ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 2 บทที่ 56 เผยพิรุธ
หลินเมิ้งหยายืนใต้ร่มเงาของต้นไม้ คิ้วขมวดเข้าหากัน นัยน์ตาสับสนวุ่นวาย ใบหน้านวลเผยให้เห็นร่องรอยของความเสียใจ
นาง…กำลังรู้สึกเสียใจเพราะผอจื่อที่ถูกฆ่าคนนั้นอย่างนั้นหรือ?
คนที่สามารถหัวเราะเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าศัตรูและทรมานผู้คนอย่างไร้หัวใจเช่นนาง กลับรู้สึกสงสารผอจื่อแปลกหน้าที่ไม่รู้จักมาก่อน
ตอนนี้ อยู่ๆ หลงเทียนอวี้ก็เข้าใจแล้ว
หลินเมิ้งหยามิได้ใจร้าย แต่นางแยกแยะความรักออกอย่างชัดเจน ศัตรูก็คือศัตรู ดังนั้นนางจึงลงมือโดยไร้ความปรานี
อยู่ๆ หลงเทียนอวี้ก็รู้สึกว่าเขาไม่เคยเข้าใจในตัวพระชายาของตนเองเลย
“เรื่องนั้น…หลินขุย เมื่อกลับไปแล้วจงทำการตรวจสอบทาสรับใช้ในจวนให้หมด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก…”
หลินขุยถวายคำนับ การปกป้องดูแลจวนอวี้เป็นหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว
ทว่าอยู่ๆ ก็เกิดเรื่องนี้ขึ้น การที่ท่านอ๋องไม่เอาผิดเขาก็นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณมากแล้ว
“ข้ากลับเห็นว่าไม่จำเป็นต้องทำให้อึกทึกครึกโครมเช่นนั้น”
หลินเมิ้งหยากลับแสยะยิ้ม นัยน์ตาเปล่งประกาย
ตกปลาในน้ำขุ่น
หากทำเรื่องราวให้ใหญ่โตจะกลายเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น
“ไม่ทราบว่าพระชายามีความเห็นเช่นไร?” หลังจากผ่านบทเรียนนั้นมาแล้ว จูเฉียงรู้สึกเลื่อมใสหลินเมิ้งหยาเป็นอย่างมาก
หากป๋ายหลี่อู๋เจียนเห็นภาพนี้เข้า เกรงว่าพัดกระดาษจะไม่มีทางอยู่ห่างกาย อีกทั้งยังต้องตกตะลึงเป็นอย่างมากแน่นอน
“คนบนเขามักมีเล่ห์เหลี่ยมเสมอ แต่ว่า…ทุกท่านจะต้องให้ความร่วมมือกับข้าด้วย”
หลินเมิ้งหยาหัวเราะมีเลศนัย ดวงตาทั้งสองข้างหรี่เล็กลงจนทำให้เหล่าว่าที่ผู้นำประเทศต่างใจสั่นระรัว
ดูเหมือนสิ่งที่น่ากลัวที่สุดบนโลกใบนี้จะเป็นพระชายาพระองค์นี้นี่แหละ
“ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราแยกย้ายกันก่อนเถิด หลินขุย พวกเรากลับจวนกัน”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร มุมปากของหลงเทียนอวี้จึงหยักยิ้มขึ้น
บนโลกนี้มีหญิงสาวที่งดงามและฉลาดเฉลียวมากมาย แต่หาได้มีใครเหมือนผู้หญิงที่ใจกว้างตรงหน้า
“ท่านอ๋อง เหตุใดโรงน้ำชาแห่งนี้จึงถูกทิ้งร้างหรือเพคะ?”
พวกจูเฉียงขอตัวลา หลินเมิ้งหยากลับเหลือบมองโรงน้ำชาสองชั้นที่รกร้างว่างเปล่าจึงเอ่ยถามขึ้นมา
“เมื่อปีก่อนเคยถูกไฟไหม้และคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ต่อมามีข่าวลือว่าได้ยินเสียงผี ดังนั้นเจ้าของโรงน้ำชาจึงประกาศขายในราคาถูกพ่ะย่ะค่ะ”
หลินขุยตอบ หากไม่ใช่เพราะเจ้าของโรงน้ำชาเคยเป็นลูกน้องของท่านอ๋องแล้วละก็ พวกเขาคงไม่ซื้อมันเอาไว้
“เสียงผี? คิก ข้าอยากเห็นจังเลย”
ในฐานะนักเรียนแพทย์ เรื่องเล่าเกี่ยวกับผีสางนางไม้ต่างๆ มีมากมายในโรงพยาบาล
นางไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว อีกทั้งยังเคยอยู่ตัวคนเดียวในห้องทดลองที่ลือกันว่าผีดุเพื่อทำการทดลองทั้งคืน
กรีดกรายร่างอ้อนแอ้นเดินเข้าไปทางโรงน้ำชา
เหตุใดยัยเด็กนี่จึงไม่คิดกลัวเกรงเลยแม้แต่น้อยกันนะ?
หลงเทียนอวี้มองทางร่างบาง นัยน์ตาเผยให้เห็นความสงสัย
เขาเองก็ไม่เคยเชื่อเรื่องผี แต่ถึงกระนั้นพวกชาวบ้านกลับเชื่อเรื่องเหล่านี้มาก อีกทั้งยังมีการสร้างวัดวาอารามเพื่อกราบไหว้บูชา
เดินผ่านธรณีประตูเข้าไป หลินเมิ้งหยาเห็นโรงน้ำชาเก่าแก่ฝุ่นเขรอะ
ขอบประตูที่ไหม้เกรียมเผยให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองในครั้งก่อน หากไม่ใช่เพราะประตูใหญ่ถูกล็อกเอาไว้ หากโรงน้ำชาเก่าแก่แห่งนี้ตัดกับถนนใหญ่อันแสนเจริญรุ่งเรืองแล้วละก็ ที่นี่จะต้องกลายเป็นโรงน้ำชาที่หรูหราที่สุดในเมืองหลวงเป็นแน่
“ระวังหน่อย”
อยู่ๆ มือคู่หนึ่งก็ยื่นเข้ามาจากทางด้านหลัง ก่อนจะโอบเอวของหลินเมิ้งหยาไว้อย่างเป็นธรรมชาติ
หันหน้ากลับไป ทว่ากลับได้เห็นใบหน้าด้านข้างของหลงเทียนอวี้ ใบหน้าของเขาหล่อเหลามีเสน่ห์ เกรงว่าแม้แต่เทพเซียนบนชั้นฟ้าก็มิอาจหล่อเหลาได้เช่นเขา
ชาตินี้หรือแม้แต่ชาติก่อนๆ นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเมิ้งหยาเหม่อลอยเพราะใบหน้าด้านข้างของผู้ชาย
“ที่นี่ยังไม่ได้รับการซ่อมแซมตั้งแต่ตอนที่ไฟไหม้คราวที่แล้ว ระวังตัวหน่อย อย่าทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ”
ปล่อยตัวหลินเมิ้งหยา ที่แท้พื้นของโรงน้ำชาก็มีรอยผุพังขนาดเล็ก
หากหลินเมิ้งหยาเหยียบลงไป เกรงว่าป่านนี้คงจะขาหักไปแล้ว
“โอ้ ขอบพระทัยเพคะ” หลินเมิ้งหยาหลุบตาต่ำเพื่อปกปิดความเขินอาย
นางเดินเข้าไปในโรงน้ำชาด้วยความระมัดระวัง เพื่อหาร่องรอยของเสียงผีที่ว่า
แม้โรงน้ำชาจะถูกเผาไปเสียส่วนใหญ่ แต่โครงสร้างหลักยังคงอยู่ แต่ที่น่าแปลกคือทั้งที่เป็นบันไดไม้ ทว่ากลับมั่นคงแข็งแรงเหลือเกิน อีกทั้งยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย
“หลินขุย เอามีดของเจ้ามาให้ข้ายืมหน่อย”
หลินเมิ้งหยายื่นมือออกไป ก่อนจะลูบไล้บันไดสีดำเล็กน้อย เคาะเบาๆ อยู่ๆ ดวงตาก็เปล่งประกาย
แม้จะไม่รู้ว่าพระชายาต้องการจะทำอะไร แต่หลินขุยกลับส่งมีดให้อย่างว่าง่าย หลินเมิ้งหยารับไปแล้วออกแรงแทง ก่อนที่เสียงทองจะดังออกมา
“นี่คือ!?”
หลงเทียนอวี้และหลินขุยสบตากัน ก่อนจะส่งเสียงออกมาด้วยความสงสัยพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
พวกเขากลับได้เห็นหลินเมิ้งหยาฉีกชายกระโปรงของตนเองอย่างไม่ลังเล ก่อนจะเช็ดลงบนบริเวณที่ถูกแทง
“ทั้งสองท่านจงดู”
มองตามการกระทำของหลินเมิ้งหยา บริเวณแผ่นเล็กๆ นั้นมีแสงทองเปล่งประกายออกมา ยิ่งเช็ดก็ยิ่งเปล่งประกาย สุดท้ายจึงเผยแผ่นทองออกมาให้เห็น
หลินขุยเดินเข้าไปเคาะ ก่อนจะมองหน้าหลงเทียนอวี้ด้วยความตกใจ
สวรรค์โปรด บันไดของโรงน้ำชาแห่งนี้ล้วนเป็นทอง!
“เป็นไปได้อย่างไร…”
หลินเมิ้งหยาหัวเราะ มองโรงน้ำชา มือที่ถือมีดอยู่เคาะกำแพงไม่หยุด
นอกจากบริเวณที่ถูกเผาจนเสียหายหนักแล้ว พื้นที่ทั้งหมดล้วนมีเสียงทองดังกึกก้อง
“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าโรงน้ำชาแห่งนี้จะสร้างด้วยทองอย่างนั้นหรือ? สถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ นี่เป็น…เป็นขุมทองคำของประเทศ เกรงว่ามากพอที่จะสามารถจ่ายภาษีทั้งหมดภายในห้าปีด้วย!”
หลงเทียนอวี้ครุ่นคิดก่อนจะสบตากับหลินเมิ้งหยาโดยไม่ได้ตั้งใจ หัวใจพลันสั่นไหว ทั้งสองเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายได้โดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย
“ดูเหมือนที่นี่ไม่ได้มีผีสางนางไม้หรอก คิดว่าคงเป็นพวกที่แกล้งหลอกว่าเป็นผีมากกว่า เหตุเพราะไม่อยากให้ความลับของโรงน้ำชาถูกแพร่งพรายออกไป ส่วนเหตุผลที่ว่าเพราะเหตุใดหลังจากที่ท่านอ๋องซื้อโรงน้ำชาไปแล้วจึงไม่เคยได้ยินเสียงผี นั่นก็เพราะพวกเขาใช้ชื่อเสียงของท่านอ๋องในการคุ้มกันที่นี่ฟรีๆ น่ะสิ”
หลินเมิ้งหยาพบแล้วว่า
ภายในจวนแห่งนี้มีร่องรอยของเหตุไฟไหม้เพียงบางส่วนเท่านั้น แต่ทางด้านหลัง บ้านเล็กบ้านน้อยกลับถูกเผาจนวอดวาย
ทั้งที่ที่นี่เป็นโรงน้ำชา ทว่าโครงสร้างหลักกลับยังไม่บุบสลายเลยแม้แต่น้อย
คนสมัยโบราณค่อนข้างล้าสมัย ไม่มีทางสร้างเสาด้วยเหล็กได้ ดังนั้นวัสดุในการก่อสร้างส่วนใหญ่จึงเป็นไม้
แต่เพราะเหตุใดอุบัติเหตุเพลิงไหม้ในคราวนั้นจึงเหลือเพียงตึกเล็กๆ แห่งนี้
ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือโครงสร้างของที่นี่ไม่ใช่ไม้ แต่กลับเป็นทองที่ทนต่อความร้อนสูง
เคยได้ยินมาว่าทองไม่กลัวไฟ ดังนั้นจึงเกรงว่าพวกมันจะเป็นทองทั้งหมด
หลงเทียนอวี้เป็นองค์ชาย แน่นอนว่าเขาไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน อีกทั้งโรงน้ำชาแห่งนี้ยังเล็กมาก เขาไม่มีทางปรับปรุงมันอย่างแน่นอน
ดังนั้นความลับจึงจะถูกปิดต่อไป
“อืม สิ่งที่เจ้าพูดเองก็มีเหตุผล หลินขุย จงกลับไปตามคนของจวนมาขนทองกลับจวนไปให้หมด ทำเวลากลางคืนเท่านั้น แม้แต่ทองแท่งเดียวก็ห้ามทิ้งไว้”
หลงเทียนอวี้มองดูโรงน้ำชาเล็กๆ หลังนี้ คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย โรงน้ำชาราคาถูก แต่กลับแฝงไว้ซึ่งมูลค่ามหาศาล
อันที่จริงลูกน้องของเขาคนนั้นเป็นเพียงทหารยศไม่ใหญ่
ขาของเขาขาดไปข้างหนึ่งเพราะการทำสงคราม ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางมีทองมากมายมหาศาลขนาดนี้
ดูเหมือนคนคนนี้จะต้องมีเงื่อนงำอะไรบางอย่างที่เขาไม่รู้
“ช้าก่อน อย่าเพิ่งรีบ หลินขุย ข้าขอถามเจ้าก่อนว่าเพราะเหตุใดเจ้าจึงนำศพมาเก็บไว้ที่โรงน้ำแข็งในโรงน้ำชาแห่งนี้? ข้าจำได้ว่าข้าสั่งให้เจ้าเอาไปไว้ยังสถานที่ไร้ผู้คนไม่ใช่หรือ?”
นับตั้งแต่ตอนที่เข้ามาภายในสวนแห่งนี้ หลินเมิ้งหยารู้สึกได้ถึงแผนร้ายบางอย่าง
หลงเทียนอวี้จ้องมองหลินขุย ดวงตาเรียวยาวคมกริบของเขาทำให้หลินขุยมีเหงื่อออกท่วมตัว
“ทูลพระชายา ข้าน้อยหาที่แห่งนั้นไม่เจอ ตอนแรกคืนนั้นข้าน้อยอยากนำศพไปเก็บไว้ในโรงน้ำแข็งทางด้านทิศตะวันตก แต่ข้าน้อยกลับได้พบกับผู้ดูแลคนหนึ่งที่โรงน้ำแข็ง ข้าหลอกเขาว่านี่คือหมูป่าที่นายพรานส่งมาให้ ท่านอ๋องไม่อยู่จึงยังไม่ได้กิน ดังนั้นจึงต้องการนำมาเก็บที่นี่ ทว่าเขาบอกว่าโรงน้ำแข็งในจวนมีไว้เพื่อกักเก็บอาหารสดให้กับเจ้านายในช่วงฤดูร้อน หากอาหารอย่างอื่นสกปรก เจ้านายจะไม่อาจกินได้ และเพราะการเอ่ยเตือนของเขาทำให้ข้าน้อยจำโรงน้ำแข็งในโรงน้ำชาร้างแห่งนี้ขึ้นมาได้”
หลังจากได้ฟังคำอธิบายของหลินขุย คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากันแน่น
ตอนแรกคนที่ปลอมตัวเป็นผอจื่อเองก็บอกว่าผู้ดูแลเป็นคนสั่ง
ตอนแรกนางยังคิดเลยว่าผู้ดูแลคนไหนช่างใจกล้าเหลือเกิน แต่ดูเหมือนผู้ดูแลคนนี้ต่างหากที่เป็นปัญหาใหญ่
“ท่านอ๋อง?” หลินเมิ้งหยามองหลงเทียนอวี้ เตรียมขอความคิดเห็น
ดวงตาของหลงเทียนอวี้ขุ่นมัว ดูไม่ออกเลยว่าเขากำลังคิดอะไร
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่ามีแผนไม่ใช่หรือ? อยากทำอะไรก็ทำเถอะ”
เมื่อได้รับการอนุญาต หลินเมิ้งหยาจึงเล่าแผนการให้หลินขุยฟัง
จากนั้นหลินขุยจึงมองหน้าพระชายาด้วยความสงสัย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รับคำสั่งแล้วรีบวิ่งออกไปทางจวน
โรงน้ำชาในเวลานี้จึงเหลือเพียงหลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้
มองดูโรงน้ำชาที่เต็มไปด้วยทอง จู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็หัวเราะออกมา
“เจ้าหัวเราะอะไร?”
เก็บแผนการของตนเองเอาไว้ในใจ หลงเทียนอวี้ไม่อยากเข้าไปยุ่มย่ามกับแผนการของหลินเมิ้งหยา
แม้หลินเมิ้งหยาจะฉลาด วิธีการที่ใช้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็น แต่สุดท้ายนางก็เป็นจอมวางแผน วิธีการของนางและเขาไม่เหมือนกัน
ดังนั้นหลงเทียนอวี้เองก็มีวิธีการของตนเอง เพียงแค่…เขาหวังที่จะได้เห็นการแสดงของหลินเมิ้งหยาก่อน
ผู้หญิงคนนี้มักจะทำอะไรที่คนอื่นไม่คาดคิดเสมอ นางมักทำให้เขาประหลาดใจ แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนหลังจากนางทำงานประสบความสำเร็จแล้ว อีกทั้งหางตายังเผยให้เห็นความภาคภูมิใจ หัวใจของเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุข
“ที่ต่างประเทศมีเรื่องเล่าที่ชื่อว่าเรือนงามซ่อนเมีย ไม่ทราบว่าท่านอ๋องเคยได้ยินเรื่องนี้หรือไม่?”