี้ลืมขึ้นอีกครั้ง
สายตาอมทุกข์มลายหายไปจนหมดสิ้น แม้จะยังอ่อนล้า แต่แววตากลับคมกริบเหมือนก่อน
“เย่”
ร่างของหลิงเย่พลันปรากฏต่อหน้าเขาพร้อมทั้งถวายคำนับด้วยความเคารพ
“จงรวมกำลังพลแล้วส่งข่าวกลับไปที่บ้านว่า น้ำท่วมลุกลาม คนทางบ้านต้องระวัง
“พ่ะย่ะค่ะ”
เพียงสายลมพัด ร่างของหลิงเย่พลันหายไป
หลงเทียนอวี้นอนอยู่บนเตียง สายตาเหลือบมองรอยแดงบนข้อมือที่เขาพยายามซ่อนเอาไว้
แม้หลินเมิ้งหยาจะเตรียมการเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว แต่ด้วยพละกำลังของหลงเทียนอวี้ ดังนั้นแขนขาที่ถูกมัดจึงยังทิ้งร่องรอยเอาไว้
กำหมัดแน่น ทุกครั้งที่อาการกำเริบ เขารู้สึกมิต่างอันใดจากการตกนรก
แต่ถึงกระนั้นเขาก็พยายามอดทน จนกระทั่งของเหล่านี้ไม่อาจควบคุมเขาได้อีก!
ภายในห้องรับแขก จั่วชิวอวี้มองเจ้าเมืองที่พยายามเค้นถามด้วยสายตาหมดความอดทน
อันที่จริงการเป็นเจ้าเมืองในเมืองหลวงเก่านั้นไม่ง่ายเลย ท่านเจ้าเมืองคนก่อนมีหน้าที่ดูแลคุ้มกันเชื้อพระวงศ์ แต่ตอนนี้เขาย้ายไปยังเมืองหลวงว่างเทียนแล้ว
ส่วนเจ้าเมืองคนนี้มีท่าทีเป็นกลาง แต่เขาไม่อาจรู้ได้ว่าอีกฝ่ายจงรักภักดีหรือเป็นคนของศัตรู
สีหน้าของเขาเผยความลำบากใจระคนหวาดกลัว ในใจหวังเหลือเกินว่าจั่วชิวอวี้จะเชิญหลินเมิ้งหยาออกมา
ทว่าแม้ภายนอกเซิ่นจวิ้นอ๋องจะเป็นมีท่าทางสบายๆ แต่การที่ต้องทำความรู้จักกันในสถานการณ์เช่นนี้ช่างน่ากระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก
เวลาผ่านไปนานมากแล้ว เขามักจะตะล่อมถามอยู่เสมอว่าเมื่อไหร่จะเชิญจวิ้นจู่เสด็จ
“จวิ้นจู่เสด็จ…”
เสียงร้องของเสี่ยวซีดังขึ้น จากนั้นสตรีในชุดชาววังหรูหรางดงามพลันเดินออกจากฉากกั้น
แม้จะไร้ซึ่งความสดใสเหมือนอย่างตอนที่อยู่ในหอป๋ายเฉา แต่ท่วงท่ายังคงสง่างามน่าหวั่นคร้าม
“ถวายพระพรจวิ้นจู่ ขอให้จวิ้นจู่อายุยืนพันปี”
เจ้าเมืองอายุราวห้าสิบรีบโค้งคำนับให้หลินเมิ้งหยา
ทว่าจวิ้นจู่กลับรั้งเขาไว้ ก่อนจะเอ่ย
“ใต้เท้าอย่าได้มากพิธีไปเลย ยังมีข้อสงสัยในฐานะจวิ้นจู่ของข้า ใต้เท้าทำเช่นนี้ ข้ารู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก”