ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 17 บทที่ 509 ทารุณกรรมคนโสด
“เอาล่ะเปี่ยวเกอ หลงเทียนอวี้เป็นคนป่วย เจ้าอย่าหาเรื่องเขาเลย”
บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ทั้งสองตรงหน้านางแสดงท่าทางไม่ต่างจากเด็ก
สัมผัสได้ถึงแรงกอดจากมือหนาบริเวณเอว นางตีมือเขาเบาๆ ทีหนึ่ง
จริงๆ เลย เพิ่งจะอาการดีขึ้นก็ปล่อยให้อารมณ์พลุ่งพล่านเสียแล้ว
เฮ้อ เหตุใดนางจึงรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคุณป้าในสถานเลี้ยงเด็กเลยเล่า
“ฮึ เจ้าพูดถูก เขาเป็นคนป่วย ข้าไม่อยากต่อปากต่อคำกับเขาหรอก แต่เปี่ยวเม่ยเอ๋ย เจ้าเข้าข้างเขาเกินไปหรือไม่ ถึงอย่างไรข้ากับเจ้าก็มีสายเลือดเดียวกัน เหตุใดสาวน้อยตาดำๆ เช่นเ เจ้าพอแต่งงานออกไปก็ไม่รู้จักพี่ชายแล้วเล่า”
พูดจบก็แสดงท่าทางขุ่นเคืองพลางส่งสายตาเหมือนเด็กเอาแต่ใจไปที่สองสามีภรรยา
“ใช่ พวกข้าทำร้ายคนโสดเข้าให้แล้ว พวกเราผิดเอง แต่อวี้เปี่ยวเกอยังครองตัวเป็นโสด หากเจ้าคิดว่าพวกข้าเป็นหนามทิ่มแทงตา ไฉนเจ้าจึงไม่หาพี่สะใภ้ให้ข้าสักคนเล่า?”
หลินเมิ้งหยาถลึงตาใส่จั่วชิวอวี้ คนโสดย่อมรู้สึกราวกับถูกทำร้ายเมื่ออยู่ในโลกของคู่รัก
ขณะเดียวกันคำพูดนี้ทำให้จั่วชิวอวี้ปิดปากสนิท
“เจ้า….อำมหิตนัก!”
เมื่อแกล้งอีกฝ่ายไม่ได้ จั่วชิวอวี้จึงยอมแพ้แต่โดยดี
หลงเทียนอวี้เหลือบมองเขาคราหนึ่ง ก่อนดวงตาจะเปล่งประกายแวววาว
“จริงสิ เจ้าจะจัดการเรื่องสกุลจูอย่างไร?”
หลินเมิ้งหยามีตรามังกรทมิฬอยู่ในมือ ไม่ว่าเจ้าเมืองหรือคนที่อยู่เบื้องหลังของเขาก็ไม่อาจทำอะไรนางได้
แต่มิได้หมายความว่าคนเหล่านั้นจะยอมอยู่เฉยๆ
กลับกัน พวกเขาคงเร่งหาวิธีใส่ร้ายป้ายสีหลินเมิ้งหยาและจั่วชิวอวี้
แต่พวกหลิงเย่ทำงานโดยไร้ข้อบกพร่อง แม้อีกฝ่ายคิดจะใส่ร้าย แต่หลักฐานทั้งหมดล้วนถูกพวกหลิงเย่ทำลายหมดสิ้นแล้ว
ฉะนั้นคนเหล่านั้นจึงทำได้เพียงยอมรับเสียงส่วนมากเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เหตุเพราะมีคนมีแก่ใจปล่อยข่าวบางอย่างออกไป ดังนั้นพวกเขาจึงประสบปัญหาไม่มากก็น้อย
“จะทำอย่างไรได้เล่า? สกุลจูเองก็เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลินเทียน แน่นอนว่าต้องทำการตรวจสอบจนถึงที่สุด แต่เท่าที่ข้าดู เกรงว่าคงสืบสวนกันอย่างฉาบฉวยเท่านั้น”
จั่วชิวอวี้และหลินเมิ้งหยารู้ใจกันราวกับมีกระจกสะท้อนความคิด
เหตุที่สกุลจูมีอำนาจก็เพราะมีความเกี่ยวข้องกับพวกผู้อาวุโสในหอป๋ายเฉา
ฉะนั้นหากต้องการสืบหาความจริงเรื่องนี้ คาดว่าต้องดึงหัวไชเท้าเปื้อนดินขึ้นมา เมื่อถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่สกุลจูเลย แม้แต่คนของหอป๋ายเฉาก็ไม่ต้องการให้เรื่องบางเรื่องถูกขุ ดมาประจาน
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าลองเติมเชื้อไฟเข้าไปดีหรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาหยักยิ้มมีเลศนัยน์ จั่วชิวอวี้เข้าใจได้ในทันทีว่านางกำลังคิดสิ่งใด
“จริงสิ พวกจูฉีหยุนถูกจับขังสองวันแล้ว เจ้าไม่ไปดูพวกเขาหน่อยหรือ?”
หากจั่วชิวอวี้ไม่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา หลินเมิ้งหยาคงลืมคนทั้งสามไปแล้ว
หลงเทียนอวี้ได้รับรายงานจากหลิงเย่แล้ว หากมิใช่เพราะหลินเมิ้งหยาส่งคนไปเตรียมการเอาไว้ก่อน เกรงว่าพวกสกุลจูคงถูกสังหารหมดทั้งครอบครัว
“ไปสิ ข้าต้องไปแน่นอน แต่ก่อนจะไปเจ้าเตรียมของอย่างหนึ่งให้ข้าก่อนได้หรือไม่?”
ท่ามกลางแสงแดดจัดจ้า สายตาของหลินเมิ้งหยาเย็นชาดุจน้ำแข็ง
ภายในโรงเก็บฟืนจวนเซิ่นจวิ้นอ๋อง แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบใบหน้าไร้โทสะของคนทั้งสาม
เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาฆ่าตัวตาย หลินเมิ้งหยาไม่เพียงสั่งให้มัดมือมัดเท้าเท่านั้น แต่ปากของทุกคนยังถูกอุดเอาไว้มิให้ส่งเสียง
หลังจากทนทรมานเพราะความหิวอยู่สองวัน แม้ร่างกายจะไร้เรี่ยวแรงเต็มที แต่ถึงกระนั้นก็ยังหายใจอยู่
มีเพียงจิตวิญญาณที่หม่นหมองลงไปไม่น้อย
เห็นคนในครอบครัวของตนถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา เกรงว่าคงไม่มีใครอยากมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว
แอ๊ด
เสียงดังขึ้น ประตูถูกเปิดออกจากด้านนอก
จูฉีหยุนไร้ที่ซึ่งความสง่างามเหมือนอย่างตอนแรกเงยหน้าจ้องร่างบางในชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อน
“เข้ามา จงนำของในปากใต้เท้าจูออก ดูพวกเจ้าเถิด เสียมารยาทจริงเชียว ใต้เท้าจู พวกคนรับใช้เหล่านี้ไม่รู้ความ หวังว่าท่านจะอภัยให้พวกเขา”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยวาจาเกรงใจ แต่ท่าทางมิได้เกรงอกเกรงใจตาม
พวกเสี่ยวซีรีบเข้าไปนำของที่อุดปากพวกใต้เท้าจูออก เสียงหนึ่งพลันดังขึ้น
“น้ำ…น้ำ….”
เสียบแหบแห้งของคนที่เคยใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นอย่างจูเจียจิงดังขึ้น ท่าทางของเขาในเวลานี้เหมือนคนใกล้จะหมดลมหายใจเต็มที
หลินเมิ้งหยามิได้ทรมานพวกเขาต่อ แม้แต่ลูกสาวคนเล็กของจูฉีหยุนเองก็ต้องแบกรับความทรมานด้วยกัน
ทว่าสายตาของพวกเขาเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังขณะจ้องสตรีตรงหน้า
“เจ้าคิดจะทำอะไร? เหตุใดจึงช่วยพวกข้าเอาไว้ แต่ไม่ยอมช่วยคนในครอบครัวของข้า!”
เด็กหญิงผมทรงซาลาเปาอายุราวเจ็ดแปดขวบมีความอาจหาญชาญชัยเสียยิ่งกว่าพี่ชายที่ไม่ได้เรื่องของนาง แต่นั่นมิได้หมายความว่าหลินเมิ้งหยาจะคิดสงสาร
“เหตุใดข้าต้องช่วยคนในครอบครัวของเจ้าด้วยเล่า? แม่หนูน้อย แม้ข้าจะช่วยพวกเจ้าออกมา แต่นั่นมิได้หมายความว่าข้าหวังดีต่อพวกเจ้า เจ้าจงจำเอาไว้ หากยังไร้อำนาจ เช่นนั้นอย่ารนหา าที่ตาย”
หลินเมิ้งหยากระตุกยิ้มน้อยๆ ขณะจ้องเด็กหญิงตรงหน้า อีกทั้งยังเอ่ยด้วยความหวังดี
แม้เด็กหญิงจะไม่เข้าใจความหมาย แต่พวกผู้ใหญ่กลับรู้ดี
หลังจากจูฉีหยุนจ้องนางด้วยสายตาเย็นชาแล้วจึงปิดตาทั้งสองข้างลง
ท่าทางราวกับไม่กลัวความตายตรงหน้า
“ใต้เท้าจู อันที่จริงข้าคิดว่าเจ้าคงเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าสกุลจูของพวกเจ้าจะต้องพบจุดจบ แต่คงคิดไม่ถึงว่าจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ใช่หรือไม่?”
เมื่อต้องเห็นคนในครอบครัวของตัวเองถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา จูฉีหยุนร้องไห้จนไม่มีน้ำตา
แม้เขาจะเป็นคนทะเยอทะยาน แต่เรื่องเช่นนี้แม้แต่บุรุษตัวโตก็ไม่อาจทานทน
แต่หากทนได้ คาดว่าในอนาคตเขาคงทำการใหญ่สำเร็จ
ทว่าสภาพของจูฉีหยุนและจูเจียจิงในเวลานี้มิต่างอันใดจากตั๊กแตนหลังฤดูใบไม้ร่วง คาดว่าอีกไม่กี่วันก็คงยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว
“จวิ้นจู่ พระองค์อุตส่าห์ช่วยเหลือพวกเราเอาไว้ ข้าจูเจียจิงขอถวายความจงรักภักดีต่อท่าน ไม่ว่าท่านต้องการให้ข้าทำสิ่งใด แม้แต่ต้องบุกน้ำลุยไฟข้าก็จะทำพ่ะย่ะค่ะ!”
ริอ่านจะเป็นหญ้าลู่ลมบนยอดกำแพง1อย่างนั้นหรือ?
เวลาเพียงชั่วพริบตาก็รู้ได้แล้วว่าหลินเมิ้งหยากำลังกุมชะตาชีวิตของพวกเขาเอาไว้
จูเจียจิงรีบถวายความจงรักภักดีต่อหน้าจวิ้นจู่ ท่าทางมิต่างจากสุนัข!
เขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่หลินเมิ้งหยาเกลียดที่สุดคือคนไร้ศักดิ์ศรี
“ดี เช่นนั้นจงไปตายเพื่อข้าเถิด”
เอ่ยอย่างไม่แยแส ทว่ากลับเป็นถ้อยคำบาดหูผู้อื่น
จูเจียจิงคิดไม่ถึงเลยว่าสตรีตรงหน้าจะออกคำสั่งเช่นนี้ ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความอึ้งงัน
“ฮึ เจ้าคนไร้ศักดิ์ศรี จวิ้นจู่มีฐานะสูงศักดิ์ เช่นนั้นพระองค์จะพึงใจในตัวเจ้าได้อย่างไร”
จูฉีหยุนมองความคิดของหลินเมิ้งหยาออก ดังนั้นจึงอดที่จะส่งเสียงแข็งทื่ออย่างไม่สบอารมณ์ออกมาไม่ได้
ทว่าแม้จูเจียจิงจะเป็นคนจิตใจอ่อนแอ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนของสกุลจู
“สมแล้วที่เป็นใต้เท้าจู แต่เพราะเหตุใดใต้เท้าจูจึงมักทำเรื่องโง่เขลาทั้งที่รู้ความขนาดนี้กันเล่า? แม้พระสวามีของข้าจะเป็นองค์ชายแห่งต้าจิ้น แต่หากมีใครคิดทำร้ายเขา ข้าค คิดว่า…ข้าก็คงปล่อยคนผู้นั้นไปไม่ได้”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยออกมาอย่างชัดเจน จูฉีหยุนรู้ดีว่าตนเองเป็นผู้นำภัยพิบัติมาสู่วงศ์ตระกูล
ทว่าเขากลับไม่ปริปากเอ่ยอันใด ซ้ำยังแสดงท่าทางไม่แยแส
หลินเมิ้งหยาไม่รู้ว่าตาเฒ่าคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ นางจึงเหยียดยิ้มน้อยๆ สายตาเย็นชาอยู่หลายส่วน
“ใต้เท้าจูรู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดข้าจึงสั่งให้ลูกน้องช่วยเหลือพวกเจ้าทั้งสามออกมา?”
หากจะให้เทียบความอำมหิตกันแล้วล่ะก็ หลินเมิ้งหยาย่อมไม่แพ้ผู้ใด
เมื่อได้ยินน้ำเสียงแกมข่มขู่ของนาง จูฉีหยุนเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย
“เจ้ากำลังขู่ข้าหรือ? ฮึ ในเมื่อคนในครอบครัวของข้าตายหมดแล้ว พวกเราสามคนก็ไม่คิดอยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว จะเป็นหรือตายอย่างไรก็ช่าง!”
โอ้ ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาใช่หรือไม่
หลินเมิ้งหยาเข้าใจสถานการณ์ในเวลานี้แล้ว แต่คิดหรือว่าพวกคนเลวจะยอมตายง่ายๆ?
คิดจะเล่นกับนาง? เขาคิดดีแล้วหรือ!
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เข้ามา จงนำยาจี๋เล่อเติงเซียนมาให้ใต้เท้ากิน วางใจเถิด นี่เป็นยาที่ข้าปรุงเองกับมือ ข้ารับรองได้ว่าพวกเจ้าไม่มีทางรู้สึกเจ็บปวด อีกไม่นานพวกเจ้าก็จ จะได้ไปรวมตัวกับญาติพี่น้องของพวกเจ้าแล้ว”
ออกคำสั่งเสียงเย็น คนด้านนอกนำยาสามถาดเข้ามา
บนถาดไม้ทั้งสามมียาขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองสามเม็ดสีแดงดั่งโลหิตวางอยู่
“เชิญใต้เท้าจู”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยอย่างไม่ลังเล
หากชีวิตกำลังอยู่บนความเป็นและความตาย คาดว่าคงไม่มีใครเลือกเดินบนเส้นทางแห่งความตายอย่างแน่นอน
“ท่านอา! ท่านอา! อย่าทำอะไรโง่ๆ เลยขอรับ! พวกเราสกุลจูเหลือกันเพียงสามคนแล้ว หากพวกเราตายกันทั้งหมด เช่นนั้นสกุลจูก็ไม่เหลือใครอีกแล้ว”
คนแรกที่คัดค้านขึ้นมาคือจูเจียจิง น่าเสียดายที่หลินเมิ้งหยาแสดงละครสมจริงยิ่งนัก
สั่งให้คนกดตัวเขาเอาไว้ ท่าทางเหมือนคนที่ใกล้จะตายเต็มทีทำให้จูเจียจิงไม่สนใจสิ่งรอบข้างมากมายนัก เขาร้องโหวกเหวกโวยวายในทันที
จูเซียงเอ๋อร์เป็นเพียงเด็กน้อย ตอนที่อยู่ในตู้เสื้อผ้า นางถูกคนตีจนสลบ ดังนั้นจึงมองไม่เห็นภาพน่าเวทนาเหล่านั้น
เวลาเพียงค่ำคืนเดียว ครอบครัวที่เคยอบอุ่นอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาล้วนกลายเป็นศพไร้วิญญาณ
ความน่าหวาดกลัวเช่นนี้จะมีเด็กคนไหนทนได้เล่า
“ท่านพ่อ…ท่านพ่อ…ข้ากลัว…ข้ากลัว…”
เหตุเพราะหวาดกลัวสุดขีด ดังนั้นจูเซียงเอ๋อร์จึงส่งเสียงแหบพร่าทั้งน้ำตา
เพียงได้เห็นท่าทางไม่เอาถ่านของหลานชายก็ทำให้จูฉีหยุนโมโหมากเพียงพอแล้ว แต่ยิ่งได้เห็นบุตรสาวสุดที่รักน้ำตารินไหลอาบแก้มอย่างน่าสงสาร หัวใจที่เคยแข็งดั่งหินผาก็เริ่ม หวั่นไหวขึ้นมาบ้างแล้ว
หมายเหตุ
หญ้าลู่ลมบนยอดกำแพง1 หมายถึง นกสองหัว