ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 17 บทที่ 510 ร่วมมือกับสกุลจู
“อย่ากลัวไปเลยจูเซียงเอ๋อร์ นี่จะเป็นช่วงเวลาเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น บิดาเจ้ากับเจ้าจะไปเจอกับมารดาและพี่ชายของเจ้าที่ถนนยมโลก”
จูฉีหยุนทำได้เพียงทอดถอนหายใจ แต่ถึงกระนั้นหัวใจของเขาก็เริ่มกริ่งเกรงขึ้นมาบ้างแล้ว
“ถ้าเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราส่งคุณหนูจูไปก่อนก็แล้วกัน”
ตอนแรกจูฉีหยุนคิดว่าหลินเมิ้งหยาที่เป็นสตรีจะรู้สึกอ่อนไหวกับเรื่องนี้
แต่ใครจะคิดเล่าว่าจิตใจของนางจะอำมหิตและไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
“ท่านพ่อ! ท่านพ่อ! เซียงเอ๋อร์กลัว! เซียงเอ๋อร์กลัว!”
เสี่ยวซีร่างกำยำสองคนจับตัวเด็กหญิงอายุเจ็ดแปดขวบขึ้นมา แววตาของจูฉีหยุนสั่นไหว
ก่อนหยาดน้ำตาจะรินไหลลงอาบแก้ม
“ปล่อยบุตรสาวของข้า! พวกเจ้าปล่อยนางเดี๋ยวนี้! เซียงเอ๋อร์ เซียงเอ๋อร์ของข้า!”
จูฉีหยุนอยากปลดพันธนาการของชายร่างกำยำสองสามคนทางด้านหลัง แต่เพราะร่างกายที่โรยราตามอายุ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจสู้แรงคนวัยฉกรรจ์ได้
สายตาจับจ้องมองเสี่ยวซีคนหนึ่งที่ดึงสิ่งอุดปากเซียงเอ๋อร์ออกแล้วต้องการจะกรอกยาสีแดงดั่งโลหิตเข้าปากบุตรีของตน
ในที่สุดจูฉีหยุนก็ใจอ่อน
“จวิ้นจู่! ข้าผิดไปแล้ว ข้ายินดีรับใช้ท่าน! ขอร้องได้โปรดปล่อยบุตรสาวของข้าไปเถิด!”
จูฉีหยุนยอมรับความพ่ายแพ้ หลินเมิ้งหยาโบกมือ เสี่ยวซีรีบนำยากลับไปใส่ในถาด
“ใต้เท้าจู ในเมื่อท่านก็รู้ผลดี เช่นนั้นจะดึงดันตั้งแต่แรกทำไมเล่า? เข้ามา เอาตัวคุณหนูไป อย่าทำให้นางได้รับบาดเจ็บ”
จูเซียงเอ๋อร์ที่หวาดกลัวสุดขีดไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นกำลังพานางไปที่ใด
ออกแรงดิ้นพร้อมทั้งส่งเสียงร้องตะโกน แต่ถึงกระนั้นก็ถูกคนนำตัวออกไปจากโรงเก็บฟืน
มองใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาของบุตรสาว ตอนนี้ชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในกำมือของอีกฝ่ายแล้ว จูฉีหยุนในเวลานี้ดูแก่ขึ้นกว่าเดิมหลายสิบปี
“เซียงเอ๋อร์ บุตรสาวของข้า…จวิ้นจู่ แต่ไหนแต่ไรมาข้าจูฉีหยุนมิเคยก้มหัวให้ผู้ใดมาก่อน แต่ข้าหวังเหลือเกินว่าท่านจะละเว้นบุตรสาวของข้า”
จูฉีหยุนยอมนำชีวิตของบุตรชายตนเองมาแลก แต่ไม่อาจทำใจเสียบุตรสาวไปได้
หลินเมิ้งหยารู้สึกได้ว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ
“ข้าจะทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน แต่ข้ามีสิ่งหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจ ทั้งที่ใต้เท้าจูไม่อาจทำใจเสียบุตรสาวของตนไปได้ เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงยอมสละชีวิตบุตรชายเพื่อใส่ร้ายข้าเล่า?”
เพียงได้ยินคำพูดนี้ จูฉีหยุนผงะไปในทันที
สายตาจับจ้องใบหน้าของหลินเมิ้งหยานิ่ง ราวกับไม่เข้าใจคำพูดของนาง
หรือว่า……
“บุตรชายของข้ามิได้ถูกพวกเจ้าฆ่าตายหรอกหรือ? เขาได้รับบาดเจ็บจนไร้หนทางรักษา แม้แต่ตอนนี้ข้าเองก็ตกอยู่ในกำมือของจวิ้นจู่ แล้วเหตุใดจวิ้นจู่ต้องนำเรื่องนี้มาบีบคั้นข้า ด้วยเล่า!”
สายตาจูฉีหยุนเปี่ยมโทสะ ท่าทางไม่เหมือนคนกำลังเล่นละคร
“ใต้เท้าจู เจ้าคิดหรือว่าอ๋องอวี้ เซิ่นจวิ้นอ๋องและแม้แต่ข้าก็ไม่เห็นความสำคัญของชีวิตผู้อื่น? ถูกต้อง ตอนนั้นคุณชายจูเอ่ยวาจาไร้มารยาทกับข้า แต่ข้าที่เพิ่งมาถึงเมืองหลวงเก ก่าจะหาเรื่องใส่ตัวอย่างนั้นหรือ? แม้อาการของบุตรชายท่านจะดูเหมือนสาหัส แต่ถึงกระนั้นก็มิได้บาดเจ็บปางตาย หากรักษาให้ดีไม่เกินครึ่งปีก็หายแล้ว หากมิใช่เพราะความอำมหิตของใต้เ เท้า เกรงว่าศพที่บ้านสกุลจูคงเพิ่มอีกหนึ่ง”
หลินเมิ้งหยาตวาดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ตอนนี้สีหน้าของจูฉีหยุนเคร่งขรึมกว่าเดิมมาก
แต่ถึงแม้คุณชายจูจะไม่ได้ตายด้วยน้ำมือของบิดาตนเอง ทว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
“เข้ามา”
ทันทีที่สิ้นเสียงของนางก็มีคนเดินเข้ามา ในมือของพวกเขาแต่ละคนถือโถสีขาวบริสุทธิ์
“ภายในบรรจุเถ้ากระดูกของคนสกุลจูเอาไว้ ใต้เท้าจู กำลังของข้ามีจำกัด เพื่อจบการสืบสวนให้เร็วที่สุด เจ้าเมืองจึงเผาพวกเขารวมกัน คนของข้าหามาได้เพียงเท่านี้ จริงสิ สมบัติทุกช ชิ้นของสกุลจูถูกทางการริบไปหมดแล้ว ตอนนี้สกุลจูเหลือเพียงพวกเจ้าสามคน ใต้เท้าจู เจ้าต้องคิดให้ดี”
หลินเมิ้งหยาไม่รีบยื่นข้อเสนอให้จูฉีหยุนในทันที ถึงอย่างไรความแค้นนี้ยังต้องชดใช้อีกยาวนาน
ตอนนี้มีสายตาหลายคู่ในเมืองหลวงเก่ากำลังจับจ้องมองนาง
หากนางเคลื่อนไหว คาดว่าคงไม่อาจปิดบังพวกเขาได้ ดังนั้นเมื่อจูฉีหยุนตกลงร่วมมือกับนาง เช่นนั้นนางจะใช้คมมีดนี้ให้ถูกที่
หมุนตัวจากไป จากนั้นจึงมีคนเข้ามาพาพวกเขาไปยังสถานที่พักผ่อน
เมื่อมีจูเซียงเอ๋อร์อยู่ในกำมือ คาดว่าพวกเขาทั้งสองไม่มีทางฆ่าตัวตายอย่างแน่นอน
ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญในการรักษาอาการบาดเจ็บของนางและหลงเทียนอวี้ ยิ่งไปกว่านั้นจั่วชิวอวี้จำเป็นต้องไปเข้าร่วมการแข่งขันของหอป๋ายเฉาแล้ว
เมื่อมีเรื่องหนักอึ้งถาโถมเข้ามาพร้อมกัน นางจึงต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจมากทีเดียว
“ทูลจวิ้นจู่ แม่นางน้อยผู้นั้นเอาแต่ร้องไห้และเอะอะโวยวาย จวิ้นจู่……”
ทันทีที่กลับมาถึงเรือนก็มีผอจื่อเข้ามารายงาน
มองสีหน้าลำบากใจของผอจื่อ บางทีนางอาจรู้ดีว่าฐานะของเด็กคนนั้นค่อนข้างพิเศษ ดังนั้นจึงไม่อาจทุบตีหรือด่าว่าได้
หลินเมิ้งหยาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตามผอจื่อไปยังสถานที่คุมขังจูเซียงเอ๋อร์
ยังไม่ทันเข้าไปในห้องก็ได้ยินเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของเด็กหญิง
หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น
นาง…ไม่รู้ว่าควรรับมือกับเด็กเช่นไร
“พวกเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้! ข้าจะไปหาท่านพ่อ! ข้าจะไปหาท่านแม่! ถอยไป พวกเจ้าเป็นคนเลว ถอยไป!”
เด็กหญิงอายุเพียงเจ็ดแปดขวบแต่กลับต้องเจอเรื่องเลวร้ายถึงเพียงนี้ คาดว่าหัวใจของนางจะต้องเกิดบาดแผลใหญ่อย่างแน่นอน
แต่ใครใช้ให้นางเป็นบุตรสาวสกุลจูกันเล่า นาง…ต้องรับผลการกระทำของบิดาตัวเองให้ได้
หากหลินเมิ้งหยาเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิต เกรงว่าป่านนี้เด็กหญิงคงไม่มีโอกาสได้บันดาลโทสะเช่นนี้
ยืนหน้าประตู หลินเมิ้งหยากวาดตามองด้วยสายตาเย็นชา
“เข้ามา จงเก็บของที่แตกหักพวกนี้ออกไป จงนับจำนวนให้ดี แตกหนึ่งชิ้น โบยบิดาของนางหนึ่งไม้!”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยเสียงเรียบ ทว่าเสียงร้องไห้ของจูเซียงเอ๋อร์กลับหยุดลงทันที
ดวงตากลมโตทั้งสองข้างเหลือบมองหลินเมิ้งหยาด้วยความหวาดกลัว
ไม่รู้ว่าผู้หญิงตรงหน้ามีแผนการอันใด
“เจ้า…เจ้าปล่อยบิดาและญาติผู้พี่ของข้าเดี๋ยวนี้! นางผู้หญิงต่ำช้า!”
เด็กอายุเจ็ดแปดขวบ แม้จะยังไม่โต แต่หากเทียบกับเด็กอายุไล่เลี่ยกันแล้ว นางก็ไม่ถือว่าเด็กจนเกินไป
พุ่งตัวเข้าหาหลินเมิ้งหยา มือทั้งสองกำหมัดแน่นเพราะคิดอยากทุบตีอีกฝ่าย
“หากเจ้าบังอาจแตะต้องตัวข้า ข้าจะให้บิดาของเจ้าต้องชดใช้เป็นสิบเท่า”
สุดท้ายหลินเมิ้งหยาก็ใช้วิธีการข่มขู่เด็กหญิงตรงหน้า
มือของจูเซียงเอ๋อร์ชะงักค้างกลางอากาศ สายตาเคียดแค้นจับจ้องมองหลินเมิ้งหยานิ่ง แต่สุดท้ายแล้วนางก็เลือกที่จะสงบลง
“นั่งเถิด”
เดินอ้อมชิ้นส่วนที่แตกกระจายเหล่านั้น หลินเมิ้งหยาเข้าไปนั่งที่โต๊ะด้วยท่วงท่าสง่างาม
จูเซียงเอ๋อร์ถลึงตามองหลินเมิ้งหยา ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินตามหลินเมิ้งหยาแล้วนั่งลงที่ฝั่งตรงกันข้าม
“เจ้าเกลียดข้า?”
จูเซียงเอ๋อร์พยักหน้าลง แม้นางจะเกลียดชังพวกผอจื่อในจวนแห่งนี้ แต่นางเกลียดผู้หญิงตรงหน้ามากกว่าเป็นร้อยเท่า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือความเกลียด? จูเซียงเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดข้าจึงเลือกจะช่วยเจ้าแทนพวกพี่น้องที่เหลือของเจ้า?”
จูเซียงเอ๋อร์ถูกคำถามนี้หยุดความคิดของตัวเองลง แต่ไม่นานหลินเมิ้งหยาก็เอ่ยต่อ
“นั่นก็เพราะว่าเจ้าเป็นบุตรสาวที่ฉลาดที่สุด แต่คนฉลาดมักมีจุดจบไม่สวย แม้ข้าจะพูดตอนนี้เจ้าก็คงไม่เข้าใจ แต่บุตรสาวที่เกิดมาและได้ความรับความเอ็นดูจากจูฉีหยุนมากมายถึงเพีย ยงนี้ ข้าคิดว่าเจ้าคงมิใช่เพียงเด็กธรรมดาใช่หรือไม่?”
ระบบเซินหนงบันทึกข้อมูลของจูเซียงเอ๋อร์เอาไว้อย่างละเอียด
แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูเหมือนเด็กอายุเจ็ดแปดขวบ แต่ความจริงนางอายุสิบขวบแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเด็กที่ค่อนข้างพิเศษ
อายุห้าขวบสามารถท่องบทกลอนได้
อายุแปดขวบสามารถช่วยใต้เท้าจูจัดการงานในจวนได้
ต่อมาจูฉีหยุนดูแลนางดุจอัญมณีล้ำค่า ไม่ว่าไปที่ใดก็มักจะพานางไปด้วย
ดังนั้นเมื่อเทียบกับเด็กที่มักจะร้องไห้โวยวาย จูเซียงเอ๋อร์จึงมีประโยชน์กว่ามาก
“เจ้า…เจ้าคิดจะทำอะไร?”
หลินเมิ้งหยาคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าจูเซียงเอ๋อร์มีความเป็นผู้ใหญ่เร็วกว่าเด็กทั่วไป
ทว่าไม่นานนางก็เงียบลง ใบหน้าเรียวเล็กแสดงสีหน้าเคร่งขรึมจนหลินเมิ้งหยารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
“เรื่องที่ข้าต้องการจะทำมิใช่เรื่องยาก บิดาของเจ้าสามารถทำสำเร็จได้อย่างแน่นอน แต่จูเซียงเอ๋อร์ ตอนนี้สกุลจูของเจ้าถูกทำลายไปแล้ว ตอนนี้เจ้าหาใช่คุณหนูสูงศักดิ์อีกต่อไป จงจำคำ ำพูดของข้าเอาไว้ให้ดี น้ำตาเปรียบดั่งอาวุธสังหารชั้นดีของผู้หญิงฉลาด แต่ก็เป็นยันต์สั่งตายให้ผู้หญิงที่โง่เขลาได้เช่นเดียวกัน จงจำความแค้นของเจ้าเอาไว้ให้ดี หากคราวนี้เจ้ ารอดไปได้ เช่นนั้นข้ายินดีให้เจ้ากลับมาล้างแค้น”
ทิ้งจูเซียงเอ๋อร์ที่มีสีหน้างุนงงเอาไว้ หลินเมิ้งหยาเชื่อว่าเหตุการณ์เมื่อครู่จะเป็นตัวอย่างที่ดีของนาง
เด็กคนนี้เป็นคนฉลาด คาดว่านางคงไม่ร้องไห้โวยวายอีกแล้ว
กลับไปยังเรือนของตนเองอีกครั้ง ตอนนี้พระจันทร์ลอยเด่นเหนือศีรษะ
“น้องสาว ในที่สุดเจ้าก็กลับมาเสียที หากเจ้ายังไม่กลับมา หลงเทียนอวี้คงทำให้ข้าหิวตายแล้ว”
เพียงผ่านประตูเข้ามา นางก็ได้เห็นสีหน้าท่าทางน่าสงสารของจั่วชิวอวี้
บนโต๊ะมีอาหารวางอยู่มากมาย แต่ไม่ว่าหลงเทียนอวี้หรือจั่วชิวอวี้ก็ล้วนนั่งตัวตรงไม่ยอมแตะต้อง
ราวกับสิ่งของตรงหน้ามิใช่อาหาร แต่เป็นของที่มีไว้เคารพบูชา
“เหตุใดพวกเจ้ายังไม่กินข้าวเล่า?”
นั่งลงข้างโต๊ะ ก่อนจะมีคนนำถ้วยและตะเกียบมาให้
จั่วชิวอวี้รีบพยักหน้าลง เพียงได้เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเขาหิวมากแล้ว
“เอาล่ะ ทุกคนกินข้าวได้ หลงเทียนอวี้ พระองค์ก็กินเถิดเพคะ”
หลงเทียนอวี้ผงกศีรษะลงเบาๆ ก่อนจะคีบอาหารที่นางชอบลงในถ้วยข้าวของอีกฝ่าย
ข้างกายของนางคนหนึ่งคือหลงเทียนอวี้ที่ดูแลเอาใจใส่ตนเองเป็นอย่างดีและจั่วชิวอวี้ที่กำลังบ่นกระปอดกระแปดไม่รู้จบ ในเวลานี้นางรู้สึกราวกับตนเองกำลังกินข้าวอยู่ในครอบครัว ธรรมดาแต่เพียงเท่านั้น
หาใช่วังหลวงที่เปี่ยมไปด้วยกลอุบายชั่วร้าย….