ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 5 บทที่ 139 พี่น้องล้อมวงกินซาวปิ่ง
“เวลาเจ้าทำอะไรมักจะมีเหตุผลเสมอ แต่ข้ารู้สึกเหมือนกับว่าเจ้าไม่เห็นด้วยที่หมิงเยว่แต่งงานกับหลงเทียนอวี้”
หลังจากได้เป็นว่าที่ผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ฮ่องเต้หมิงมักจะส่งหูเทียนเป่ยไปจัดการเรื่องต่างๆ แทนเสมอ
ดังนั้น เขาจึงมีความคิดเป็นของตัวเอง
“เหตุใดเสด็จพ่อจึงอยากให้หมิงเยว่แต่งงานกับหลงเทียนอวี้นัก? เขามิใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด กอปรกับอุปนิสัยใจคอของหมิงเยว่ หากไปอยู่ที่จวนอวี้ รังแต่จะก่อความวุ่นวาย ใช่ว่าท่านพ่อไม่เคยเห็นฝีมือของคุณหนูสกุลหลิน อย่าว่าแต่หมิงเยว่เลย แม้แต่ข้าก็มิใช่คู่ปรับของนาง”
หลังจากได้ทำความรู้จักกับสองสามีภรรยาคู่นี้ เขาเพิ่งจะรู้ว่าอะไรที่เรียกว่ากิ่งทองใบหยก
หลงเทียนอวี้เป็นคนมีความอดทน ทั้งที่จริงแล้วความรู้ความสามารถมิได้ด้อยไปกว่าไท่จื่อเลย
ชายาอวี้ภายนอกเสมือนคนอ่อนโยน จิตใจโอบอ้อมอารี แต่ความจริงนางมีความรู้ความสามารถ นางมิใช่คนที่จะหลงกลใครง่ายๆ
หากหมิงเยว่แต่งงานเข้าไป นางไม่มีทางยอมอยู่เฉยอย่างแน่นอน เช่นนั้นจวนอวี้คงไร้ซึ่งความสงบสุข
“ข้ารู้ว่ามันเป็นเช่นนั้น แต่หมิงเยว่จะต้องแต่งงานกับหลงเทียนอวี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?”
ส่ายหน้า หูเทียนเป่ยไม่เข้าใจ ปกติแล้วฮ่องเต้หมิงเอ็นดูหมิงเยว่มาก แต่คราวนี้ทำลงไปเพราะอะไร?
“หลงเทียนอวี้เก่งกล้ากว่าไท่จื่อที่ไม่ได้เรื่องคนนั้นมาก ถ้าหากเขากลายเป็นฮ่องเต้แห่งต้าจิ้น เช่นนั้นเป้าหมายที่พวกเราต้องการทำให้สำเร็จคงไกลเกินเอื้อม”
คนที่มีความรู้ความสามารถ ไม่มีวันปล่อยให้บ้านเมืองของตนเองตกเป็นเมืองขึ้นของผู้อื่น
หนึ่งร้อยปีก่อน ฮ่องเต้แห่งซีฟานทุกพระองค์ล้วนปลูกฝังลูกหลานว่าซีฟานจะต้องแข็งแกร่ง
ตอนนี้ฮ่องเต้แห่งต้าจิ้นประชวรหนัก ไท่จื่อทำบริหารบ้านเมืองไม่เป็น นี่จึงเป็นโอกาสอันดี
“ความหมายของเสด็จพ่อคือ…”
“ที่หมิงเยว่แต่งงานเข้าไป ก็เพื่อเปิดศึกกับคุณหนูสกุลหลิน ไม่ว่าฝ่ายใดจะชนะ ความรู้สึกระหว่างอ๋องอวี้และพระชายาจะต้องสั่นคลอดอย่างแน่นอน หลินมู่จือไม่มีวันทนมองลูกสาวถูกรังแก หากสูญเสียกำลังสนับสนุนทางการทหาร ประตูหลังจะลุกโชน แล้วแบบนี้เจ้าคิดหรือว่าอ๋องอวี้จะยังมีกะจิตกะใจคว้าตำแหน่งใหญ่นั้นมา”
ฮ่องเต้หมิงวิเคราะห์ลึกถึงก้นบึ้งของหัวใจมนุษย์
แต่เขาไม่รู้เลยว่าการแต่งงานระหว่างหลินเมิ้งหยากับหลงเทียนอวี้หาได้เกี่ยวข้องกับอำนาจทางการทหาร
ยิ่งไปกว่านั้น อันที่จริงตอนนี้สกุลหลินกับหลงเทียนอวี้ยังไม่เคยเจอกันอย่างจริงจังมาก่อน
หลินมู่จือและหลินหนานเซิงได้รับรู้ว่าหลินเมิ้งหยาหายจากอาการสติฟั่นเฟือนแล้ว แต่เพราะหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ พวกเขาจึงยังไม่ได้เห็นหน้าลูกสาวหรือน้องสาวที่ตนเองรักหลังจากนางแต่งงานออกไป
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แต่เสด็จพ่อไม่กลัวว่าหมิงเยว่จะเสียเปรียบอย่างนั้นหรือ?”
แววตาของหูเทียนเป่ยฉายความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
พวกเขาต่างรู้ดีว่าความตายของหูลู่หนานเกี่ยวข้องกับหลินเมิ้งหยา
ทั้งที่นางอายุยังน้อย แต่กลับมีความอาฆาตพยาบาทแรงกล้า วิธีการที่ใช้โหดร้ายทารุณ อีกทั้งยังสามารถซื้อใจคนได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นนางมิใช่คนที่จะถูกกำจัดได้ง่ายๆ
“นี่เป็นสิ่งที่หมิงเยว่เลือกเอง ข้าเองก็เตือนนางแล้ว ถ้าหากนางมิอาจเอาชนะคุณหนูสกุลหลินได้ก็อย่าไป แต่นางไม่ฟังและจะไปลองรบดูสักตั้ง เฮ้อ เด็กคนนี้ นับวันยิ่งเหมือนแม่ของนาง”
คำพูดของฮ่องเต้หมิงแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกช่วยไม่ได้
แม่ของหมิงเยว่คือพระสนมเอกที่เป็นรองเพียงฮองเฮา
ชาติกำเนิดสูงส่ง แต่อุปนิสัยใจคอโหดเหี้ยม นอกจากฮองเฮาที่สามารถควบคุมนางได้แล้ว นางไม่เคยกลัวผู้ใดอีกเลย
โชคดีที่พระสนมเอกมีลูกสาวเพียงคนเดียว ถ้าหากให้กำเนิดลูกชายแล้วล่ะก็ เกรงว่าจะต้องเกิดสงครามระหว่างองค์ชายขึ้นในวังหลวงแห่งซีฟานอย่างแน่นอน
“เฮ้อ หากเสด็จพ่อรับสั่งเช่นนั้น หมิงเยว่จะต้องพยายามต่อไปอย่างแน่นอน แต่เด็กคนนี้คิดหรือว่านางทำให้ไท่จื่อหลงเสน่ห์ได้ แล้วจะทำให้หลงเทียนอวี้หลงเสน่ห์ได้เช่นเดียวกัน”
ทุกการกระทำของหมิงเยว่ล้วนอยู่ในสายตาของหูเทียนเป่ย
เพื่อให้ได้หลงเทียนอวี้มา หมิงเยว่ยอมทำความร่วมมือกับไท่จื่อโดยไม่นึกเสียดายตัว
แต่เกรงว่าพวกเขาจะเล่นกับคนผิดแล้ว
หูเทียนเป่ยชำเลืองมองพ่อของตนเอง ก่อนจะกลืนคำพูดเหล่านั้นลงท้องไป
เขาคิดมาเสมอว่าหลินเมิ้งหยาไม่มีทางปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นง่ายๆ
คนที่กำลังถูกพูดถึงอย่างหลินเมิ้งหยากลับไม่รู้ตัว อีกทั้งยังจับจ่ายใช้สอยอย่างเพลิดเพลิน
“นายหญิง ผ้าไหมผืนนี้สวยเหลือเกิน สีสวยไหมเจ้าคะ เหมาะกับข้าหรือไม่?”
ป๋ายจียกผ้าไหมขึ้นมาวางเทียบตัวของตนเอง
“ซื้อ!”
หลินเมิ้งหยาควักกระเป๋าของตนเองแล้วหยิบเงินออกมา
กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะซื้อผ้าไหมชิ้นนั้น
“นายหญิง ปิ่นหยกอันนี้งดงามยิ่งนัก ท่านดูหน่อยว่าเหมาะกับข้าหรือไม่?”
ป๋ายซ่าวเองก็หยิบปิ่นปักผมขึ้นมา ก่อนจะลองเสียบไว้บนศีรษะ
“ซื้อ!”
ไม่คิดอะไรมาก หลินเมิ้งหยาหยิบเงินออกมา
ราวกับว่า ยิ่งเงินออกไปมากเท่าไร นางก็ยิ่งรู้สึกสบายใจมากขึ้นเท่านั้น
เพราะเหตุนี้เวลาพวกไฮโซอารมณ์ไม่ได้ก็เลยชอบโปรยเงินเล่นสินะ
ดูเหมือน จะได้ผลจริงๆ
พวกนางออกจากจวนอวี้ราวหนึ่งชั่วโมงแล้ว หลินเมิ้งหยาพาสาวใช้เดินซื้อของบนถนนต่อไป
องครักษ์ที่ตามออกมาเข็นรถคันเล็กหนึ่งคันออกมาด้วยเพื่อใส่ของที่หญิงสาวด้านหน้าซื้อ
แต่หลินเมิ้งหยามิใช่คนขี้งก นางมอบเงินคนละสองตำลึงให้กับองครักษ์ทั้งสอง ขณะเดียวกัน หลินเมิ้งหยาผันตัวมาเป็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง
“นายหญิง ลองชิมดูสิเจ้าคะ นี่คือขนมเปี๊ยะไส้นมไข่ที่เพิ่งออกใหม่ หอมมากเลยเจ้าค่ะ”
คนที่สนุกที่สุดเห็นจะเป็นป๋ายจื่อ แม้จะอยู่ในจวนอวี้ แต่นางก็ได้กินอาหารมากเพียงพอ
ทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด มิรู้ว่าร่างกายของนางทำมาจากยางหรือไม่ เหตุใดเวลาเพียงครู่เดียว ผลไม้และอาหารเจ็ดแปดอย่างจึงตกลงไปอยู่ในท้องของนางแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังคงสนุกกับการกินต่อไป
“พวกเราไปกินหมูกรอบที่ฝูหรงโหลวดีหรือไม่? นายหญิงเจ้าคะ ข้าเดินมานานจนรู้สึกหิวแล้วเจ้าค่ะ”
ลูบไล้หน้าท้อง ป๋ายจื่อยังมีหน้าพูดว่าหิวอีกหรือ?
หลินเมิ้งหยาผงะ จ้องมองสาวใช้ตรงหน้า ยื่นมือเข้าไปหยิกแก้มของนาง ก่อนจะส่งเสียงบ่น
“ข้าว่าเจ้าจะต้องเป็นผีหิวโหยกลับชาติมาเกิดแน่นอน”
เวลาเพียงครู่เดียว ของกินที่อยู่รอบๆ บริเวณนี้ถูกนางกินหมดแล้ว แม้แต่หลินเมิ้งหยาที่ได้ชิมเพียงน้อยนิดยังรู้สึกอิ่ม
เหตุใดเด็กคนนี้จึงอยากกินหมูกรอบอีก?
“นั่นสิเจ้าคะ เจ้านี่หนา เดี๋ยวก็ท้องแตกตายหรอก”
ป๋ายจีเคาะหน้าผากป๋ายจื่อ ตลอดหนึ่งชั่วโมงที่ผ่างมา ปากของป๋ายจื่อยังไม่เคยหยุดขยับ
“ไอหยา นายหญิง ตามใจข้าสักครั้งเถิด อีกอย่าง ข้ากินไม่มากเสียหน่อย”
เบะปากน้อยใจเพราะกลัวว่าหลินเมิ้งหยาจะไม่เห็นด้วย
ทว่า สาวใช้อีกสามคนกลับส่งเสียงสูง
“เจ้ากินไม่มาก? อย่าโกหกหน่อยเลยน่า เจ้าสามารถกินจนแทบจะเลียจานได้อย่างแน่นอน”
เมื่อถูกเพื่อนร่วมงานว่ากล่าว ป๋ายจื่อจึงแสดงท่าทางน่าสงสาร
แลบลิ้น จับมือหลินเมิ้งหยาแล้วเขย่า
“ก็ได้ เช่นนั้นพวกเราไปที่ฝูหรงโหลวกันเถิด พี่ชายทั้งสองเอาของกลับไปก่อนเถิด พวกเราจะไปรอพวกเจ้าที่ฝูหรงโหลว”
หลินเมิ้งหยาออกคำสั่ง ทว่าองครักษ์ทั้งสองยังยืนยันที่จะไปส่งพระชายาถึงหน้าร้าน ก่อนจะรีบกลับจวนไป
เงยหน้า บนแผ่นป้ายสีทองหน้าร้านเขียนอักษรสามตัวอย่างสวยงาม
ดูเหมือนคนที่เขียนชื่อป้ายร้านจะมิใช่คนธรรมดา
เดินเข้ามา ร้านมีขนาดกว้างขวาง ภายในมีโต๊ะสิบกว่าตัว เสี่ยวเอ้อร์คอยเช็ดโต๊ะเพื่อทำความสะอาด
พื้นด้านล่างเองก็ถูกเก็บกวาดจนสะอาด ไร้ซึ่งน้ำมัน
ทันทีที่หญิงสาวทั้งห้าปรากฏตัว เสี่ยวเอ้อร์ที่สวมใส่ชุดสีเทารีบวิ่งมาต้อนรับ
“โหยว เชิญลูกค้าด้านในก่อนขอรับ เพียงได้เห็นชุดที่พวกท่านสวมใส่ก็รู้ได้ทันทีว่าจะต้องมิใช่คนธรรมดา ชั้นสองเงียบสงบ ขอเชิญพวกท่านขึ้นไปด้านบนจะดีกว่า นอกจากนี้ยังสามารถปกปิดความลับของลูกค้าได้อีกด้วย”
ใบหน้าเปื้อนยิ้ม เขาผายมือเชิญหญิงสาวทั้งห้าอย่างมีมารยาท
โดยเฉพาะ หญิงสาวผู้สวมใส่ชุดสีม่วงอ่อน
เขาเคยเห็นคุณหนูผู้ดีมากมาย ทว่าหญิงสาวตรงหน้ากลับสวยงามประหนึ่งนางฟ้านางสวรรค์
เพียงลูกตาสีดำเปล่งประกายคู่นั้นขยับ โลกที่เคยเป็นสีขาวพลันซีดไปในทันที
ไม่รู้ว่านางคือฮูหยินจากตระกูลใด เมื่อลองพิจารณาจากลักษณะท่าทางของนางแล้ว เขาควรรับใช้นางให้ดีที่สุด
ห้องส่วนตัวบนชั้นสองถูกแบ่งแยกอย่างชัดเจน
สิ่งที่ทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกประหลาดใจคือบานประตูแต่ละบานล้วนถูกวาดรูปดอกไม้แตกต่างกันออกไป
อีกทั้งหน้าประตูห้องยังมีชื่อที่แตกต่างกันของแต่ละห้อง
ดูเหมือนว่าชื่อเหล่านั้นจะมีเอกลักษณ์พิเศษ หากเขียนว่าต้นไผ่ ที่บานประตูจะมีภาพวาดไผ่สีเขียว
หากเขียนว่าก้อนหิน ภาพวาดก็จะเป็นก้อนหินสีขาว
เสี่ยวเอ้อร์นำทางพวกนางไปยังห้องที่ชื่อสายลม
เจ้าของร้านเป็นคนแปลกยิ่งนัก เขาติดกระดิ่งไว้ที่หน้าห้อง เมื่อใดที่สายลมผ่าน กระดิ่งอันนั้นจะส่งเสียงดัง
“เชิญทางนี้ขอรับ ห้องสายลมมีทิวทัศน์ที่สวยงาม อีกทั้งขนาดห้องยังกว้างขวาง มิรู้ว่าฮูหยินถูกใจหรือไม่”
เสี่ยวเอ้อร์เปิดประตู หลินเมิ้งหยาและสาวใช้ทั้งสี่เดินเข้าไป
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือตั่งเตี้ยๆ ด้านบนมีโต๊ะไม้ทรงเตี้ยสีแดงวางอยู่
เปิดหน้าต่างโบราณบานใหญ่ที่มีลายแกะสลักและภาพวาดของสามสหายในฤดูเหมันต์
“ที่นี่ดีจริงๆ เถ้าแก่ของเจ้าจะต้องค้าขายรุ่งเรืองอย่างแน่นอน”
หลินเมิ้งหยานั่งลงที่ตำแหน่งประธาน สาวใช้ทั้งสี่รีบนั่งลงตาม
ก่อนออกมาหลินเมิ้งหยาได้สั่งแล้วว่าวันนี้จะไม่มีนายบ่าว แต่จะมีเพียงเพื่อนสาวที่ล้อมวงกินซาวปิ่งกันแต่เพียงเท่านั้น
ตอนนี้สาวใช้ทั้งสี่เพิ่งจะเข้าใจว่าซาวปิ่งคืออะไร
“ฮ่าๆ ขอบคุณนายหญิงสำหรับคำชมขอรับ เถ้าแก่ของข้าน้อยเป็นคนออกแบบทั้งหมดนี้เอง ฉะนั้นการค้าของฝูหรงโหลวจึงเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ไม่ทราบว่าพวกท่านอยากกินอะไรอย่างนั้นหรือ? ต้องการให้ข้าน้อยแนะนำรายการอาหารขึ้นชื่อหรือไม่?”
เสี่ยวเอ้อร์เคยชินกับการได้รับคำชมจากลูกค้าแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าทันทีที่สิ้นเสียงของตนเอง ป๋ายจื่อจะรีบสั่งอาหารทันที
“พี่เสี่ยวเอ้อร์ ที่ร้านของท่านขึ้นชื่อเรื่องหมูกรอบและขาหมูตุ๋นใช่หรือไม่? เอามาให้ข้าลองสักชุดหนึ่งเถิด ส่วนนายหญิงของข้ารับเป็นชาดอกมี่หลัว เร็วๆ หน่อยล่ะ”