ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 18 บทที่ 517 กล่องปริศนา
กว่าจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเช้าวันใหม่แล้ว
หลินเมิ้งหยาลืมตาขึ้นอย่างเหม่อลอย เมื่อหันไปด้านข้างก็พบหลงเทียนอวี้ที่กำลังนั่งหลับอยู่
ความทรงจำหวนกลับเข้ามาในสมองอีกครั้ง ดูเหมือนว่าหลงเทียนอวี้จะมาเห็นตอนที่นางกินยาเข้าไป
แลบลิ้นออกมาอย่างซุกซน นางไม่อยากให้หลงเทียนอวี้รู้เรื่องนี้
“ฟื้นแล้วหรือ? ยังเจ็บอยู่หรือไม่? หิวหรือไม่?”
เพียงยันตัวลุกขึ้นนั่งก็ทำให้เขาตกใจตื่นเสียแล้ว
หลินเมิ้งหยาพบว่ามือขวาของนางถูกเขากุมเอาไว้แน่น
ฉะนั้นเขาจึงจับการเคลื่อนไหวของนางได้
มองดวงตาที่มีเส้นเลือดสีแดงแตกระแหงของเขา หลินเมิ้งหยาส่ายหน้าเบาๆ
“หม่อมฉันสบายดีเพคะ พระองค์ต่างหากที่ร่างกายไม่แข็งแรง เหตุใดจึงไม่นอนหลับพักผ่อนกันเล่า?”
หลงเทียนอวี้จ้องนางตาไม่กะพริบ เมื่อมั่นใจแล้วว่านางไม่เป็นอะไร เขาจึงวางใจ
“ข้ากลัวเจ้าเจ็บ”
มือหนาบีบไหล่ขวาของนางเบาๆ เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เขาจึงประคองนางขึ้นมา
ภาพที่นางดิ้นพล่านบนพื้นยังคงติดตรึงอยู่ในหัวของเขา
เขานึกภาพที่นางต้องเจ็บปวดทรมานเช่นนี้ทุกวันไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
ประคองนางนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะเทน้ำอุ่นให้แล้วยื่นไปแตะริมฝีปากล่างของนาง
สายตาของเขาราวกับถูกสะกด ไม่อาจเคลื่อนคล้อยออกจากใบหน้าของหลินเมิ้งหยาได้
“หม่อมฉันไม่เจ็บแล้วเพคะ ไม่เจ็บแล้วจริงๆ”
หลินเมิ้งหยายิ้มไม่ได้หัวเราะไม่ออก แม้ว่านางจะรู้สึกอบอุ่นใจเพียงใดก็ตาม
ปลอบโยนหลงเทียนอวี้เสียงแผ่ว ราวกับความเจ็บปวดเหล่านั้นเกิดขึ้นกับหลงเทียนอวี้มิใช่นาง
“เจ้าอย่ากินยาขนิดนี้อีกต่อไปจะดีกว่า ค่อยเป็นค่อยไปเถิด แม้เจ้าจะต้องการเร่งรีบรักษาอาการบาดเจ็บที่ไหล่ขวา แต่หากเจ้าต้องทนทรมานเช่นนี้ทุกวัน ข้าคิดว่ามันไม่คุ้มค่าเลยแม้แต่น้อย”
หลินเมิ้งหยาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง โชคดีที่หลงเทียนอวี้ยังไม่รู้ว่าเหตุที่นางต้องเร่งรักษามือขวาให้หายดีก็เพราะต้องใช้วิชาควบคุมเข็มรักษาเขา
จ้องหน้าเขานิ่ง ดวงตากลมโตแสดงท่าทางน่าสงสาร
“หม่อมฉันรู้ว่าพระองค์เป็นห่วง แต่อวี้เปี่ยวเกอบอกว่ายิ่งปล่อยไว้นาน แขนหม่อมฉันก็จะยิ่งมีปัญหา”
หลงเทียนอวี้กุมมือเล็กของอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะชิงเอ่ย
“ไม่เป็นไร หากแขนของเจ้ากลับมาใช้งานไม่ได้อีก เช่นนั้นข้าจะเป็นแขนขวาให้เจ้าเอง”
หลินเมิ้งหยามองท่าทางกังวลของเขา หัวใจอ่อนยวบ
ดวงตาคู่สวยสอดประสานดวงตาคมกริบของเขา ภายในแววตามีเพียงความอ่อนโยน
“แต่ถ้าหากแขนขวาของหม่อมฉันใช้งานไม่ได้อีก เช่นนั้นวิชาแพทย์ของหม่อมฉันก็ไม่อาจใช้งานได้เช่นเดียวกัน ท่านอ๋อง หม่อมฉันเป็นหมอ หากแขนของหม่อมฉันหายดี เช่นนั้นก็นับเป็นโชคของหม่อมฉัน ยิ่งไปกว่านั้นหม่อมฉันแบกรับความทรมานแค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น จั่วชิวอวี้เคยบอกว่าหากยาออกฤทธิ์เมื่อไร เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะไม่รู้สึกเจ็บแล้ว เชื่อหม่อมฉันเถิดนะเพคะ หม่อมฉันไม่มีทางได้รับอันตรายใดๆ”
หากหลินเมิ้งหยาดึงดันว่าจะใช้ยานี้ เกรงว่าหลงเทียนอวี้จะยิ่งดื้อดึงมากกว่านาง
ดังนั้นนางจึงจะทำให้เขาใจอ่อน ยิ่งนางเอื้อนเอ่ยด้วยความอ่อนโยนเช่นนี้ เขาก็ยิ่งไม่อาจปฏิเสธคำขอของนางได้
ลอบถอนหายใจในใจ ดูเหมือนเขาจะเจอคนหัวดื้อเข้าให้แล้ว
“เจ้า…เฮ้อ…”
หลงเทียนอวี้ใช้สายตาเอื้อเอ็นดูมองนาง ยิ่งได้เห็นท่าทางดีใจของอีกฝ่าย เขายิ่งรู้สึกว่าแม้บนโลกนี้จะมีหญิงสาวพราวเสน่ห์มากมาย แต่ก็ไม่มีผู้ใดทำให้เขาใจเต้นได้เหมือนนาง
“ขอบพระทัยเพคะ”
จุมพิตหน้าผากของเขาด้วยท่าทางซุกซน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าใบหน้าของนางจะถูกมือหนาเอื้อมมาจับเอาไว้
หลินเมิ้งหยาที่เกือบจะถูกขโมยลมหายใจไปจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาเปี่ยมโทสะ
แต่ถึงแม้จะพยายามแสร้งแสดงท่าทางโกรธเกรี้ยวเพื่อกลบความเขินอาย ทว่านางไม่อาจเก็บซ่อนรอยยิ้มที่หางตาเอาไว้ได้
“ชิ ชิ ชิ ข้ารู้แล้วว่าพวกเจ้าทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน แต่หากจะพลอดรักกันแล้วล่ะก็ อย่างน้อยก็ควรปิดประตูมิใช่หรือ!”
เสียงค่อนแคะพลันดังขึ้นที่หน้าประตู หลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนมาเห็นเข้า
แก้มนวลแดงระเรื่อ ดวงตาคู่สวยถลึงใส่หลงเทียนอวี้
ไม่ง่ายเลยที่จะได้เห็นท่าทางขวยเขินของนางเช่นนี้
ผิดกับหลงเทียนอวี้ที่ไร้ซึ่งความเขินอาย เขาปรายตามองจั่วชิวอวี้ ก่อนจะเอ่ยเพียงประโยคเดียว
“มีอะไร?”
น้ำเสียงเผยอารมณ์หมดความอดทนอย่างชัดเจน จั่วชิวอวี้หลบสายตาที่ต้องการจะสื่อว่าหากไม่มีเรื่องด่วนก็จงรีบไสหัวไปของหลงเทียนอวี้
ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะเอ่ย
“ข้ามีธุระอย่างแน่นอน เฮ้อ ตอนแรกก็คิดว่าชีวิตของพวกเจ้ากำลังตกอยู่ในอันตราย ไฉนเลยจะรู้ว่าพวกเจ้าจะมอบความรักหวานซึ้งตรึงใจให้กันและกันเช่นนี้”
คนทั้งสองเข้าใจความหมายประโยคหลังของเขาดี ดังนั้นจึงส่งสายตาเย็นชาไปให้เขา
“มีเรื่องอะไรก็รีบพูดมา ถ้าไม่มีก็ไสหัวไปซะ”
หลินเมิ้งหยาไม่ไว้หน้าอีกฝาย ดูท่าเขาจะลืมนิสัยที่แท้จริงของนางไปเสียแล้ว
จั่วชิวอวี้ไม่กล้าล้อเล่นอีกต่อไป ขณะที่เขาเดินเข้ามาในห้อง มือของเขาถือกล่องไม้กล่องหนึ่งเข้ามาด้วย
ลวดลายบนกล่องไม้งดงามโดดเด่น ทว่าด้านบนมีตัวอักษรที่พวกเขาคุ้นตาเป็นอย่างดี…หอป๋ายเฉา
“นี่คือสิ่งใด?”
หลินเมิ้งหยาหยิบกล่องไม้อันนั้นมาตรวจสอบ อย่าว่าแต่น้ำหนักที่เบาหวิวเลย แม้ของสิ่งนี้จะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่กลับไร้ซึ่งรอยแยก
แปลก หรือมันจะเป็นเพียงกล่องไม้ธรรมดา?
“นี่คือหัวข้อการแข่งขันที่ข้าได้รับในคราวนี้ กล่องอันนี้ถูกเรียกว่ากล่องปริศนา ต้องใช้วิธีพิเศษในการเปิดออก หัวข้อการทดสอบอยู่ภายในกล่อง หากก่อนพระอาทิตย์ตกดินยังเปิดไม่ออกแล้วล่ะก็ เช่นนั้นก็จะถูกปรับแพ้”
“ข้าเคยได้ยินมาว่าหากใช้แรงเปิดจากทางด้านนอก สิ่งที่อยู่ภายในจะถูกทำลาย”
หลงเทียนอวี้พูดเสริม สีหน้าของจั่วชิวอวี้จึงยิ่งไม่น่ามอง
ฟาดมือลงบนโต๊ะเสียงดัง เขารู้อยู่แล้วว่าคนพวกนั้นไม่มีทางปล่อยให้เขาผ่านด่านเข้าไปได้ง่ายๆ แต่ใครจะคิดเล่าว่าพวกเขาจะใช้วิธีเช่นนี้
แม้ภายนอกจะดูเหมือนยุติธรรม แต่เกรงว่าลับหลังพวกเขาคงกำลังหัวเราะเยาะจั่วชิวอวี้อยู่
“มันจะยากสักเท่าไหร่กันเชียว แต่ถึงกระนั้นคนที่คิดสิ่งนี้ขึ้นมาได้ก็เก่งกาจยิ่งนัก”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจั่วชิวอวี้ถูกคนพวกนั้นขัดแข้งขัดขา
ทว่าหลินเมิ้งหยาเป็นใครกันเล่า? นางมีระบบเซินหนงคอยช่วยเหลือเชียวนะ
โหมดแสกนเปิดขึ้นอัตโนมัติ นางเห็นสิ่งที่อยู่ภายในอย่างชัดเจน
กล่องปริศนาชิ้นนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก แต่ความลับของสลักที่อยู่ภายในซับซ้อนกว่ามาก
แน่นอนว่าระบบเซินหนงคิดหาวิธีแกะสลักนั้นออกมาหลายวิธี ยิ่งไปกว่านั้นยังมีรายละเอียดชัดเจน
“เป็นอย่างไร? เจ้าพอมีวิธีหรือไม่?”
จั่วชิวอวี้ไม่เคยสงสัยในสติปัญญาของญาติผู้น้อง แต่ของเล่นที่แม้แต่คนทั้งหอป๋ายเฉายังต้องปวดเศียรเวียนเกล้าจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยของนางจริงหรือ?
“ของชิ้นนี้มิได้มีความซับซ้อน แต่สิ่งที่อยู่ภายในเหมือนจะผิดปกติ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเมิ้งหยา พวกเขาทั้งสองสบตากัน
แม้ว่าหลินเมิ้งหยามักเอ่ยถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่สุดท้ายแล้วนางก็มักจะมีหลักฐานยืนยันคำพูดของตนเองเสมอ
ดังนั้นเมื่อนางบอกว่าผิดปกติ เช่นนั้นมันจะต้องไม่ปกติอย่างแน่นอน
“ข้าเห็นคนอื่นๆ นำออกมาแล้ว เป็นเพียงกระดาษแผ่นหนึ่ง หรือข้างในจะมีปริศนาอะไรอีก?”
จั่วชิวอวี้เอ่ยถามเสียงเข้ม ทว่าหลินเมิ้งหยากลับมีท่าทางเหม่อลอย
จั่วชิวอวี้จึงร้องเรียกนางเสียงดัง หลินเมิ้งหยาจึงได้สติกลับมา
นางถอนหายใจเล็กน้อย ทว่าเพียงพริบตาเดียว สายตาของนางก็เปลี่ยนไป
“ใครเป็นผู้มอบมันให้แก่เจ้า?”
หลินเมิ้งหยามองจั่วชิวอวี้ด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหตุใดเขาจึงโชคดีถึงเพียงนี้
เมื่อครู่นางลองหาค้นหาสิ่งนี้ในตำราชิงเจิงผู่ ปรากฏว่าไม่รู้ว่าผู้อาวุโสคนก่อนต้องการเล่นตลกอันใด
คาดว่าพวกหนานรุ่ยจะต้องร้องไห้ไม่ออกอย่างแน่นอน
“ข้าเป็นคนเลือกมันเอง แต่เพราะข้าไปถึงช้าเกินไป ดังนั้นของที่ดีหรือง่ายก็ถูกพวกเขาเอาไปหมดแล้ว ฉะนั้นข้าจึงได้ของสิ่งนี้กลับมา แต่เหตุใดท่าทางของเจ้าราวกับรู้ว่าสิ่งที่อยู่ภายในคืออะไร?”
การสุ่มเลือกกล่องปริศนาเป็นเพียงสีสันของงานเท่านั้น มิเช่นนั้นตู้จ่งคงไม่บังเอิญพาเขาไปผิดที่
กว่าเขาจะไปถึงงาน ทุกคนก็เลือกสรรกันเสร็จหมดแล้ว
แต่ไม่มีใครรู้เลยว่ากล่องไม้อันนี้จะมีของล้ำค่าอยู่ภายใน
“เจ้าได้ของชิ้นใหญ่มากทีเดียว ที่นี่มีอุโมงค์น้ำแข็งหรือไม่? เจ้าจงไปเตรียมด้ายทองมาให้ด้วย ข้าจำเป็นต้องใช้มัน”
แม้ไม่รู้ว่าหลินเมิ้งหยาต้องการจะทำอะไร แต่เมื่อได้เห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจของนางแล้ว จั่วชิวอวี้ก็อดที่จะมีความหวังไม่ได้
ตลอดหลายวันที่ผ่านมานางไม่เคยทำให้เขารู้สึกผิดหวัง
ครั้งนี้ก็เหมือนกัน!
เพื่อปิดหูปิดตาผู้อื่น ทั้งสามจึงพาอวี้อันไปยังอุโมงค์น้ำแข็ง
คาดว่าอวี้อันต้องมีพรสวรรค์ในการสืบค้นมาแต่กำเนิด ทั้งที่มาอยู่ที่นี่เพียงสองวัน แต่เขากลับรู้จักที่แห่งนี้ทั่วทุกมุมแล้ว
ถึงอย่างไรการแย่งชิงอำนาจก็เป็นของเจ้านาย ส่วนพวกบ่าวรับใช้อย่างเขาก็ต้องหาทางเอาชีวิตรอดต่อไป
อวี้อันเป็นคนฉลาดเฉลียวในการพูด เขาจึงผูกมิตรกับคนอื่นได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นเส้นทางที่เขาพามาจึงเป็นเส้นทางที่แม้แต่ลูกศิษย์ของหอป๋ายเฉาที่อยู่อาศัยที่นี่มาครึ่งเดือนก็ยังไม่รู้จัก
มองตามอวี้อันที่กำลังเดินเข้าไปเปิดประตูอุโมงค์น้ำแข็ง
พวกหลินเมิ้งหยาอึ้งงัน ทว่าอวี้อันกลับส่งยิ้มเขินอายให้พวกเขา
“ได้ยินมาว่าผลไม้สดของหอป๋ายเฉาล้วนเก็บเอาไว้ที่นี่ ข้าน้อยก็เลย…”
อวี้อันก้มหน้าลง ดูเหมือนผลไม้ที่พวกเขาได้กินตลอดสองวันจะลำบากอวี้อันไม่น้อย…