ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 5 บทที่ 135 เพียงพอนถวายตัว
“องค์หญิงหมิงเยว่เปรียบเสมือนแขก แน่นอนว่าข้าต้องทำการต้อนรับอย่างดี ท่านอ๋อง พวกเราไปถวายคำนับหมู่เฟยกันก่อนเถิดเพคะ”
หลินเมิ้งหยาหยักยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะดึงแขนออกจากมือเจียงหรูฉิน
ตั้งแต่ต้นจนจบ สายตาของหลงเทียนอวี้มิเคยตกลงบนร่างของเจียงหรูฉิน
เขาเพิกเฉยกับการมีตัวตนของนาง ดังนั้นเปลวไฟจึงลุกโชนขึ้นในหัวใจของเจียงหรูฉิน
รอดูก่อนเถิด ต่อจากนี้ไป จวนอวี้จะไม่มีวันสงบสุขอีก!
แต่ละคนกลับไปยังตำหนักของตนเองเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
จิ่นเยว่รีบกลับไปยังตำหนักหยาเสวียนเพื่อทูลพระสนมเต๋อเฟย หลินเมิ้งหยาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วจึงพาสาวใช้ทั้งสี่ไปยังตำหนักหยาเสวียน
ทันทีที่ก้าวเข้ามา เสียงหัวเราะคิกคักของหญิงสาวพลันดังเข้ามากระทบหู
เลิกคิ้วขึ้นสูง ดูเหมือนองค์หญิงหมิงเยว่จะเป็นคนมือไวใจเร็วเสียเหลือเกิน
“พระชายาเสด็จ…”
สายตาของคนที่อยู่ภายในหันมามองพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
ถวายคำนับพระสนมเต๋อเฟย ส่งยิ้มอ่อนโยน ราวกับมิใช่คนเดียวกันกับหญิงสาวที่วิ่งทำแผลให้ทหารในสิงกง
“เมื่อครู่หม่อมฉันยังพูดอยู่เลยว่าพระชายาอวี้เป็นคนที่พบเจอได้ยากยิ่ง เพียงสบตากันครั้งเดียว หม่อมฉันยังรู้สึกได้เลยว่าพวกเรามีชะตาต่อกัน”
หมิงเยว่นั่งอยู่ด้านล่างที่ประทับของพระสนมเต๋อเฟยซึ่งเป็นตำแหน่งที่นั่งของหลินเมิ้งหยา
“ใช่แล้วเพคะ พี่สะใภ้ของข้ามิใช่คนธรรมดา การที่พี่ชายได้นางมาเป็นภรรยา อาจเป็นเพราะผลบุญที่ทำมาจากชาติปางก่อน”
เจียงหรูฉินปรับเปลี่ยนทัศนคติและคำพูดจา นางเอ่ยชมหลินเมิ้งหยาไม่ขาดปาก
“ชมเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงคนที่คอยช่วยเหลือท่านอ๋องเท่านั้น แต่เพราะท่านอ๋องไม่ชอบออกปาก ดังนั้นข้าจึงต้องออกหน้าแทน”
หลินเมิ้งหยาแสดงท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน ทำให้ทั้งสองรู้สึกเหมือนกำลังตีสำลีนุ่มๆ
พระสนมเต๋อเฟยชำเลืองมองทางเด็กสาวทั้งสองอย่างไม่เข้าใจ นัยน์ตาเปล่งประกาย
“เอาล่ะ เจ้าอย่ายืนอยู่ตรงนั้นเลย มานั่งเถิด”
เมื่อเทียบกับเจียงหรูฉินที่เป็นหลานสาวแล้ว พระสนมเต๋อเฟยไม่เคยใช้คำพูดสนิทสนมเช่นนี้กับใครมาก่อน
แต่กับหลินเมิ้งหยา พระสนมเต๋อเฟยรู้สึกราวกับว่านางเป็นลูกสาวคนหนึ่งของตนเอง
หลงเทียนอวี้ส่งคนมาส่งข่าวให้พระสนมเต๋อเฟยได้รับรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเขาหลิงจูหมดแล้ว
เมิ้งหยาเป็นคนฉลาด นางจัดการทุกอย่างได้อย่างดีเยี่ยม นางรู้สึกพึงพอใจในตัวลูกสะใภ้คนนี้ยิ่งนัก
“ท่านอ๋องเสด็จ…”
หลินเมิ้งหยาเพิ่งจะนั่งลง ร่างของหลงเทียนอวี้พลันปรากฏขึ้นที่หน้าประตูตำหนักหยาเสวียน
ถอดชุดเปรอะเปื้อนของตนเอง อาบน้ำชำระร่างกายจนสะอาด ความหล่อเหลาสง่างามจึงปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“ลูกขอถวายคำนับหมู่เฟย หลายวันมานี้ทำให้หมู่เฟยต้องเป็นห่วง ลูกอกตัญญูยิ่งนัก”
เมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระสนมเต๋อเฟย ใบหน้าเย็นชาของหลงเทียนอวี้พลันหายไป
เขามิเหมือนชายหล่อเหลาผู้แสนเย็นชาอีกต่อไป แต่กลับเป็นชายที่มีชีวิตจิตใจคนหนึ่ง
แม้พระสนมเต๋อเฟยจะเอ็นดูเขามาก แต่เพราะตอนนี้มีคนนอกอยู่อย่างมากมาย ดังนั้นจึงมิอาจพูดสิ่งใดออกมา
ทว่าสีหน้าเป็นกังวลยังคงเผยให้เห็น
“หลินขุยเล่าเรื่องของเจ้าหมดแล้ว ได้รับบาดเจ็บหรือไม่? ต้องรีบรักษาหรือไม่?”
หลงเทียนอวี้ส่ายหน้า
“เอ๋อร์จื่อมิเป็นไรพ่ะย่ะค่ะ พระชายาดูแลลูกเป็นอย่างดี”
หมิงเยว่ชำเลืองมองทางหลงเทียนอวี้ หากเอ่ยว่าก่อนหน้านั้นนางเพียงแต่เป็นหญิงสาวที่รู้สึกเคารพนับถือหลงเทียนอวี้เท่านั้น
เช่นนั้นหลังจากผ่านเรื่องราวบนเขาหลิงจูมาแล้ว ความเคารพที่เคยมีกลับแปรเปลี่ยนเป็นหลงใหล
ผู้ชายกล้าหาญเสมือนวีรบุรุษผู้นี้เหมาะที่จะเป็นคู่ชีวิตของนาง
แม้แต่ไท่จื่อแห่งต้าจิ้นยังเป็นพวกรักตัวกลัวตาย เขาเทียบหลงเทียนอวี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“ที่หม่อมฉันมาในวันนี้ก็เพราะได้รับการไหว้วานจากเสด็จพ่อ ท่านอ๋องอวี้กล้าหาญชาญชัยในสนามรบ อาสาออกรบเพื่อปกป้องดูแลพวกเรา ของขวัญเล็กๆ นี้เปรียบเสมือนสัญลักษณ์แสดงความเคารพนับถือ หวังว่าท่านอ๋องจะรับไว้”
ขณะที่พูด องค์หญิงหมิงเยว่สั่งให้คนของตนเองนำของที่ฮ่องเต้หมิงต้องการมอบให้ออกมา
โสมพันปี เห็ดหลินจือพันปี สมุนไพรต่างๆ มากมายถูกกักเก็บอยู่ภายในกล่องไม้ กลิ่นหอมอ่อนๆ ฟุ้งกระจายออกมา
แม้แต่เจียงหรูฉินยังแอบอิจฉา คงมีเพียงฮ่องเต้หมิงผู้ร่ำรวยเท่านั้นจึงจะสามารถนำของล้ำค่าเช่นนี้มามอบให้ผู้อื่น
ทว่า สีหน้าของหลงเทียนอวี้ยังคงเหมือนเดิม
ยาสมุนไพรในจวนของเขามีมากมาย
แม้จะไม่เคยเอ่ยถาม แต่หลินเมิ้งหยาที่ดูแลคลังเล็กของจวนรู้ดีว่าจวนของตนเองร่ำรวยมากขนาดไหน
ดังนั้น เขาจึงไม่แม้แต่จะแลมองของพวกนี้
สายตาตกลงบนใบหน้านวลของหลินเมิ้งหยา
แต่ดวงตาของนางกลับเผยให้เห็นร่องรอยของความดีใจทันทีที่เห็นของในกล่องไม้
คำพูดปฏิเสธจึงถูกกลืนลงท้อง
“การช่วยคนเป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว แต่เมื่อฮ่องเต้หมิงต้องการแสดงน้ำใจ เช่นนั้นข้าจะรับไว้ เข้ามา เก็บของให้เรียบร้อย”
รอยยิ้มขององค์หญิงหมิงเยว่ฉีกกว้างเสมือนดอกไม้บาน
นางเคยได้ยินมาว่าหลงเทียนอวี้ไม่เคยรับของจากผู้ใด
แต่วันนี้เขากลับรับของของตนเองไป เช่นนั้นแสดงว่าเขา…
ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างท่านอ๋องและพระชายาก็มิได้มั่นคงดั่งที่ใครร่ำลือ
“เช่นนั้นหม่อมฉันจะกลับไปทูลเสด็จพ่อก่อนนะเพคะ พระสนมเต๋อเฟย หมิงเยว่ทูลลา”
หมิงเยว่หมุนตัวกลับมาถวายคำนับ
พระสนมเต๋อเฟยพยักหน้าลง จิ่นเยว่นำทางหมิงเยว่ไปยังประตูทางออกตำหนักหยาเสวียน
“องค์หญิงหมิงเยว่อ่อนโยน ชาญฉลาด ชาติตระกูลสูงสง่า เมิ้งหยา เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”
พระสนมเต๋อเฟยเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าดวงตากลับมีแสงเปล่งประกาย
ตอนนี้ไท่จื่อทำตัวไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง
คาดว่าหลังจากกลับเข้าวังในครั้งนี้จะต้องถูกฮองเฮาตำหนิติติงอย่างแน่นอน
แต่ลูกชายของตนเองมีความโดดเด่น กล้าหาญสมชายชาตรี ดังนั้นนางจึงเตรียมการบางอย่างเอาไว้
“องค์หญิงโดดเด่นมากเพคะ แต่น่าเสียดายที่เป็นคนของซีฟาน”
เหตุใดหลินเมิ้งหยาจะไม่เข้าใจว่าพระสนมเต๋อเฟยกำลังคิดอะไร อยู่ๆ ความไม่สบายใจพลันก่อตัวขึ้น
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพระสนมเต๋อเฟย นางไม่อาจเผยสิ่งใดออกมาได้
“อืม เป็นจริงอย่างที่เจ้าว่า ฉินเอ๋อร์ เจ้าลองไปดูหน่อยว่าอาหารกลางวันเตรียมเรียบร้อยแล้วหรือยัง พี่ชายและพี่สะใภ้ของเจ้าเหนื่อยมาทั้งวัน จะต้องหิวมากอย่างแน่นอน”
พระสนมเต๋อเฟยไม่เอ่ยสิ่งใดอีก แต่กลับสั่งให้เจียงหนู๋ฉินออกไป
ภายในตำหนักจึงเหลือเพียงพวกเขาสามคน
“ครั้งนี้พวกเจ้าทำได้ดีมาก แต่ยิ่งออกหน้า ก็จะยิ่งโดนอิจฉา”
คำพูดของพระสนมเต๋อเฟยแสดงให้เห็นความกังวลของผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน
นางอยู่ในพระราชวังมานานหลายสิบปี ดังนั้นจึงรู้จักอุปนิสัยใจคอของฮองเฮาดีที่สุด
“เอ๋อร์จื่อรู้พ่ะย่ะค่ะ แต่หากไม่ออกหน้าแก้ไขสถานการณ์คับขันในเวลานั้น เกรงว่าทุกคนคงตกอยู่ในอันตราย”
หลังจากถูกอบรมสั่งสอนมายี่สิบกว่าปี หลงเทียนอวี้รู้ดีว่าหากมิใช่เวลาคับขัน เขาไม่ควรเข้าไปยุ่งกับไท่จื่อ
แต่เพราะคราวนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบีบบังคับให้เขาต้องทำเช่นนั้น
“หมู่เฟยได้โปรดวางพระทัย ตอนนี้ไท่จื่อคงมิมีกะจิตกะใจมาหาเรื่องพวกเราอย่างแน่นอน เขาจะต้องคิดหาวิธีรั้งตำแหน่งของตนเองอย่างแน่นอนเพคะ”
หลินเมิ้งหยาคำนวณเรื่องนี้เอาไว้แล้ว หลังจากกลับมาจากเขาหลิงจู “วีรกรรมอันยิ่งใหญ่เกรียงไกร” ของไท่จื่อจะต้องถูกกล่าวขานไปทั่วทั้งเมืองหลวง
เสียงซุบซิบนินทามักทรงพลังเสมอ
“ไท่จื่อเป็นถึงองค์ชายรัชทายาท เขาคงไม่มีวันยอมปล่อยให้ผู้อื่นดูแคลนง่ายๆ”
คิ้วของพระสนมเต๋อเฟยขมวดแน่น ความกังวลยังคงเกาะกุมหัวใจ นางมิได้อยู่ในวังหลวง ดังนั้นจึงมิได้รับรู้ข่าวคราวของฮ่องเต้เลย
“หากเสด็จพ่อยังแข็งแรงดังเดิม พวกเราสองแม่ลูกคงไม่ตกที่นั่งลำบากเช่นนี้”
เงียบกริบ สีหน้าของหลงเทียนอวี้เผยให้เห็นความกังวลเมื่อเอ่ยถึงฮ่องเต้
หลินเมิ้งหยามองดูสีหน้าของสองแม่ลูก สมองพลันประมวลผลเฟ้นหาข้อมูลเกี่ยวกับฮ่องเต้
ดูเหมือนฮ่องเต้จะเจ็บป่วยตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน
ตอนแรกพระองค์เพียงแค่จับไข้หนาวสั่น แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง
แม้นางจะแต่งงานเข้าจวนอวี้มานานกว่าครึ่งปีแล้ว แต่ฮ่องเต้ยังคงไม่ฟื้น
พระองค์ทรงรักษาตัวอยู่ในตำหนักทุกวัน
ส่ายหน้า ดูเหมือนเรื่องในราชวงศ์จะลึกซึ้งเกินกว่าที่นางจะคาดเดา
“หมู่เฟยพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดเข้าแล้ว เข้ามา จงนำอาหารเข้ามาที่นี่ พวกเจ้าทั้งสองคงยังมิได้กินอิ่มนอนอุ่น”
เก็บความเสียใจ พระสนมเต๋อเฟยหยุดพูดเรื่องนี้
น่าเสียดาย หลินเมิ้งหยายังอยากได้ยินเรื่องเกี่ยวกับฮ่องเต้ให้มากขึ้น
แม้อาหารกลางวันจะธรรมดา แต่กลับอุดมสมบูรณ์
ทว่าทั้งสามมีเรื่องหนักหน่วงในใจ ดังนั้นจึงกินเข้าไปไม่มากนัก
หลังจากกินอาหารกลางวันแล้ว หลงเทียนอวี้กลับไปยังห้องอ่านหนังสือของตนเองเพื่อจัดการงาน หลินเมิ้งหยากลับถูกพระสนมเต๋อเฟยรั้งตัวเอาไว้
ภายในห้อง กลิ่นกำยานอ่อนๆ ลอยละล่อง
แม่สามีและลูกสะใภ้พูดคุยกันเรื่องทั่วไป
“ข้าได้ยินเรื่องของคุณหนูสกุลเยว่แล้ว แม้จะถูกนินทาว่าร้าย แต่การจะพาพวกนางกลับไปยังบ้านของตนเองก็มิใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ดี”
หัวใจสั่นไหว หลินเมิ้งหยาไม่เข้าใจ ตอนแรกคิดว่าพระสนมเต๋อเฟยจะสั่งห้าม แต่จากคำพูดของนาง ดูเหมือนนางจะอนุญาตให้พี่เยว่ถิงอยู่ที่นี่?
“เจ้าสั่งให้คนเตรียมเรือนที่สงบเงียบให้คุณหนูสกุลเยว่เข้าไปอยู่เถิด เฮ้อ คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กสาวคนหนึ่งจะต้องเจอเรื่องเลวร้ายถึงเพียงนี้”
ถอนหายใจอย่างเสียดาย พระสนมเต๋อเฟยเคยเจอเยว่ถิง
แม้จะมิได้งดงามโดดเด่นเท่าไรนัก แต่นางมีอุปนิสัยอ่อนโยน อีกทั้งยังกิริยาวาจางดงาม
แต่วันนี้ชื่อเสียงกลับถูกทำลายจนป่นปี้
“ขอบพระทัยหมู่เฟยเพคะ พี่เยว่ถิงเป็นคนอ่อนโยนและจิตใจโอบอ้อมอารี นางจะต้องซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างแน่นอน”
หลินเมิ้งหยาส่งเสียงอ่อนหวาน ทว่าความรู้สึกไม่สบายใจยิ่งก่อตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“จริงสิ เจ้ารู้จักองค์หญิงหมิงเยว่ก่อนหน้านั้นแล้วใช่หรือไม่ เจ้าคิดว่านางเป็นคนอย่างไร?”
ในที่สุดก็เข้าประเด็นหลัก ดูท่าเรื่องนี้ต่างหากที่สำคัญที่สุด
“องค์หญิงหมิงเยว่งดงามสูงสง่า แม้จะเป็นองค์หญิงแห่งซีฟาน แต่ก็เป็นสตรีที่พบเจอได้ยากยิ่ง”
หลินเมิ้งหยาส่งเสียงชื่นชม แต่พระสนมเต๋อเฟยไม่รู้เลยว่านางกำลังเอ่ยตามมารยาทแต่เพียงเท่านั้น
“ข้าคิดว่าเด็กคนนี้ไม่เลว เจ้าคิดว่าตนเองสามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีกับนางได้หรือไม่?”