ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 18 บทที่ 522 แกล้งตาย
หลงเทียนอวี้เดินออกไปได้ไม่ไกลนักก็ได้ยินเสียงในห้องดังลอดออกมา
หัวคิ้วขมวดมุ่น เขาหมุนตัวเดินกลับเข้าไปภายในอีกครั้ง
“เมิ้งหยา! จั่วชิวอวี้ เข้ามาเร็ว!”
เพียงผ่านประตูเข้าไป เขาก็เห็นหลินเมิ้งหยาที่ล้มลงหมดสติอยู่กับพื้น
มุมปากของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตสีแดงสด หัวใจหลงเทียนอวี้บีบรัดแน่น
ทว่าใบหน้าของหลินเมิ้งหยาแดงระเรื่อผิดปกติ หลงเทียนอวี้แหวกแขนเสื้อของนางออก ก่อนจะพบว่าไหล่ขวาของนางบวมแดงอีกหนแล้ว หัวใจของเขาสั่นสะท้าน
“เป็นอะไร? เกิดอะไรขึ้น?”
จั่วชิวอวี้ที่ได้ยินเสียงตะโกนเรียกรีบวิ่งเข้ามา หลังจากได้เห็นหลินเมิ้งหยาในอ้อมกอดของหลงเทียนอวี้ เขาตกตะลึงงันในทันที
“นี่มัน…หลงเทียนอวี้ รีบอุ้มนางไปวางที่เตียง!”
หลงเทียนอวี้ไม่กล้าปล่อยนางให้ห่างตัว เขาอุ้มหลินเมิ้งหยาแล้วนั่งลงอุ้มนางบนเตียงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
จั่วชิวอวี้รีบจับชีพจร ทว่าสีหน้าเคร่งขรึมกว่าเดิมมาก
“ทำไมจึงเป็นเช่นนี้! นาง…นางไร้สัญญาณชีพจรแล้ว! ลมหายใจเล่า? นางยังหายใจอยู่หรือไม่?”
สถานการณ์พลิกผันเกินคาดเดา
หลินเมิ้งหยาที่มีอาการปกติเมื่อครู่บัดนี้ไร้ซึ่งชีพจรแล้ว
ทว่ารอยแดงราวไส้เดือนดินที่แขนขวาของนางยังคงเต้นตุบๆ
เหงื่อผุดเต็มหน้าผากของจั่วชิวอวี้ เขาไม่รู้ว่าหลินเมิ้งหยาเป็นอะไรกันแน่
“ไปตามฉางเทียนหัวมา! เขาเป็นคนปรุงยานี้ขึ้น เขาต้องรู้แน่”
แม้เหตุการณ์ตรงหน้าจะพลิกผัน แต่หลงเทียนอวี้ทำใจให้เย็นลง
แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่มีชีพจรหรือหมดลมหายใจแล้ว แต่เขามั่นใจว่านางยังไม่ตาย
เขาเคยได้ยินท่านอาจารย์เล่าว่าคนมีวิทยายุทธ์จะสามารถควบคุมร่างกายให้อยู่ในสภาพคนตายได้ แม้ว่าจะไร้ชีพจรหรือลมหายใจก็ตาม
เพียงได้เห็นอาการของหลินเมิ้งหยา เขาก็รู้ได้ทันทีว่านางตกอยู่ในภาวะแกล้งตาย
มีเพียงสิ่งนี้ที่พอจะอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดใบหน้าของนางจึงยังมีสีเลือด
จั่วชิวอวี้รีบออกไปตามคน หลงเทียนอวี้โอบกอดร่างของหลินเมิ้งหยาเอาไว้เพราะกลัวว่าร่างกายของนางจะเกิดสิ่งผิดปกติ
ไม่นานผู้อาวุโสฉางและจั่วชิวอวี้ก็มาถึง
ตอนนี้สีแดงบนใบหน้าของหลินเมิ้งหยาหายไปหลายส่วนแล้ว รอยแดงที่แขนเองก็เริ่มสงบลง
ทว่าลมหายใจและชีพจรของหลินเมิ้งหยายังไม่กลับมา
“ผู้อาวุโสฉาง ก่อนหน้านี้นางก็กินยาของท่าน แม้จะเจ็บปวดเจียนตาย แต่ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ หรือจะมีความผิดปกติ?”
ฉางเทียนหัวไม่กล้าชักช้าร่ำไร หลังจากได้ยินคำถามของจั่วชิวอวี้ เขาก็รีบจับชีพจรของหลินเมิ้งหยาทันที
หัวคิ้วขมวดมุ่น ความเงียบเข้าครอบงำ ในที่สุดเขาก็เอ่ยออกมา
“ชีพจรของจวิ้นจู่สามารถพบเห็นได้ยากมากบนโลกใบนี้ แม้จวิ้นจู่จะไร้ชีพจร แต่อวัยวะในร่างกายยังคงไม่เสียหาย ยาของข้ามิได้มีปัญหาแต่อย่างใด แต่หัวใจของจวิ้นจูเคยได้รับความเส สียหายมาก่อน ดูเหมือนยาของข้าจะมีฤทธิ์รุนแรงจนเกินไป แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีปัญหา ข้าปรุงยาตัวใหม่ที่มีฤทธิ์อ่อนกว่ามากเสร็จแล้ว”
ฉางเทียนหัวปาดเหงื่อเพราะกลัวว่าองค์ชายตรงหน้าทั้งสองจะกริ้ว
ทว่าหลงเทียนอวี้และจั่วชิวอวี้มีสติอยู่มาก ดังนั้นจึงมิได้ส่งสายตาอาฆาตให้กับเขา
“เช่นนั้นเปี่ยวเม่ยไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
จั่วชิวอวี้เอ่ยถามเสียงเข้ม ฉางเทียนหัวพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าลงเบาๆ
ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงวางใจ
“ดูเร็ว ลมหายใจของเมิ้งหยากลับมาแล้ว”
จั่วชิวอวี้ร้องออกมาด้วยความดีใจ
หลงเทียนอวี้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้างแล้ว ทว่าสายตายังคงจ้องหลินเมิ้งหยานิ่ง จนกระทั่งนางลืมตาขึ้น
สูญเสียเรี่ยวแรงไปค่อนข้างมากกว่าหลินเมิ้งหยาจะหลุดออกจากความมืดมิดได้
โหมดปกป้องผู้ใช้งานของระบบเซินหนงยอดเยี่ยมยิ่งนัก
เมื่อครู่นางกินยาที่มีฤทธิ์รุนแรงเข้าไป ดังนั้นจึงอาเจียนออกมาเป็นเลือด ทว่าระบบเซินหนงทำการปิดเปิดการใช้งานใหม่ในทันที ยิ่งไปกว่านั้นนางยังต้องรอให้ระบบตรวจสอบความเสียหาย ยในร่างกายก่อน ระบบจึงจะเปิดการใช้งานใหม่อีกครั้ง
นี่เป็นระบบการป้องกันที่นางไม่อาจทำอะไรได้
เพียงลืมตาขึ้น นางก็ได้เห็นสายตาเป็นกังวลของหลงเทียนอวี้
ชะงักไปเล็กน้อย หลินเมิ้งหยาทำได้เพียงยิ้มบางๆ เพราะกลัวว่าจะทำให้เขาตกใจเกินไป
“หลงเทียนอวี้ หม่อมฉันไม่เป็นไร อย่ากังวลไปเลยเพคะ”
เป็นเพียงประโยคง่ายๆ แต่กลับทำให้ใบหน้าของเขาแข็งทื่อ
ความเย็นชาในสายตามลายหายไปหมดสิ้นแล้ว ตอนนี้มีเพียงความอ่อนโยนลึกซึ้งเท่านั้น
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คนมีความเย็นชาซึมลึกถึงกระดูกกลายเป็นคนอบอุ่นอ่อนโยนเช่นนี้
หลินเมิ้งหยาจ้องดวงตาสีดำคมกริบคู่นั้นด้วยสายตาลึกซึ้งไม่ต่างกัน ราวกับว่าเขาคือดวงดาราที่ยากจะพบเจอบนท้องนภา
“แค่ก แค่ก เปี่ยวเม่ย เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?”
บรรยากาศหวานซึ้งถูกทำลาย หลินเมิ้งหยาหันหน้าไปก่อนจะเห็นจั่วชิวอวี้และฉางเทียนหัวที่คนหนึ่งหันหน้าไปทางซ้าย คนหนึ่งหันไปทางขวาราวกับนัดกันไว้
ท่าทางเหมือนคนกำลังพินิจพิเคราะห์ผนังกำแพงห้องของนางอย่างไรอย่างนั้น
ใบหน้าแดงระเรื่อ โชคดีที่หลินเมิ้งหยาไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไป ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกอึดอัดกับเรื่องเช่นนี้
ถึงอย่างไรนางกับหลงเทียนอวี้ก็เป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้นนี่จึงเป็นเพียงการแสดงความรักของสามีภรรยาเท่านั้น
ทำหน้าให้หนาขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง หลงเทียนอวี้ประคองหลินเมิ้งหยาให้ยืนขึ้น
ร่างกายไม่ได้เกิดอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด นอกจากอาการเดินได้ไม่ตรงทางนัก นางก็ไม่รู้สึกอะไรอีก
ขยับร่างกายเล็กน้อย อาการที่ไหล่ขวาดีขึ้นมาก ยาของผู้อาวุโสฉางมิใช่สามัญ
แต่เมื่อหันหน้ากลับมา นางพลันได้เห็นใบหน้านิ่วคิ้วขมวดของหลงเทียนอวี้ที่กำลังจ้องผู้อาวุโสฉาง
เกรงว่าหลงเทียนอวี้จะต้องมองว่าอาการที่เกิดขึ้นกับนางในคราวนี้เป็นความผิดของผู้อาวุโสฉางอย่างแน่นอน
“อันที่จริงเรื่องนี้ต้องโทษหม่อมฉันเองเพคะ ยาของผู้อาวุโสฉางเป็นยาวิเศษ แต่เพราะหม่อมฉันอยากให้อาการบาดเจ็บที่แขนขวาหายเร็วขึ้น ดังนั้นจึงกินเข้าไปในปริมาณมากกว่าเดิม ร่าง งกายของหม่อมฉันแตกต่างจากคนอื่น ดังนั้นจึงทำให้ทุกคนต้องตกใจแล้ว ข้าขออภัยพวกท่านมาก”
พูดจบนางก็โค้งคำนับหนึ่งครั้ง
ในที่สุดคิ้วที่เคยขมวดเข้าหากันของหลงเทียนอวี้ก็คลายออก
เขารู้ว่าหลินเมิ้งหยากำลังแก้ตัวแทนฉางเทียนหัว
อันที่จริงเขาก็ไม่ควรโกรธเคืองผู้อาวุโสฉาง
“ใช่แล้ว ผู้อาวุโสฉางอุตส่าห์ปรุงยาออกมาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของพระชายา ข้าสกุลหลงขอบคุณท่านมาก”
เมื่อได้ยินถ้อยคำอ่อนโยนของหลงเทียนอวี้ หัวใจที่เคยหนักอึ้งของฉางเทียนหัวพลันเบาลง
รีบยิ้มตอบ ก่อนจะโบกมือ
“ไม่หรอกพ่ะย่ะค่ะ จวิ้นจู่เชื่อใจข้า ก็เลยลองกินยาที่ข้าคิดค้นขึ้นเท่านั้น แต่เพราะอาการตอบสนองของจวิ้นจู่ค่อนข้างรุนแรง เช่นนั้นข้าจึงปรุงยาตัวใหม่มาให้ ยาชนิดใหม่มีฤทธิ์ อ่อนกว่าเดิมหลายส่วน หากท่านใช้ก็คงไม่เกิดอาการผิดปกติ”
บรรยากาศอบอุ่นกว่าเดิมมาก
แม้ฉางเทียนหัวจะเป็นคนแปลก แต่เขาก็รู้สึกดีกับหลินเมิ้งหยาและจั่วชิวอวี้มาก
แม้เขาจะดูเหมือนคนหัวดื้อ แต่กลับเข้าใจจิตใจของคน
ตอนนี้เห็นจะมีเพียงเขาแล้วที่พวกหลินเมิ้งหยาพอจะเชื่อใจได้
“จวิ้นจู่ แม้เรื่องของตู้จ่งจะสร้างปัญหาให้กับพวกท่าน แต่นี่ก็หาใช่สิ่งเลวร้ายไม่”
ภายในห้องรับแขก พวกเขานั่งลงจิบชา ฉางเทียนหัวจึงส่งเสียงกระซิบ
“โอ้? เพราะเหตุใดหรือ?”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยถามด้วยความสงสัย
การที่พวกเขาทั้งสามถูกขังอยู่ที่นี่ย่อมไม่ทำอะไรไม่สะดวก
ทว่าฉางเทียนหัวกลับพูดต่อว่า
“เฉียนอวี้หมิงและหนานรุ่ยอาจดูเหมือนลงเรือลำเดียวกัน แต่เพราะมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นพวกเขาจึงกลายเป็นศัตรูกันไปแล้ว ส่วนพวกสองพี่น้องสกุลตวนมู่ พวกเขามีความ มทะเยอทะยาน ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าเข้าไปยุ่ง ส่วนข้าเห็นจะเป็นเพียงคนว่างงานที่ไม่อาจเข้ากับพวกเขาได้ ตู้จ่งเป็นลูกศิษย์คนสนิทของเฉียนอวี้หมิง คราวนี้เขาต้องตายไปเพราะกล่องปริศ ศนา อันที่จริงหาใช่เพราะเขาไม่ระวังตัว แต่เพราะมีคนตั้งใจสร้างเรื่องขึ้น”
คำพูดของฉางเทียนหัวมีปริศนาบางอย่างซ่อนอยู่ พวกหลินเมิ้งหยาสบตากัน ก่อนจะนั่งฟังคำอธิบายของเขา
“เฉียนอวี้หมิงและหนานรุ่ยล้วนอยากได้ตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดมาครอบครอง แต่พวกเขาล้วนมีข้อบกพร่องทั้งสิ้น พวกท่านรู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดพวกผู้อาวุโสจึงต้องการจัดการแข่งขันในครา าวนี้ขึ้น?”
หลินเมิ้งหยาพอจะเดาได้แล้ว มุมปากกระตุกยิ้มเย็น
“ก็เพราะพวกเขาต้องการนำตำราชิงเจิงผู่และตราประทับของหอป๋ายเฉากลับคืนมา”
คำพูดของฉางเทียนหัวไม่ต่างไปจากสิ่งที่นางคิดเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว
อุตส่าห์จัดงานใหญ่โตเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงเพราะต้องการคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดแห่งหอป๋ายเฉาเท่านั้น
ทุกคนย่อมรู้ดีว่าเหตุที่หอป๋ายเฉายังสามารถยืนหยัดอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะตำราชิงเจิงผู่
ทว่าวันนี้ตำราชิงเจิงผู่หายไปแล้ว ผู้อาวุโสสูงสุดเพียงคนเดียวก็หายตัวไปเช่นเดียวกัน หากไม่มีตำราชิงเจิงผู่ เช่นนั้นก็มิอาจดึงดูดผู้มีความสามารถให้เข้ามาเป็นศิษย์ได้อีกต่อไป
หลินเมิ้งหยาเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดมารดาของนางจึงต้องการซ่อนตำราเอาไว้
แม้ของสิ่งนี้จะเป็นของล้ำค่า แต่ขณะเดียวกันก็มิต่างอันใดจากรังแตน
“แต่ตอนนี้ตำราชิงเจิงผู่ถูกทำลายไปแล้ว แม้แต่ตราประทับป๋ายเฉาเองก็หายไปด้วย”
จั่วชิวอวี้หันไปมองหลินเมิ้งหยาก่อนจะเอ่ย
ฉางเทียนหัวเลื่อนสายตามามองหลินเมิ้งหยา สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นระคนแน่วแน่ น้ำเสียงแผ่วเบาแต่มากเพียงพอให้คนทั้งสามได้ยิน
“จวิ้นจู่ ตอนนั้นทุกคนล้วนเอ่ยว่าผู้อาวุโสสูงสุดมอบตำราชิงเจิงผู่ให้จางกงจู่ ข้ามิได้อยากขึ้นครองตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุด แต่ข้าอยู่ที่นี่มานานหลายปีแล้ว ดังนั้นจึงหวังว่าจะไ ได้เห็นตำราชิงเจิงผู่กับตาตัวเองสักครั้ง”
ฉางเทียนหัวเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความจริงใจ
หลินเมิ้งหยาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง หากนางต้องทำลายตำราเล่มนี้ด้วยมือของตัวเอง เช่นนั้นบาปกรรมในคราวนี้คงติดตัวนางไปจนตาย
ทว่าตำราเล่มนี้ฝังอยู่ในสมองของนาง เช่นนั้นนางจะย้ายสมองไปให้ผู้อื่นดูได้อย่างไร?