ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 18 บทที่ 520 ละครตลกจบลง
หลินเมิ้งหยาโบกตรามังกรทมิฬไปมา เห็นได้ชัดเจนว่านางกำลังหมายถึงอะไร
นางรู้ความลับทั้งหมดนี้มาจากจั่วชิวเฉิน!
ดังนั้นสีหน้าของพวกผู้อาวุโสจึงยิ่งไม่น่ามอง ราวกับพวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่าฮ่องเต้หนุ่มพระองค์นั้นจะรู้เรื่องนี้
เช่นนั้นยังมีความลับใดอีกบ้างที่ฮ่องเต้ไม่รู้?
เมื่อสามารถข่มขวัญพวกเขาได้ สิ่งที่จะทำต่อจากนี้ก็ง่ายขึ้นแล้ว
“ลูกศิษย์ของข้า! ชีวิตของเจ้าขมขื่นนัก เจ้ามาด่วนจากไปเช่นนี้ แล้วอาจารย์อย่างข้าจะมีชีวิตต่อไปอย่างไร!”
เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ตรงหน้าถูกหลินเมิ้งหยาควบคุมเอาไว้ได้แล้ว เฉียนอวี้หมิงจึงรีบร้องคร่ำครวญอีกครั้ง
ส่งเสียงโอดครวญปานจะขาดใจ หากไม่รู้ว่าเขาเป็นคนมอบความตายให้แก่ลูกศิษย์ด้วยตนเอง หลินเมิ้งหยาคงเชื่อการแสดงของเขาไปแล้ว คาดว่าเขาคงอยู่ที่นี่มานานมากแล้ว ดังนั้นจึงแสด ดงละครออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นนี้
เมื่อเห็นว่าไร้ประโยชน์ ดังนั้นเฉียนอวี้หมิงจึงยิ่งร้องไห้ดังขึ้น
หลินเมิ้งหยาเหลือบไปเห็นสายตาสะใจที่เห็นผู้อื่นมีความทุกข์ของตวนมู่หยางอย่างไม่ตั้งใจ ดูเหมือนความสัมพันธ์ของพวกเขาจะซับซ้อนกว่าที่นางคิด
ดูเหมือนตู้จ่งจะถูกหลอกใช้ให้เป็นคนเปิดกล่องปริศนาแต่แรก
เฉียนอวี้หมิงอำมหิตยิ่งนัก!
“แม้เขาจะตายจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ทำตัวเองทั้งสิ้น ทว่า…ข้าแปลกใจอยู่เรื่องหนึ่ง ผู้อาวุโสเฉียน ปกติแล้วใครเป็นผู้เก็บกุญแจกล่องปริศนาอย่างนั้นหรือ ?”
แม้คนเหล่านี้คิดจะกำจัดจั่วชิวอวี้ แต่น่าเสียดายที่พวกเขาใช้เพียงแผนตื้นๆ
เริ่มจากมอบกล่องปริศนาให้อวี้เปี่ยวเกอ
ทว่ากุญแจภายในกล่องนี้ก็ถือเป็นของอีกชิ้นหนึ่งที่สามารถรับช่วงต่อตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดแห่งป๋ายเฉาได้
ดังนั้นคนเหล่านี้จึงกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้จากการที่พวกเขามาปรากฏตัวในทันทีที่เกิดเรื่อง
นอกจากผู้อาวุโสฉางที่พักอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลแล้ว คาดว่าคนที่เหลือคงเตรียมตัวอยู่นานแล้ว
แต่สิ่งที่พวกเขาอยากได้ยินคงเป็นจั่วชิวอวี้ตายเพราะเปิดกล่องปริศนามากกว่า
น่าเสียดาย เฉียนอวี้หมิงขี้ขลาดและโง่เขลาเกินไป ดังนั้นเขาจึงถูกนางใช้ประโยชน์
แต่การตายของตู้จ่งก็สร้างปัญหาไม่น้อย
“คือ…กุญแจกล่องปริศนา…พวกเราหามันมาตลอด แต่ไม่มีใครหาเจอ บางทีอาจมีคนเก็บซ่อนมันเอาไว้ จวิ้นจู่ คนผู้นี้ตายต่อหน้าพวกท่าน เช่นนั้นพวกจวิ้นจู่พอจะอธิบายเรื่องนี้ให้ พวกเราฟังได้หรือไม่?”
คนที่พูดคือตวนมู่หยางที่นับว่าฉลาดเฉลียวมากทีเดียว
นับตั้งแต่วันที่เข้าไปทักทายพวกหลินเมิ้งหยาแล้วถูกนางไล่ตะเพิดออกมา ไม่รู้ว่าตวนมู่หยางได้รับคำชี้แนะจากใคร ดังนั้นเขาจึงปฏิบัติต่อหลินเมิ้งหยาอย่างมีมารยาทยิ่งนัก
ถึงขั้นเรียกนางว่าจวิ้นจู่ทุกคำ สีหน้าเองก็ดีกว่าแต่ก่อนมาก
“ชายคนนี้ตายเพราะเปิดกล่องปริศนา มีอะไรหรือ? เขาแอบขโมยกุญแจออกมาเพื่อเปิดกล่องปริศนา หรือว่าความเห็นแก่ตัวของเขาก็เป็นความผิดของพวกข้า?”
หลินเมิ้งหยากวาดสายตาเย็นชา แววตาแสดงให้เห็นว่าความอดทนกำลังจะหมดไปแล้ว
ตวนมู่หยินที่ยืนข้างกายตวนมู่หยางตลอดเวลาพ่นลมหายใจพรืดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
“บางทีลูกศิษย์ผู้เคราะห์ร้ายคนนี้อาจเป็นตัวตายตัวแทนของผู้อื่นก็เป็นได้ ข้าเคยได้ยินมาว่าสกุลหลินแห่งต้าจิ้นมีวิธีฆ่าคนไม่เหมือนผู้อื่น ฮึ เจ้าเป็นถึงบุตรสาวของแม่ทัพหลิน เ เช่นนั้นจะไม่รู้วิธีการเหล่านั้นเชียวหรือ?”
ตวนมู่หยินส่งเสียงแหบแห้ง แต่หลินเมิ้งหยาที่ได้ยินคำพูดของเขาเริ่มมีโทสะขึ้นมาบ้างแล้ว
ตาเฒ่าคนนี้มีตาขาวมาก ตาดำน้อย แม้ใบหน้าจะคล้ายคลึงกับตวนมู่หยาง ทว่าสายตาท่าทางกลับน่ารังเกียจยิ่งนัก
ทันทีที่เขาเอ่ยออกมา ความอบอุ่นพลันลดลงไปกะทันหัน
ลูกศิษย์หลายคนหันไปมองตวนมู่หยิน ก่อนจะรีบแสดงท่าทางเคารพเพราะความหวาดกลัว
ยิ่งไปกว่านั้น แม้เขาจะเป็นคนพูดน้อย แต่ทุกคำพูดไม่ต่างอันใดจากเข็มที่พุ่งทิ่มแทงหลินเมิ้งหยา
สุดท้ายสถานการณ์พลันเปลี่ยนไปเพราะคำพูดไม่กี่คำของเขา
แต่หลินเมิ้งหยาพบว่าแม้หนานรุ่ยจะได้ความเคารพสูงสุดในหอป๋ายเฉา แต่เมื่อตวนมู่หยินเอ่ยออกมากลับไม่มีผู้อาวุโสคนใดกล้าเอ่ยขัดเขา แต่แน่นอนว่ายกเว้นฉางเทียนหัว
แปลก? หรือตวนมู่หยินคนนี้จะมิใช่คนธรรมดา?
“ใช่แล้ว ลูกศิษย์ของข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ เขามีความซื่อสัตย์ซื่อตรงและไม่เคยทำตัวไม่เหมาะสม บางทีเขาอาจถูกใครหลอกใช้จนต้องมาเป็นตัวตายตัวแทน”
ทั้งที่กุญแจอยู่ในมือตู้จ่ง แต่เขากลับพูดจาให้ร้ายพร้อมทั้งชี้หน้าหลินเมิ้งหยา
หลินเมิ้งหยารู้สึกประหลาดใจ เหตุใดคนอย่างเฉียนอวี้หมิงจึงเชื่อฟังคำพูดของตวนมู่หยินเล่า?
เมื่อตวนมู่หยินเอ่ยเช่นนี้ออกมา ตาเฒ่าตรงหน้าจึงยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้น
ความลังเลของนางถูกคนบางกลุ่มตีความว่านางกำลังรู้สึกผิด ขณะเดียวกันบรรยากาศในเวลานี้ราวกับกำลังบีบคั้นหลินเมิ้งหยา
“ฆาตกรอำมหิต! พวกเราต้องแก้แค้นให้ตู้จ่ง”
ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ร้องตะโกนออกมา
ราวกับถูกกระตุ้น ท้ายที่สุดหลินเมิ้งหยาก็เป็นเพียงแขก เช่นนั้นนางจะซื้อใจคนเหล่านี้ได้เหมือนอย่างพวกเฉียนอวี้หมิงได้อย่างไร
หัวคิ้วขมวดมุ่น ขณะที่คิดจะเอ่ย ร่างหนึ่งพลันเข้ามาขวางนางเอาไว้
“อ๋องอวี้ แม้เจ้าจะเป็นแขกของบ้านเมือง แต่เจ้าคิดจะทำผิดกฎหมายเพียงเพราะเรื่องส่วนตัวกระนั้นหรือ?”
คิ้วของเฉียนอวี้หมิงเลิกขึ้นสูง เขาชี้หน้าหลงเทียนอวี้อย่างไม่กลัวตาย
กร็อบ
ครู่ต่อมา เสียงแผดร้องของเฉียนอวี้หมิงพลันดังขึ้น
“โอ๊ย! มือของข้า! เจ้า…เจ้า…เจ้ากับข้าต้องเห็นดีกัน!”
เมื่อได้รับการสนับสนุนจากตวนมูหยิน เฉียนอวี้หมิงลืมทุกอย่างจนหมดสิ้น
เขากล้ากระทั่งใช้นิ้วชี้หน้าหลงเทียนอวี้
แต่ไม่มีใครทันเห็นว่าหลงเทียนอวี้ขยับตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ ทว่าหลังจากเสียงกระดูกดังขึ้น นิ้วของเฉียนอวี้หมิงก็โค้งงอผิดรูปเสียแล้ว
ทุกคนรู้ได้ทันทีว่านิ้วมือของเขาหักไปแล้ว
“ฮึ”
เฉียนอวี้หมิงพุ่งเข้าหาหลงเทียนอวี้
ทว่าหลงเทียนอวี้ทำเพียงสบถเสียงเย็น ก่อนที่ยกมือซ้ายขึ้น เพียงพริบตาเดียวเฉียนอวี้หมิงที่พุ่งตัวเข้าหาเขาก็ถูกโยนกระเด็นออกจากกลุ่มคน
ทุกคนรวมถึงหลินเมิ้งหยาที่ถูกเขาปกป้องอยู่ทางด้านหลังล้วนเงียบกริบ สายตามองตามร่างของผู้อาวุโสเฉียน
ร่างของเฉียนอวี้หมิงกลิ้งกระเด็นกระดอน ก่อนที่เจ้าตัวจะสลบเหมือดหมดสติไป
บรรยากาศในเวลานี้เงียบกริบ
สายตาดุดันเย็นชากวาดมองกลุ่มคนตรงหน้า ขณะเดียวกันพวกคนเหล่านั้นก็ขยับเท้าถอยหลังออกไปราวห้าเมตร
หลินเมิ้งหยาลอบหัวเราะในใจ คนพวกนี้เคยชินกับการวางอำนาจบาตรใหญ่แล้ว เมื่อเจอคนอย่างหลงเทียนอวี้เข้า พวกเขาจึงรีบกลืนความบ้าคลั่งของตัวเองลงท้อง
“ผู้อาวุโสเฉียน ผู้อาวุโสเฉียน เร็ว…รีบพาผู้อาวุโสกลับไป”
ตวนมู่หยางรีบพาลูกศิษย์ไปตรวจอาการเฉียนอวี้หมิง
ทว่าเขาเพียงแค่เป็นลมสลบไปเท่านั้น แต่คาดว่าภายภาคหน้าเฉียนอวี้หมิงคงกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งหอป๋ายเฉาแล้ว
ลูกศิษย์ของเฉียนอวี้หมิงรีบพาเขาออกไป หลินเมิ้งหยาจึงก้าวออกมาจากเบื้องหลังของหลงเทียนอวี้
สายตาที่เคยอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางและหลงเทียนอวี้ล้วนมีท่วงท่าสง่างาม แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางพวกลูกศิษย์แห่งหอป๋ายเฉา พวกเขาเปรียบเสมือนยมทูตหน้าขาวดำจากนรก
“จวิ้นจู่! อ๋องอวี้! พวกท่านกำลังทำอะไร!”
หนานรุ่ยมีโทสะขึ้นมาบ้างแล้ว ดวงตาเจือความเย็นชาอยู่หลายส่วน
“ผู้อาวุโสเฉียนทำตัวไร้มารยาทกับพวกเราก่อน ขุนนางควรเคารพกฎระเบียบ คราวนี้ฟู่จวินของข้าสั่งสอนเขาเพียงเล็กน้อย แต่คราวหน้าอาจไม่เป็นเช่นนี้อีก”
บรรยากาศคุกรุ่น ยิ่งได้เห็นสีหน้าเคร่งขรึมทว่าไม่ยอมปริปากเอ่ยคำใดของหลงเทียนอวี้ พวกเขาสองสามีภรรยาจึงเปรียบดั่งฝันร้ายของของคนจำนวนไม่น้อย
บางทีอาจเพราะภายในกระดูกมีความกล้าหาญของสกุลหลินฝังอยู่
เพียงหลินเมิ้งหยาแสดงสีหน้าจริงจัง ความอำมหิตเย็นชาพลันแผ่ซ่านจนไม่มีใครกล้าสบตานาง
“เรื่องของตู้จ่งยังมีความน่าสงสัยอยู่มาก ข้าจะต้องให้คำตอบแก่ทุกคนอย่างแน่นอน พวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ ข้าเชื่อว่าวันข้างหน้าความยุติธรรมจะปรากฏ แต่หากมีใครคิดใส่ร้าย ยป้ายสีพวกข้าและเซิ่นจวิ้นอ๋องแล้วล่ะก็ พวกเจ้าจงตรองดูให้ดีว่ามีหัวมากพอให้ข้าตัดหรือไม่!”
เอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว หลินเมิ้งหยารู้ดีว่าเรื่องในวันนี้จะต้องแพร่งพรายออกไป
แม้ไม่อาจห้ามคำนินทาได้ เหตุเพราะไม่ว่านางจะทำอะไรก็ล้วนแล้วแต่ตกเป็นข้อครหาของพวกเขา แต่ถึงกระนั้นคำขู่ของนางย่อมสามารถสร้างความหวาดกลัวให้แก่พวกเขาได้
“ในเมื่อจวิ้นจู่รับสั่งเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นพวกเราก็อย่าสร้างความลำบากใจให้แก่จวิ้นจู่อีกเลย แต่ถึงแม้ตู้จ่งจะมิได้ถูกจวิ้นจู่ทำร้ายจนตาย แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้อง กับจวิ้นจู่และเซิ่นจวิ้นอ๋อง ตู้จ่งเป็นลูกศิษย์แห่งหอป๋ายเฉา เรื่องนี้จำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ชัด ข้าหวังว่าจวิ้นจู่ จวิ้นอ๋อง รวมถึงอ๋องอวี้จะไม่ออกมาเดินภายในหอป๋ายเฉาโดย ยไม่จำเป็นอีก เพื่อป้องกันมิให้เกิดข้อครหาใดๆ”
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง หนานรุ่ยจึงเอ่ยด้วยความจำยอม
ตอนนี้ยังไม่มีใครนำหลักฐานมากล่าวโทษหรือแสดงตัวว่าตนเองไร้ซึ่งความผิดได้ ดังนั้นคำขอร้องของหนานรุ่ยย่อมมีเหตุผล
ทว่าจากนี้ไปการเคลื่อนไหวของพวกเขาคงมีขีดจำกัดแล้ว
ยุ่งยากยิ่งนัก!
“แม้จวิ้นจู่จะมีฐานันดรสูงศักดิ์ แต่ทุกคนย่อมต้องทำตามกฎระเบียบของบ้านเมือง หากจวิ้นจู่ยังไม่ยอมรับ เช่นนั้นข้าจะขอเป็นตัวแทนของขุนนางเชิญฝ่าบาทมาตัดสินเรื่องนี้”
หนานรุ่ยยื่นคำขาด หลินเมิ้งหยาจึงต้องยอมพยักหน้าลง
หากเรื่องนี้ถูกยื่นฎีกาไปถึงจั่วชิวเฉิน ไม่ว่าจะเพื่อปกป้องชื่อเสียงหรือกฎหมายบ้านเมือง คาดว่าคงไม่ส่งผลดีต่อเขา
“ในเมื่อจวิ้นจู่รับปากแล้ว เช่นนั้นเชิญพวกท่านกลับไปเถิด”