ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 18 บทที่ 515 อ่อนหวานลึกซึ้ง
แม้สิ่งนี้จะสามารถทำให้ประสาทสัมผัสด้านชาได้ แต่ก็ไม่ใช่ยาพิษ
ขอเพียงดื่มน้ำสักสองสามแก้วก็สามารถทำลายฤทธิ์ยาได้แล้ว
หลินเมิ้งหยาเดาเอาไว้อยู่แล้วว่าอวี้อันต้องไล่ตามคนคนนั้นไปไม่ทัน
ที่นี่เปรียบเสมือนบ้านของพวกเขา ดังนั้นอีกฝ่ายย่อมรู้จักสถานที่นี้ดีกว่าอวี้อันที่เป็นคนนอก
“จวิ้นจู่ ให้ข้าน้อยออกไปตามคนมาคุ้มกันพระองค์ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
อวี้อันมีโทสะขึ้นมาบ้างแล้ว หอป๋ายเฉาไม่เพียงทำให้ฝ่าบาทต้องขุ่นข้องหมองพระทัย ตอนนี้แม้แต่จวิ้นจู่เองก็กลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของพวกเขา
คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะบังอาจถึงขั้นเข้ามาสอดแนมจวิ้นจู่และจวิ้นอ๋อง!
บังอาจนัก!
“ไม่จำเป็น ยิ่งคนมาก ข้าก็ยิ่งจับผิดพวกเขาไม่ได้ ต่อจากนี้ไปพวกเราระวังตัวให้มากหน่อยก็พอ”
หลินเมิ้งหยาส่ายหน้าปฏิเสธความหวังดีของอวี้อัน
นางรู้แต่แรกแล้วว่าหอป๋ายเฉาไม่ใช่เพียงเหล็กก้อนหนึ่ง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะอาจหาญชาญชัยเช่นนี้
ก็ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็จะไม่เกรงใจที่จะแสวงหาประโยชน์จากพวกเขา
“แต่หนู่ฉายกลัวว่าพวกเขาจะบังอาจถึงขั้นปีนกำแพงลอบเข้ามาทำร้ายพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
แน่นอนว่าคำพูดของอวี้อันย่อมมีเหตุผล
“อืม ที่นี่คือหอป๋ายเฉา ฉะนั้นคงหนีไม่พ้นเรื่องโดนวางยา นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าของที่พวกเราเอามาหรือของที่พวกเขานำมามอบให้ จงนำมาให้ข้าตรวจสอบก่อนจึงจะใช้ได้”
หลินเมิ้งหยาออกคำสั่ง อวี้อันจึงรีบปฏิบัติตาม
แม้การทำเช่นนี้จะค่อนข้างยุ่งยาก แต่นางมีระบบเซินหนงอยู่ ดังนั้นการวางยาพวกนางคงเป็นเพียงความฝัน
คืนแรกในหอป๋ายเฉา หัวใจของคนทั้งสามหนักอึ้ง
เอนกายนอนลงบนเตียงใหญ่ ไม่ว่าจะนอนอย่างไรก็นอนไม่หลับ
หลินเมิ้งหยาไม่กล้าพลิกตัว เหตุเพราะด้านข้างคือหลงเทียนอวี้ที่ต้องจำใจนอนด้วยกัน
เมื่อลองนับดูแล้ว แม้ทั้งคู่จะแต่งงานกันมาใกล้จะครบปี แต่น้อยครั้งนักที่จะได้นอนด้วยกัน
ดูเหมือนทุกครั้งที่นอนด้วยกันก็เพราะต้องการหลีกเลี่ยงหูตาของผู้อื่น
เหตุเพราะหวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงแย้มยิ้มออกมา
“คิดอะไรอยู่? เหตุใดจึงยิ้มยินดีเช่นนี้เล่า?”
อยู่ๆ เสียงคุ้นหูของหลงเทียนอวี้พลันดังขึ้นจากด้านหลัง วงแขนที่คุ้นเคยเองก็โอบรอบตัวของนาง
แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกเขากอด แต่หลินเมิ้งหยาก็ใจเต้นระรัวอย่างอดไม่ได้
“ไม่มีอะไรเพคะ หม่อมฉันเพียงนึกถึงเรื่องในอดีตเท่านั้น ท่านอ๋อง หากพวกเรากลับไปต้าจิ้นแล้ว พวกเราต้องเข้าร่วมศึกแย่งชิงบัลลังก์ทันทีหรือไม่เพคะ?”
เพียงได้ยินน้ำเสียงหงอยเหงาของนาง หลงเทียนอวี้ออกแรงกอดร่างบางแน่น
เขาอยากเลี้ยงดูนางให้อ้วนฉุ แต่เขามักทำให้นางทุกข์ใจเสมอ
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อไปถึงต้าจิ้นแล้วต้องเปิดศึกกับฮองเฮาและไท่จื่อ หลงเทียนอวี้ก็รู้สึกอดรนทนไม่ไหว
“ข้าเองก็ไม่อยากให้เจ้าเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ เมิ้งหยา เจ้าคิดว่าเมืองหลินเทียนเป็นเช่นไร?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ของเขา หลินเมิ้งหยาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงอ่อนโยน
“ทิวทัศน์เมืองหลินเทียนงดงามราวภาพวาด หม่อมฉันชอบทุกอย่างที่นี่ แต่ติดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็เอี้ยวหน้ากลับมา ดวงตาทั้งสองประสานกัน ริมฝีปากสีเชอรี่เผยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ที่นี่หาใช่บ้านของหม่อมฉันไม่”
ดวงตาสองคู่ประสานกัน หลงเทียนอวี้อ่านความคิดของนางผ่านแววตา
หัวใจสั่นไหว ที่แท้นางก็รู้ทุกอย่าง
“ข้า….”
มือเล็กยื่นขึ้นปิดริมฝีปากของเขา
ระหว่างพวกเขาทั้งคู่ เรื่องบางเรื่องมิจำเป็นต้องพูด เหตุเพราะพวกเขาสามารถรับรู้ได้ด้วยหัวใจ
ริมฝีปากถูกปิดด้วยมือเล็กของนาง หลินเมิ้งหยาส่งผ่านความรู้สึกของนางไปถึงเขา
มองการกระทำราวกับเด็กของนาง หลงเทียนอวี้หยักยิ้มอ่อนโยน
ใช่แล้ว มีเพียงต้าจิ้นที่เป็นบ้านของพวกเขา
แม้จะต้องเผชิญลมฝนสักเท่าไร แต่พวกเขาก็ต้องกลับบ้าน
แสงแดดส่องเข้ามาในห้อง คนทั้งสองนอนหลับฝันหวานบนเตียง
“จวิ้นจู่ ท่านอ๋อง ถึงเวลาตื่นบรรทมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ที่ด้านนอก อวี้อันเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคารพเพื่อปลุกพวกเขาทั้งสอง หลินเมิ้งหยาจึงตื่นจากความฝัน
ทันทีที่ลืมตาก็ได้เห็นใบหน้ายามหลับสนิทของหลงเทียนอวี้
ความคิดชั่วร้ายผุดขึ้น นางคิดอยากแกล้งบีบจมูกของเขา แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามือเล็กจะถูกมือหนาจับเอาไว้ทันทีที่เข้าใกล้ใบหน้าหล่อเหลา
ขณะเดียวกัน ดวงตาของเขาลืมกว้าง หลงเทียนอวี้กระตุกยิ้ม
หลินเมิ้งหยาคิดอยากดึงมือกลับ ทว่าหลงเทียนอวี้กลับยิ้มน้อยๆ พร้อมทั้งดึงร่างนางเข้าหาอ้อมกอด
“ไอหยา พระองค์ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ถูกหลงเทียนอวี้กดตัวเอาไว้ หลินเมิ้งหยาจึงทุบแผงอกเขาเบาๆ
ราวกับเดาเอาไว้แล้ว หลงเทียนอวี้จึงหัวเราะ
“ข้าเองก็เพิ่งตื่น เจ้าคิดจะทำอะไรกัน?”
จับมือเล็กของนางราวกับมิได้ออกแรง
ทว่าตอนนี้หาใช่เวลาเล่นไม่
“ฮึ ขี้งก! อวี้อัน เจ้าไปเตรียมอาหารเช้าก่อนเถิด อีกเดี๋ยวข้ากับท่านอ๋องจะตามไป”
หลินเมิ้งหยาส่งเสียงพึมพำก่อนจะดันตัวเองลุกขึ้น
แต่เพราะลุกขึ้นได้ไม่ดีนัก ดังนั้นนางจึงเกือบจะล้มเข้าหาอ้อมกอดของหลงเทียนอวี้อีกครั้ง
แต่มือขวาที่ไม่รู้ว่าสามารถใช้งานได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ยื่นออกไปรั้งร่างของตนเองเอาไว้
“เป็นอะไร….มือของเจ้า! มือของเจ้าขยับได้แล้ว!”
หลงเทียนอวี้มีปฏิกิริยาตอบสนองมากกว่าหลินเมิ้งหยาเสียอีก ดวงตาที่เบิกกว้างจ้องแขนขวาที่ใช้ค้ำยันตัวเองของหลินเมิ้งหยา
กะพริบตาปริบๆ หลินเมิ้งหยาเพิ่งรู้ว่าแขนขวาของตนเองขยับได้แล้ว!
“มือ….มือของหม่อมฉัน…”
อึ้งงันอยู่กับที่ สายตาจับจ้องมองแขนขวาของตนเองนิ่ง
ช่วงที่ผ่านมานางใช้ชีวิตด้วยแขนเพียงข้างเดียว ดังนั้นจึงรู้สึกไม่สะดวกเท่าไรนัก
ทรุดตัวลงบนเตียง สายตายังคงจ้องมือของตนเอง
“คิดไม่ถึงเลยว่ายาของผู้อาวุโสฉางจะยอมเยี่ยมถึงเพียงนี้ เป็นเช่นไร? ยังเจ็บหรือไม่?”
หลงเทียนอวี้ยืนตรงหน้านางด้วยความดีใจ เขาดูดีใจกว่านางหลายเท่านัก
บางทีอาจเพราะยาที่ใช้ทรมานมากเหลือเกิน หรือบางทีอาจเพราะหลงคิดไปแล้วว่ามือของตนเองไม่อาจใช้งานได้อีก
อยู่ๆ ขอบตาของนางก็ร้อนผ่าว หยดน้ำตาพลันรินไหลลงบนมือขวาของตัวเอง
“เด็กโง่ ร้องไห้ทำไมเล่า อีกไม่นานก็หายแล้ว วางใจเถิด เจ้าจะต้องหายดีอย่างแน่นอน”
หลงเทียนอวี้ใช้มือหนาปาดน้ำตาให้นาง
เขาหวังเหลือเกินว่านางจะหายดี
“เพคะ มันจะต้องหายดี”
ตลอดเวลาที่ผ่านมานางมักเก็บซ่อนความหวาดกลัวของตัวเอง แต่ในที่สุดนางก็โล่งใจได้เสียที
อันที่จริงหลินเมิ้งหยามิได้มีความสุขเหมือนอย่างที่แสดงออก
เหตุเพราะหากนางยังรักษาไม่หาย เกรงว่าแขนขวาคงไม่อาจกลับมาใช้งานได้อีกแล้ว
แต่ตอนนี้แขนของนางกลับมาใช้งานได้แล้ว เช่นนั้นจะไม่ให้นางตื่นเต้นได้อย่างไร?
“นี่เจ้าทำให้เปี่ยวเม่ยของข้าร้องไห้แต่เช้าเลยหรือ เมิ้งหยา…มือของเจ้า!”
เสียงเอื่อยเฉื่อยดังขึ้นจากทางด้านหลัง แต่อยู่ๆ เสียงนั้นก็แหลมสูง
ราวกับฟ้าถล่มดินทลายตรงหน้า เหตุเพราะหลินเมิ้งหยากำลังใช้มือขวาโบกมือทักทายจั่วชิวอวี้
“อืม วันนี้ตอนเช้าเพิ่งพบว่าขยับได้แล้ว เปี่ยวเกอช่วยข้าดูหน่อยเถิดว่าใกล้จะหายดีแล้วใช่หรือไม่?”
หลังจากช่วงเวลาตื่นเต้นผ่านไป หลินเมิ้งหยากลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง
จั่วชิวอวี้รีบสาวเท้าเข้าไปหยุดตรงหน้าหลินเมิ้งหยา
จากนั้นจึงเริ่มทำการตรวจสอบ
“บริเวณที่ได้รับบาดเจ็บกลับมาสมานกันดั่งเดิมแล้ว แขนขวาของเจ้าใกล้จะหายแล้ว!”
ทุกครั้งที่หลินเมิ้งหยาใช้ยาฮั่วหลิงชิงอวี้ นางรู้สึกทรมานจนอยากตาย จั่วชิวอวี้เห็นทุกอย่างกับตาของตนเอง
ดังนั้นเมื่อตอนนี้อาการของนางดีขึ้นแล้ว เขาจึงรู้สึกดีใจแทนนาง
“อืม ข้าเองก็คิดเช่นนั้น เมื่อก่อนแขนข้างนี้ไร้ความรู้สึก แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเจ็บขึ้นมาอีกครั้งแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังมิเหมือนก่อน”
ยาฮั่วหลิงชิงอวี้น่าพิศวงยิ่งนัก เมื่อวานตอนที่ทานางไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้ความทรมานราวกับตกนรกจบลงแล้วชั่วคราว
ทว่าหลินเมิ้งหยายังไม่ทันจะดีใจ จั่วชิวอวี้ก็แสดงสีหน้ารู้สึกผิด ก่อนจะหยิบยาขวดหนึ่งออกมา
“นี่…คืออะไร?”
หลินเมิ้งหยามองยาขวดเล็กในมือของเขา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความกังวลใจ
“แฮะ แฮะ นี่คือยาชนิดใหม่ที่ข้าขอมาให้เจ้า เหตุเพราะผู้อาวุโสฉางเห็นว่าเจ้าสามารถอดทนต่อความเจ็บปวดได้เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังต้องการรีบทำให้แขนของตัวเองกลับมาหาย ยดีเป็นปกติ ดังนั้นเขาจึงปรุงยาชนิดใหม่ขึ้นมา แต่เจ้าวางใจเถิด ยาขวดนี้ไม่มีฤทธิ์รุนแรงเหมือนอย่างยาฮั่วหลิงชิงอวี้ แต่ว่า….”
คำว่าแต่ว่าทำให้หลินเมิ้งหยาอยากเข้าไปฆ่าเขาให้ตาย
ไม่มีส่วนผสมของยาฮั่วหลิงชิงอวี้? เท่าที่นางดู คาดว่าผู้อาวุโสฉางและจั่วเทียนอวี้คงกำลังอยากล่วงรู้ขีดจำกัดความทรมานของนางแล้ว
หลงเทียนอวี้ที่ไม่รู้เรื่องอะไรกลับคิดว่าญาติพี่น้องสองคนนี้มีบางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนไป
หยิบยาบนโต๊ะขึ้นมา หลงเทียนอวี้หันไปมองพวกเขาทั้งสองด้วยสายตางุนงง
“ยานี่ผิดปกติอะไรอย่างนั้นหรือ?”
หากมันส่งผลต่อร่างกายอย่างรุนแรง เช่นนั้นเขาไม่มีทางให้หลินเมิ้งหยาใช้
ทว่าหลินเมิ้งหยาล่วงรู้ความคิดของเขาดี ดังนั้นจึงรีบชิงตอบแทนจั่วชิวอวี้
“ไม่มีอะไร! เพียงแค่…เพียงแค่ขมเกินไปเท่านั้น”
ส่งเสียงลอดไรฟัน ดูเหมือนนางจะขุดหลุมฝังตัวเองเสียแล้ว
หลงเทียนอวี้ยิ้มเอ็นดู สายตาที่มองนางเหมือนสายตาผู้ใหญ่ที่กำลังมองเด็กซุกซน
“ข้าก็คิดว่ามีอะไรเสียอีก ข้าจะไปหาเย่เพื่อสั่งให้เขาทำทำน้ำหวานมามาให้เจ้า กว่าแขนของเจ้าจะหายนั้นไม่ง่ายเลย เช่นนั้นเจ้าต้องกินยาเข้าใจหรือไม่?”